ผมไม่ใช่คนดัง
ไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะ
ทุกคนในตระกูลของผม ก็ไม่ใช่
ดังนั้น ผมจึงขอถามว่า
อย่างนี้แล้ว คุณจะอ่านเรื่องต่อไปนี้ไหม?
เรื่องของคนคนหนึ่ง ที่เล่าถึงเรื่องพ่อของเขา
.
หลังจากที่พ่อจากเขาไปแล้ว ชั่วนิรันดร์
เป็นคนธรรมดา
เป็นพ่อธรรมดา
..
พ่อของผมมีอาชีพรับราชการ ระบุชัดเจนว่า ครู แต่ในฐานะครูของพ่อนั้น กว่าผมจะทราบว่าอยู่ในตำแหน่งใดก็เมื่อตัวเองล่วงเข้าสู่วัยสิบขวบเศษ
ก่อนหน้าจะทราบว่าพ่อเป็นครู ผมจำได้ชัดเจน ว่าพ่อทำงานเป็น ภารโรง ซึ่งเป็นคำบอกเล่าของแม่ที่ถ่ายทอดมายังผมโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางหรือนายหน้าคนไหน ในวัยเด็กขนาดประถมศึกษาตอนต้น ผมจึงเชื่อว่าพ่อเป็นภารโรงจริงๆ ( ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าภารโรงคือใคร ) แม้เป็นสิ่งที่แม่พูดพร้อมอาการกลั้วหัวเราะ กับกลุ่มเพื่อนของแม่
ที่ที่ผมพูดกับใครต่อใครบ่อยที่สุด และอย่างเต็มปากเต็มคำว่า พ่อทำงานเป็นภารโรงครับ!! คือ สำนักงานที่แม่ทำงานอยู่ ด้วยเหตุที่โรงเรียนของผมอยู่ใกล้กับที่ทำงานของแม่ เด็กประถมในตอนนั้นอย่างผม จึงตามติดแม่มานั่งเล่น วิ่งเล่น เดินเล่น กระทั่งนอนหลับจริง ที่สำนักงานทุกวันเว้นวันหยุดราชการ ประโยคข้างต้นจึงตกหล่นเรี่ยราดอยู่ทุกพื้นที่รอบอาณาบริเวณสำนักงานแห่งนี้
พ่อเป็นภารโรงครับ!!!
จำได้ยิ่งกว่าแม่น ว่าผมพูดอย่างชัดเจน รวดเร็ว
และทุกครั้งที่พูดจบ
ผมยิ้มกว้าง
ประโยคใดครับ
ที่คุณถูกถามมากที่สุดในวัยเด็ก
สำหรับผม คงจะเป็นคำถามว่า
พ่อกับแม่ น้องรักใครมากกว่ากัน? ( แทบทุกคนเรียกผมว่าน้อง )
และคำตอบที่เด็กอย่างผมคิดว่าสมบูรณ์ที่สุดแล้ว คือ
รักเท่าๆกันเลย
หลายคนที่ถาม เมื่อฟังคำตอบแล้วก็แล้วกันไป บ้างก็ยิ้ม ที่มากก็ชมว่าเด็กคนนี้น่ารักจัง ไม่ก็บอกว่าฉลาด แต่มีบ้างที่ยังถามต่อ
รักเท่ากันยังไง รักเท่ากันจริงๆหรือ? แล้วทำไมมานั่งอยู่ที่นี่ ไม่ไปหาพ่อที่โรงเรียน?
จำได้ว่าผมโกรธคนถามมาก
และในคำถามเดียวกันนั้น
เมื่อเติบโตขึ้น ผมไม่เคยนำไปถามเด็กคนไหนเลย
2
ต่อมา เมื่อผมโตขึ้น จนเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ความยิ่งใหญ่แรกของพ่อก็ปรากฏ ผมสามารถบอกกับใครต่อใครได้เต็มปาก และอย่างถูกต้องเสียทีว่า พ่อเป็นครูใหญ่
มันเท่นะ
มันฟังดูเยอะ ใหญ่ เสริมสร้างความรู้สึกยืด ให้กับทุกสัดส่วนของผู้บอกเล่าเป็นอันมาก
และมันพิเศษ
สงสัยอยู่ว่าผมรู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร? ทั้งที่ไม่เคยไปโรงเรียนที่พ่อทำงานเลยแม้สักครั้ง ไม่เคยเห็นพ่อสอนหนังสือเด็กๆสักหน ไม่เคยเห็นพ่อประชุมครู หรือทำกิจกรรมใดๆก็แล้วแต่ ในโรงเรียนทุกโรงกับพ่อซึ่งเป็นครูใหญ่
เริ่มสะดุดบ้างไหมครับ ว่าที่ผมบอกใครต่อใครว่า ผมรักพ่อกับแม่เท่าๆกันนั้น เชื่อได้หรือเปล่า?
