พลิกแผนซ้อนซ่อนนรก บทที่ 4

                                     พลิกแผนซ้อนซ่อนนรก
    บทที่  4 พานพบ
    เครื่องขนส่ง  c-130  เครื่องนั้นบินโคลงตัวเล็กน้อยเข้าหารันเวย์ของท่าอากาศยานจังหวัดตรัง   ลมที่พัดแรงทำให้การเอาเครื่องขนส่งขนาดใหญ่ลงจอดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย   ด้านล่างรถดับเพลิงและทีมกู้ภัยที่ถูกสั่งให้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา   หากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้น
    แต่กัปตันของเครื่องก็มิใช่มือใหม่หัดขับ  ถึงแม้ว่าลมที่พัดแรงจะเป็นอุปสรรคต่อการนำเครื่องลง แต่ในที่สุดเครื่องก็ลงจอดอย่างปลอดภัยท่ามกลางการถอนหายใจอย่างโล่งอกของหลาย ๆ คนที่เฝ้ามองอยู่บนพื้นดิน
    เครื่องลำนั้นค่อย ๆ แท็กซี่ไปตามความยามของรันเวย์  ก่อนจะเบี่ยงหัวเข้าหาโรงเก็บซึ่งประตูเปิดค้างไว้อยู่ ก่อนจะไปจอดสนิทอยู่ในโรงเก็บ
    ประตูห้องสินค้าท้ายเครื่องเปิดออก   ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะทยอยออกมาด้วยท่าทางเซ็ง ๆ
    “แม่ง  อากาศโคตรร้อนเลย” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มโวยขึ้นมา พลางโบกพัดในมือเร็วขึ้น ก่อนจะหันไป ชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
    “พี่  เรามาทำอะไรกันที่นี่ล่ะเนี่ย”
    “ใจเย็น ๆ หน่อยได้มั้ยนายเอก”  ชายคนนั้นหันมาปราม “นายถามพี่ไม่รู้กี่สิบรอบแล้วนะ  คำตอบก็เหมือนเดิมน่ะแหละว่าไม่รู้”
    “ธาร”    หรือพี่ที่เอกกำลังคุยด้วย เป็นคนที่ท่าทางจะมีอาวุโสที่สุดในกลุ่ม เพราะทุกคนในกลุ่มนั้นเชื่อฟังคำสั่งของ ธาร อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง  ยกเว้นก็แต่เอก ที่ชอบหาเรื่องจุกจิก กวนใจมาทะเลาะกับธารได้ทุกวี่ทุกวัน ดังนั้น การสนทนาของสองคู่กัน (ตลอดกาล) ก็เรียกรอยยิ้มของหลายๆ คนให้ แย้มออกมาเล็กน้อยไม่ได้
    “เอาของลงเลยมั้ยค่ะ”
    “เดี๋ยวก่อน  ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ  เผื่อเค้าให้ย้ายที่อีก”
    ธารหันมาตอบหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เพิ่งเดินลงมาจากเครื่องบิน  เอกหันไปมองตามแล้วก็อดปากบอนออกมาไม่ได้
    “โอ้  นักบินแสนสวยของเราออกมาแล้ว  อะไรจะขยันขนาดนั้น  พักมั่งก็ได้นะจ้ะ  เปิ้ลจ๋า”
    เปิ้ลชายหางตาไปมองผู้พูดเล็กน้อย  พยายามไม่เอามาเป็นอารมณ์เพราะถ้าหลงกลตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามก็คงเป็นที่สนุกสนานของอีกฝ่ายซะปล่าว ๆ
    เมื่อเห็นว่าเปิ้ลเงียบ ไม่ตอบโต้อะไรออกมา  เอกก็เลยเบื่อ ครั้นจะหันไปคุยกับ ธาร  ขานั้นก็รู้แกวเดินหนีไปก่อนแล้ว  ครั้นพอจะหันไปหาคนอื่น ๆ ในกลุ่ม เค้าก็พากันเดินห่างออกไปหาที่รับลมกันหมด ก็เลยหันมาโวยวายกับลมกับแล้งไปตามเรื่องตามราว
    “โว้ย  ร้อนดีจริง ๆ นี่เมื่อไหร่ไอ้หอกที่มันจะมารับมันจะมาถึงซักทีละเนี่ย”
    “เออ  มาถึงนานแล้ว  รอให้เอ็งหยุดพูดอยู่เนี่ยจะได้พูดมั่ง”
