ตื่นค่อนข้างเช้า ไปซื้อขนม กับข้าว
ผมมีกำหนดการเดินทางสำรวจเส้นทางสายน้ำตกวังใต้หนาน ที่กิ่งอ.มะนัง จ.สตูล ในนามของ บลูสกาย กรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน คือ ผม น้อง พี่จ๋า และพี่เจี๊ยบ โดยมีจุดประสงค์ในการจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อ เดินทางท่องเที่ยว และหาเงินเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจแก่ตัวเอง ที่ผ่านมากลุ่มมีการประชุมกันแล้ว 2 ครั้ง ( โดยยึดเอาร้านบุ๊คอ็อกชิโน่ เป็นที่ทำการ ) โดยครั้งแรก อย่างไม่เป็นทางการ และเป็นทางการเล็กน้อย ในครั้งต่อมา
เรากะว่าทุนจดทะเบียนของกลุ่ม ควรจะอยู่ที่คนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงินสุทธิ 40,000 บาทถ้วน ( ผมฟังแล้วร้องอู้หู
ตาโต ) อันนี้น้องเป็นคนเสนอและทางกลุ่มก็ผ่านการยินยอมอย่างพร้อมพรัก แสดงให้เห็นถึงเอกภาพอย่างชัดเจน
การมีข้อมูลที่ ถูกต้อง คม ชัด กว้าง ลึก และแน่นหนา เป็นปรัชญาข้อหนึ่งของกลุ่ม เราจึงจำเป็นต้องเสาะหากันอย่างหนัก ทั้งหนังสือ ผู้รู้ แผ่นพับ ทีวี วิทยุ กระทั่งนอนหลับฝันใช้วิญญาณเป็นสื่อนำพาไปหาข้อมูลนั้นๆ แต่มันยังไม่พอสำหรับความต้องการของเรา การเดินทางสู่น้ำตกวังใต้หนาน ซึ่งเป็นหมายหนึ่งในรายการของเรา จึงเกิดขึ้นในวันนี้เอง
ออกเดินทางด้วยการเบียดก้นบดไหล่ในรถของพี่จ๋า ใช้เส้นทางสายแป-ระ เหนือ ทะลุเข้า อ.ควนกาหลง เลี้ยวซ้ายไปสามแยกมะนังก่อนแวะซื้ออาหาร ขนม น้ำ กาแฟ และวิ่งฉิวฝ่าลมไป กิ่ง อ.มะนัง ระยะทางจากสามแยกถึงทางแยกเข้าน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ 28 กม. แต่การเดินทางใช้เวลาไม่มาก เพราะถนนราดยางเอื้อต่อการทำเวลา อีกทั้งยังเมตตาต่อแหนบ โช๊คอัพ อย่างน่าขอบคุณ
ที่สนุก คือ ถนนลูกรัง19 กม.จากทางแยกตำบลปาล์มพัฒนาถึงน้ำตก ซึ่งเพียบหลุม บ่อ โคลน - เลน - หิน การขับจึงเป็นไปได้เพียงระดับของการโขยก
ผมตื่นตาตื่นใจมากกับภูเขา 2 3 แนว ก่อนถึงทางแยกไปบ้านน้านิน เพราะมันมีรูปลักษณ์ราวกับถอดแบบมาจากกุ้ยหลิน ซินตึ้ง , ฮั่วซัว หัวซาน ยังไงยังงั้น
มองไปนานๆ ผมพานนึกสงสัยว่าจะมีก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง และยอดฝีมือเร้นกายแสวงสันโดษอยู่บนยอดเขานั่นหรือเปล่าหนอ?