คงเพราะความเป็นครูของพ่อ ท่านจึงนำเอา แบบปฏิบัติ ของครูมาใช้กับผมในหลายๆเรื่อง ที่โดดเด่นเหลือหลายจนผมจำได้ไม่มีวันลืม คือ รสไม้เรียวของครู
เปล่าหรอกครับ พ่อไม่เคยตีผมด้วยไม้เรียว หรือไม้หวายขนาดเท่านิ้วกลางของคนตัวเต็มวัย แต่ที่พ่อใช้กระหนาบน่องของผม ทุกครั้งที่ผมทำตัวเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ชอบกระโดดออกนอกกรอบของคำว่า เด็กดี ( ไม่ดื้อรั้น ขยันอ่านหนังสือ ช่วยพ่อแม่ทำงาน ทำการบ้านทุกครั้งที่มี รักษาสมบัติส่วนตัวเป็นอย่างดี เช่น ยางลบ ดินสอ ไม้บรรทัด และ ฯลฯ ) คือ กิ่งก้านขนาดยาวไม่เกินศอกครึ่ง และเส้นรอบวงไม่โตกว่าสายไฟของหม้อหุงข้าว แต่รสสัมผัสบนผิวกาย ที่มันทิ้งไว้นั้น
แสบ แปลบ ร้อน ร้าว
ผมพูดได้เต็มอารมณ์เลยว่า มันคือสัญลักษณ์ของความซาดิสท์ ไม่อยากรับแต่หนีไม่พ้น ไม่อยากทนแต่ต้องกัดฟัน มันคือ กฎ กติกา มารยาท และมันเป็นอีกหลายนิยามที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตวัยเด็ก ที่ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ ประถมหนึ่ง ไปถึงประถมห้า
ผม คุณ และใครอีกหลายคนในแผ่นดินนี้ เรียกมันว่า
ก้านมะยม
และผมมีความทรงจำฝังแน่นกับพันธุ์ไม้ชนิดนี้ ถึงขนาดแม้กระทั่งเวลาเคลื่อนมาถึงปัจจุบัน ผมก็ไม่เคยล่วงล้ำไปในอาณาเขตของมะยมอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นการหยิบยืมกิ่งก้านยาวเรียวของมะยมมาตีเด็ก การรูดใบอ่อนมาชูรสอร่อยในแกงเลียง การปลุกประสาทให้สะดุ้งไหว กระเด้งพ้นจากความง่วงงุน ด้วยรสเปรี้ยวซ่าจัดจ้านของลูกมะยม แม้กระทั่งหลบเร้นกายใต้ร่มเงาของมะยมใหญ่
ยามแดดร้อน
ขอกระชับข้อความสำคัญอีกครั้ง ว่า
ผมโดนตีด้วยก้านมะยมตั้งแต่ประถมหนึ่ง ถึงประถมห้าเท่านั้น
ผมล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของมะยมมาหนึ่งครั้ง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต
มะยมสูงใหญ่ขนาดอนุญาตให้เด็กปีนได้ต้นนั้น ยืนเด่นอยู่บนลานดินข้างบ้านสองชั้นของครอบครัว ใกล้กันกับมะยม มีส้มโอเป็นหมัน ( ไม่เคยมีลูกให้ได้กินเลยตลอดอายุขัยของมัน ) หนึ่งต้นที่สูงพอกัน จากนั้นถัดออกไป รายรอบด้วยกล้วยหลายกอ มะละกอหลายต้น ปลูกเคล้าปะปนด้วยสมุนไพร ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว หน้าและหลังบ้านมีมะพร้าวอีกขอบรั้วละสามต้น
บ้านของครอบครัวผมร่มรื่นน่าอยู่ไหม?