เราหยุดรถที่ป้ายบอกทางไปถ้ำ น้ำตก ที่ทำการฯ ครู่เดียว ก่อนเลี้ยวซ้ายขับไปอีกราวๆไม่เกิน 200 เมตรจอดรถที่ลานทรายหน้าบ้านคนแถวนั้น ( ใครก็ไม่รู้ ) และเดินเท้าตัดทุ่งหญ้า ลำธารเล็กๆ ที่น้ำใสจนเกินใส สวนยางพารา ซึ่งทั้งหมดเรียงตัวกันในระยะไม่มากกว่า 500 เมตร
ถึงบ้านน้านิน ผู้ชายผิวกาแฟแหย่นมบางๆ ผมยาวทรงกระเซิงปรกคอ หน้าตาบอกว่าอายุของน้า น่าจะอ่อนกว่าแม่แค่ไม่เกิน10ปี เหนือริมฝีปากและแนวลูกคางโปรยด้วยเส้นขนสไตล์แอ๊ด คาราบาว แกเป็นชายร่างสันทัดแข็งเกร็งด้วยกล้ามเนื้อ และเอกลักษณ์ยากเลียนแบบของน้า คือ แขนขวาขาดเสมอข้อมือ เป็นผลมาจากกับระเบิดในป่า สมัยที่น้านินใช้ชีวิตท่องอยู่ในนั้น ภายใต้การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนนาม คอมมิวนิสต์
น้านินรู้จักป่าผืนนี้ดี ราวกับอวัยวะชิ้นสำคัญในกางเกงที่สวมใส่ กว่า20 ปี ที่ท่องทั่วผืนไพร ความภูมิใจของทั้งน้านิน และผู้อยู่อาศัยแถบนี้ คือ ทุกคนร่วมกันปกปักรักษาความเป็นป่าให้คงเดิมตลอดมา จากรุ่นสู่รุ่น คนสู่คน ครั้งอดีตสมบูรณ์อย่างไรวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น
น้าเดินอยู่แถวนี้ตั้งแต่ปี 18 19 โน่น น้านินว่าให้ฟัง
18 19 ก็ราวๆ 25 26 ปีล่วงมาแล้ว ผมคิดตาม
แล้วมันเปลี่ยนไปเยอะไหมครับจากเมื่อก่อน? ผมถามด้วยคาดว่า เวลานานขนาดนั้น น่าจะบั่นเอาความสมบูรณ์ของป่าให้แหว่งเว้าไปบ้างในปริมาณที่น่าตกใจ เป็นการคาดการณ์โดยอิงจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับป่าส่วนใหญ่ของประเทศ
แต่คำตอบจากน้านินทำให้ผมแปลกใจ
ไม่เลยครับ มันเป็นของมันแบบนี้ ไม่เปลี่ยนเป็นมากขึ้นหรือลดลง เขาอยู่ได้ของเขา ถ้าไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยว
ผมอึ้ง
.และดีใจไปพร้อมกัน
เคยมีบ้างที่บางคนจาบจ้วงเอาจากป่ามากเกินพอ นั่นคือ การเจาะลำต้นและใช้ไฟลนเอายางจากต้นยาง ( มีประโยชน์มากมาย ใช้ชันรอยรั่ว..โดยเฉพาะกับเรือ
นิยมกันมาก ) โดยไม่เว้นระยะให้ต้นไม้ได้ฟื้นตัวอย่างเพียงพอ
น้านินบอกว่าเวลาที่เหมาะสม คือ 5 วัน ก่อนจะลงมือลนครั้งต่อไป ( แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นการยึดเอา 5 วันติดต่อกันยาวนาน นั่นหมายถึงชีวิตของไม้ใหญ่ต้นหนึ่งต้องจบลง ) แต่บางกลุ่มคน เล่นลนวันเว้นวัน เว้นสองวัน การกำหนดระเบียบปฏิบัติในการลนยางจึงเกิดขึ้น โดยขอความร่วมมือจากทุกคน หยุด การลนยางไม่ว่าในกรณีใดๆ ซึ่งทุกคนก็ยินยอมด้วยดี
เราเริ่มเดินป่ากันที่ชายป่าทางขวามือของที่ทำการฯ นอกจากผม น้อง พี่จ๋า และน้านิน แล้ว ในขบวนเดินป่า ยังมีสมาชิกแถมมาหนึ่งราย คือ เพชร หมาพันธุ์ไทยสีขาวปลอด น้านินบอกว่าไอ้เพชรมันเป็นหมาเสียยิ่งกว่าที่หมาควรเป็น และต้องเป็น ไอ้เพชรไม่เห่าไม่ว่ากับคนหน้าใหม่รายไหน ยิ่งไม่ต้องพูดไกลไปถึงการกัด ขู่
หรืออะไรอื่นที่หมาแทบทั้งโลกเค้าเป็นกัน
ใครจะเป็นไงทำอะไรก็เชิญเลย เพชรเฉย
เพชรไม่ทำ
เพชรเป็นแบบที่เป็น
ผมมองหน้าเพชรอย่างถี่ถ้วน คิดว่าต้องมีเหตุที่ทำให้เพชรพิเศษกว่าหมาทั่วไป และเหตุนั้นต้องฝังลึกในใจเพชรอย่างน้อยก็ไม่ควรจะต่ำกว่าระดับเยื่อหุ้มหัวใจ นั่นคือรอยบากมากมายเกลื่อนกระจายทั่วหน้า หางตา หัวตา โคนหู ปลายจมูก สันจมูก
ไม่รู้ไปฟัดกับใครมาปริญญากัดศาสตร์จึงเพียบแปล้ถึงขั้นนั้น
น้านินเดินนำ ตามติดด้วยหนูกุ๊ก และพี่จ๋า รั้งท้ายคือ ผม เพชรคอยสลับตำแหน่งไปมาซ้าย-ขวา หน้า หลัง พี่แกพล่านไปแทบจะทั่วป่า ผลุบโน่นโผล่นี่ ความจัดเจนในเส้นทางน่ากลัวจะห่างกับน้านินไม่กี่มากน้อย
การเดินสำรวจวันนี้ เรากำหนดปลายทางไว้เพียงวังกลอย ซึ่งเป็นจุดที่พักแข้งขา จัดเป็นด่านหน้าของน้ำตกวังใต้หนาน จากจุดเริ่มเดินจนถึงวังกลอย รวมระยะทาง 2 กม. หากจะลุยไปให้ถึงน้ำตก ก็ต้องเพิ่มระยะทางเข้าไปอีก 4-5 กม. ซึ่งเราพกเวลามาไม่มากพอที่จะเดินไป กลับได้อย่างทันดูตะวันตกดิน น้านินว่ามาเช้าปานนี้ ( ถึงบ้านแกตอน 11.40 น. ) กว่าจะถึงวังใต้หนานก็ โน่น
บ่ายสามเป็นอย่างเร็ว
แล้วเราจะออกมาถึงบ้านตอนไหน?
เรื่องของเรื่องจึงสรุปว่า วันนี้เอาแค่พอรู้รสเส้นทาง 2 กม.ในป่า ความคดเคี้ยวของเส้นทาง ดินที่หนืดเหนอะ ทางชันขึ้นสูง ลงต่ำ ของเนินเขา เชี่ยวกรากของสายน้ำ มันวับลื่นไหลของหินก้อน แหลมคมของหนามป่า และแสยงขนจากทากน้อย ซึ่งในป่าแถบนี้ เค้าเรียกมันว่า นาวา ( น้านินว่าดูจากขนาดเรือนร่างที่ใหญ่-ยาวกว่าทากทั่วไป การเรียกเค้าให้เหมือนทากจากแหล่งอื่น เป็นการหลู่เกียรติสมาชิกชื่อก้องตระกูลนี้เป็นอย่างยิ่ง ) เพียงไม่กี่อย่างเท่านี้ ก็บ่งชี้ได้ชัดว่าเวลาในการฝ่าระยะ 2 กม. ในป่า จะแตกต่างจากการสลับเท้าไปมาบนผิวฟุตบาทราบเรียบตรงแน่ว ในเมืองมากขนาดไหน
เท่าที่เห็น ต้นไม้ที่สมบูรณ์มาก มักมีขนาดเกิน 2 คนโอบ ได้แก่ ต้นยาง , หลุมพอ ,
.นอกนั้นผมลืมชื่อไปบ้าง ( ทั้งที่ถามน้านินแล้ว ) ลืมถามไปบ้าง
เท่มากที่จำได้เพียงสองชื่อ
ผมได้เห็นทั้งต้นเป็นๆ และที่ทอดสังขารผุพังของกฤษณา..ไม้หอมราคาสูง ปลูกยาก หายาก โตยาก
และอีก 7 8 ยาก อันรวมถึงรู้ยากว่าต้นไหนจะมีน้ำมันคุ้มค่ากับการลงคมมีดไปที่ลำต้น
เห็ด
ตลอดเส้นทางมีเห็ดเพียบ สารพัดสี ส้มอ่อนไล่โทนไปจนถึงแก่ ขาวน้ำนม ขาวขุ่น น้ำตาลเกรียม แดงไม่เกรงใจใคร
เทาหม่นหมองปนน้ำตาลเจือจาง
จนถึงบางเห็ดที่แตกทรงเป็นเส้นสายฟูฟ่องมองคล้ายเกล็ดหิมะ
เกิดมาผมไม่เคยเห็นเห็ดอะไร มีรูปร่างแหกเหล่าเถากอสุดโต่งขนาดนี้มาก่อน ซึ่งจะว่าไป สำหรับตาของคนเขลา จะส่องเล่าให้เห็นของจริง ก็ยากยิ่งอยู่