ยังไม่หมดนะครับ ไม้ดอกทั้งชนิดดอกงามและดอกหอม เราก็มี เยอบีร่า , คุณนายตื่นสาย , เทียน , กุหลาบ , มะลิ , กล้วยไม้ กระทั่งในบางฤดู ยังเพิ่มความลานตาด้วยพู่ย้วยของข้าวโพดที่เพิ่งแทงฝัก
3
ผมไม่ทราบหรอกครับ ว่าในตอนนั้น ผมรู้สึกรัก ถนอม หวงแหน พันธุ์ไม้สารพัดสกุลเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งหากจะกระชับให้ตรงประเด็น คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกอะไรบ้างไหม กับเพื่อนร่วมรั้วที่เห็นจนชินตาบรรดานี้?
แต่ต้องยกเว้นไว้ต้นหนึ่ง
คือ มะยมต้นนั้น
ผมโกรธมันมาก โกรธตั้งแต่ปลายรากยันยอดใบอ่อน ผมไม่รู้ว่าใครไปปลูกมันไว้ ไม่เคยใส่ใจว่ามันจะโตไปถึงไหน ลูกดกหรือไม่ และรสชาติของมันจะหวานอย่างที่แม่เคยคุยให้ฟังจริงไหม ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น
รู้แต่ว่าโกรธเป็นบ้า
เพราะมันทำให้ผมเจ็บ
เมื่อผมดื้อ ไม่กินข้าว เล่นเพลินไม่ยอมเข้าบ้าน ดินสอหาย ลืมไม้บรรทัด การบ้านไม่ทำ ฯลฯ
พ่อจะปลิดก้านมะยมมาครั้งละเต็มกำมือหลวมๆ รูดใบออกช้าๆ เลือกมากระชับในอุ้งมือทีละก้าน ก่อนออกคำสั่ง
ยืนหันหลัง มือ กอด - อก
จากนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างผม ก้านมะยม และแรงมือพ่อ
นับไม่ถ้วนครั้งที่น้ำตาไหล แหกปากร้องไห้ด้วยแสบเนื้อน่อง นานวันเข้า ผมมองต้นมะยมข้างบ้าน ด้วยความรู้สึกโกรธ โกรธ และโกรธ
เป็นความโกรธสะสม ชนิดฝากประจำ ซ้ำยังอุดมด้วยดอกเบี้ย
มันถูกหยอดเก็บในกระปุกอารมณ์ของผมทุกครั้งที่โดนหวด เจ็บมากหยอดมาก แต่ถึงเจ็บน้อยก็ยังหยอดมากอยู่ดี เพราะมันโกรธเสียแล้ว ไม่มีทางผันเป็นอื่น
ผมเคยวิ่งไปหลบหลังแม่ ก็เพราะเมื่อเติบโตขึ้น ผมเริ่มมองทางและคาดการออก ว่าการกระทำใดของผม จะส่งผลให้พ่อเดินรี่ไปที่ต้นมะยม เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิด ผมจะฉวยจังหวะวิ่งปร๊าดไปหาแม่ และกระชับสองมือแน่นที่ชายผ้าถุง หนึ่งปากก็ลนลานร่ำร้องขอความคุ้มครองจากแม่
แต่ไม่ค่อยได้ผล
ประมาณเก้าในสิบครั้งที่ผมไม่รอด
แม่ยังช่วยไม่ไหว
แล้วเด็กประถมอย่างผมจะหวังพึ่งใครได้อีก
นอกจากตัวเอง
ดังนั้น เพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย ผมจึงคว้ามีดพร้าเดินหน้าเข้าหามะยมต้นนั้น ในบ่ายวันที่พ่อไม่อยู่บ้าน เมื่อได้ระยะ ผมก็กระหน่ำคมพร้าลงไปที่โคนต้นมะยม สุดเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรงของเด็กประถมห้า
ไม่ช้าเกินทาน ไม่นานเกินรอ
พ่อกลับถึงบ้าน
ในที่เกิดเหตุ พ่อเห็นมะยมนอนแอ้งแม้ง ใบร่วงเกลื่อนกลาด เนื้อไม้กระจุยกระจาย ซึ่งใครมาเจอคงเดาได้ไม่ยากว่าน่าเป็นแรงงานเด็ก จากสภาพบอบช้ำนั้น รอยฟันนับไม่ถ้วนแผล แถถากไปมากินพื้นที่กว้างเกือบศอกจากจุดตัดโค่น