ก่อนจะถึงวังกลอย ประมาณ 400 เมตร เส้นทางที่ใช้เริ่มวาดแนวเลียบลำธารเป็นระยะ ภาพที่เห็นจึงสวยงามไปอีกแบบ ถัดจากทางที่วางเท้าอยู่เพียงเอื้อมด้วยวาแขนเหยียด เป็นการลากตัดของพื้นที่แทบจะ 90 องศา ต่ำลงไปรองรับด้วยลาดหินที่ทับซ้อนกันเป็นแผ่นผืน ถัดออกไปคือ สายน้ำที่ใสกว่าใส และส่งไอเย็นมาถึงเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงช่วงนี้ หากใครใจร้อน จะลงไปไต่ทางหินเล่น ก็ยังได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยการพลาดโอกาสชมสารพัดเห็ดหลากสีสันที่เรียงรายโลมใล้สายตาอย่างไร้ปราณี
วังกลอยอยู่ตรงหน้า เพียงสองถึงสามก้าวต่อมา ผมก็ถึงวังกลอยโดยสมบูรณ์ สัมผัสแรกใต้ฝ่าเท้าและในกรอบสายตา ระบุว่าวังกลอย คือลานทรายริมน้ำ ที่มีขนาดพื้นที่กว้างยาวใกล้เคียงกับสนามบาสเกตบอลหนึ่งสนาม ใกล้ทางลงบนผืนทราย มีไม้ยาวปักไขว้กันเป็นรูปกระโจม
เอาไว้แขวนสัมภาระ สำหรับคนเดินทาง น้านินว่าอย่างนั้น
ผมคิดถึงปลา พี่จ๋าบอกว่าครั้งก่อนที่มาวังใต้หนาน คณะเดินป่าแวะพักต้มน้ำชงกาแฟดื่มกันที่นี่ คนที่ชงก็ชงไป ลูกชายน้านินแวบหายไปหาปลา และเพียงสองถึงสามครู่ น้องเค้าก็กลับมาพร้อมกับปลาเฮือด ( หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าปลาพลวง ) ตัวโตขนาดท้องแขนชายไทย สี่ตัว พร้อมแล้วสำหรับอาหารเย็นของครอบครัวชายป่า
นั่งเหยียดแข้งขา พอให้กล้ามเนื้อคลายตัว และสำรวจทากน้อยที่อาจติดสอยห้อยตามเรามา ถ้าพบก็จัดการปลดและปาลงน้ำไป พี่จ๋าฉากออกไปสำรวจความงามของช่วงน้ำตกที่ลดหลั่นเป็นชั้นเล็กๆ ช่วงวังกลอย ความชันของน้ำตกน้อยมากจนอาจจะเรียกว่า เป็นความชันเพียงเอนหลังนอนสบาย ผมจัดการลำเลียงเสบียงที่พกมาด้วยออกจากเป้ มีกาแฟกระป๋อง ขนมปังกรอบ นมเปรี้ยวรสผลไม้รวม น้ำเปล่า ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว และหมี่เหลืองผัดเผ็ด ที่เราแวะซื้อที่ตลาดสามแยกมะนัง
แม้จะหิว และรู้สึกอร่อยกับหมี่เหลืองผัดเผ็ด แต่ลึกๆผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่เหมาะกับการเดินป่า ไม่ว่าจะด้วยประการใดๆ ผมจึงหยุดกิน และคุยกับคณะว่า มาป่าควรจะกินของที่หาได้ในป่า หรือของสดที่เตรียมมาเพื่อปรุงกันในป่า โดยรสชาติที่ได้ ต้องจัดจ้านและเผาพล่านไปทั้งปากคอ แกงป่า ปลาย่าง ต้มหน่อไม้สด
40 นาทีพอดี ต่อระยะทาง 2 กม. ขากลับ มีฝนโปรยลงมาตลอดทาง ฟังเสียงฝนในป่ามันเพราะจริงๆ แต่นั่น หมายถึงต้องใช้มากกว่าหูนะครับ สำหรับฟังเสียงฝนหล่นลงราวป่า
เราใช้เส้นทางอีกสายในการเดินออกมายังจุดที่จอดรถไว้ ถึงตอนนี้ความเหนอะหนืดเพิ่มมากขึ้น จากหยดฝนปนเนื้อโคลน แต่ยิ่งย่ำเดินในใจยิ่งเป็นสุข ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิของฝน กับใจคน น่าจะลดลงจนเท่ากันได้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น เอกภาพระหว่างคนกับป่าก็จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน เป็นความสันติสุขประการหนึ่งในโลก
คนเราพูดพร่ำกับน้ำ ฟ้า , ป่า ทะเล
เพียงเพื่อให้ได้คุยกับตัวเอง
จากคุณ :
ศักดินันท์ โชติเสว์
- [
26 ส.ค. 46 22:59:39
A:203.113.77.132 X:
]