หลังจากล้มมะยมตัวแสบลงได้ ผมวิ่งจี๋ขึ้นห้องนอนใส่กลอนกดล็อคลูกบิดปิดประตูอย่างแน่นหนา ใจเต้นตูมตามกลัวพ่อจะโกรธ และตามมาลากตัวไปลงโทษด้วยก้านมะยมเหมาต้น
แค่สี่ถึงห้าก้านก็แทบวายปราณ ถ้ามากันหมดตั้งแต่ปลายจรดโคน
แม่คงต้องคลอดลูกคนใหม่
4
ขณะที่นั่งขดตัวเหงื่อไหลอยู่มุมห้องปลายเตียงนอน ผมคิดไปเรื่อยว่าถ้าผมเป็นพ่อ ผมจะไม่ลงโทษลูกเจ็บๆแบบที่พ่อทำแบบนี้ แต่จะใจดีกับลูกมากๆ ไม่ดุถ้าลูกวิ่งเล่นไกลบ้านไปสักหน่อย และยังรวมถึงถ้าลูกขี้เกียจทำการบ้าน ไม่เหลาดินสอ ทำยางลบหาย หาไม้บรรทัดไม่เจอ
ก็ทุกเรื่องที่ทำให้ผมโดนตีนั่นล่ะ
ถ้าผมเป็นพ่อเสียเองนะ ผมจะไม่ทำอย่างที่พ่อทำแน่นอน ขอสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสำรอง
อาเคร่า
เราจะทำดี จะไม่ตีลูก
ผมไม่ทราบว่าตอนที่พ่อเรียนชั้นประถม พ่อได้เรียนวิชาลูกเสือหรือเปล่า แต่คิดว่าคงจะไม่ เพาะไม่อย่างนั้น พ่อคงไม่ตีผม ด้วยก้านมะยมอยู่เรื่อยๆ
นั่งไปนานเข้าก็ยิ่งกลัวมากขึ้น อีกประเดี๋ยว ถ้าแม่เรียกให้ลงไปกินข้าว ผมจะทำไงดี? วิ่งหนีดีไหม? หรือจะค่อยๆย่องไปแอบตรงส่วนไหนของบ้านดี
.ผมรู้สึกมือเย็นเท้าเย็น และริมฝีปากสั่น มองเห็นภาพตรงหน้าไม่ชัด เพราะเริ่มง่วง
แต่ผมจะหลับไม่ได้ ถ้าหลับไปแล้วเกิดพ่อเข้ามาในห้องได้ ผมจะวิ่งหนีอย่างไร?
ผมพยายามถ่างตาให้กว้างจะได้ไม่หลับ
แต่ที่นอนตรงหน้านี้ก็น่านอนเหลือเกิน หมอนข้างขี้ดำของผมอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือถึงนี่เอง ผมชอบนอนกอดหมอนข้างมาก มันนุ่มๆหยุ่นๆ และเย็นๆ ในเวลากลางคืน ถ้าผมเว้นระยะการกอดมันไปสักพักแล้วกลับมากอดใหม่ หมอนข้างใบเก่งจะเปลี่ยนเป็นเย็นน่ากอดขึ้นอีกเป็นกอง แม้สภาพของมันจะหมอง คล้ำ ดำด่าง ( เนื่องจากผมไม่ชอบหมอนข้างที่สวมปลอกหมอน ) บิดเบี้ยว และบอบบาง ( ผมกอดมันมานานหลายปีติดกัน ทั้งรัดและฟัดเล่นในหลายโอกาส ) แต่บนเตียงนอนนี้ มันคือความสุขสบายที่บอกไม่ถูกของผมจริงๆ จึงไม่แปลกที่แม้จะต้องเดินทางไปค้างคืนที่บ้านญาติ ทั้งในและต่างจังหวัด ผมก็ต้องพกหมอนขี้ดำประจำตัวใบนี้ไปด้วยทุกครั้ง
และนี่ก็เป็นอีกเรื่อง ที่ทำให้พ่อร่ำๆจะกำก้านมะยมในมือ ยังดีที่แม่ปรามไว้ ผมจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
แต่ครั้งนี้ล่ะ?
ผมจะต้องเจออะไร?
ในอีกไม่กี่อึดใจ
ก่อนเปลือกตาของผมจะปิดลง
กอดหมอนคู่ใจไว้ และหลับไหลอย่างแสนสุข
ทิ้งพ่อ ความกลัว ไว้เบื้องหลัง
รวมทั้ง
.
มะยมต้นนั้น
จากคุณ :
ศักดินันท์ โชติเสว์
- [
27 ส.ค. 46 08:39:25
A:203.113.77.132 X:
]