    เสียงเนิบ ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังเอก  เสยังผลให้ฝ่ายนั้นตะลึงตัวแข็งไปในทันที  ขณะที่หลาย ๆ คนในอีกที่นั้นก็ชะงักไปเช่นกัน  ทุกคนหันมามองที่ที่มาของเสียงเป็นตาเดียว  แต่ก็เห็นเพียงร่าง ๆ หนึ่งที่ยืนอยู่หลังเอกเท่านั้น
    “ยังปากเสียเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
    เสียงนั้นกล่าวออกมาอีก  เหงื่อที่รั่วออกมาเนื่องจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว  คราวนี้ทะลักออกมาอีกอย่างห้ามไม่อยู่
    “ท่าน…  เอิ้ว”  หลุดปากเป็นคำพูดออกมาได้คำเดียว ก็ตะโกนออกมาเสียงหลง เมื่อรองเท้าเบอร์เก้าที่เจ้าของเสียงสวมอยู่ประทับไปบนตะโพก ก่อนจะส่งให้ร่าง ๆ นั้นกระเด็น
    “พลั่ก !!” หล่นลงไปกระทบพื้นเสียงดงสนั่น  เจ้าตัวได้แต่นอนเงียบอยู่อย่างนั้น  ไม่กล้าแม้แต่จะโอดครวญ  หลาย ๆ คนในที่นั้นก็รู้สึกเข่าอ่อนไปเหมือนกัน   หลายคนทรุดลงนั่งพับเพียบอย่างหมดแรง  
    ทั้งโรงเก็บเครื่องบินเงียบไปพักใหญ่    ก่อนที่ธารจะได้สติ  เดินเข้าไปเจ้าของเสียงนั้น
    “ผม  เจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนพิเศษ  รหัส ธาร  เป็นผู้นำทีม ขอทราบชื่อและ” หยุดกลืนน้ำลายก่อนพูดต่อ “ตำแหน่งของท่านด้วยครับ”
    “ชื่อ….Saint Gabriel Logan    รับหน้าที่นำทีมของคุณในปฏิบัติการนี้”
    เงียบไปกันอีกครู่หนึ่ง  ก่อนที่ ธารจะยื่นมือเข้าไปหาร่างนั้น
    “ยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านครับ”
    อีกฝ่ายเอื้อมมือออกมาสัมผัสกับมือนั้นก่อนบีบกระชับแน่น  รอยยิ้มอบอุ่นถูกจุดขึ้นที่มุมปาก
    เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
    ทุกคนที่เมื่อครู่ยืนตะลึงอยู่ปรี่เข้ามาทักท่ายท่านที่เคารพของพวกเขา  สายตาและดวงหน้าอันเป็นมิตรปรากฎอยู่ทั่วไป  เสียงทักทายอันดังของผู้ชายหลาย ๆ คนประสานไปกับเสียงหัวเราะปนสะอื้นของหญิงสาวอีกหลายคนในที่นั้น
    จะมีก็อยู่ 2 คนที่ไม่ได้มาร่วมวง
    ปรายสายตามองไป   ครั้นเอกสังเกตเห็นสายตาของ “ท่าน” มองมาก็รีบลุกขึ้นจากท่าแอ้งแม้ง  ก่อนส่งยิ้มกะเรี่ยกะราดตอบกลับ  สายตาคู่นั้นเบนไปอีกทาง  ยังหญิงสาวอีกคนที่ ยืนกอดอกมองอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบงัน
    แล้วสายตาทั้งสองคู่ก็สบกัน
    ตาคู่งามชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา  ประกายตาหลายหลากบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนอยู่ภายใน   โกรธ   ตัดพ้อต่อว่า  จงรักภักดี  สับสน  ตาคมคู่นั้นแลสบอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียวก็เมินวงหน้า   ซ่อนหยาดน้ำตาที่เจียนหยดไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น
    จึงไม่มีโอกาสได้เห็นสายตา คู่ที่เมื่อครู่มองมาอย่างสงบ  แฝงแววเย็นชานิดนั้น ๆ เปลี่ยนเป็นแฝงความห่วงหาอาวรณ์   และความปวดร้าวอยู่ลึก ๆ ก่อนที่ประกายตานั้นจะหายวับไปด้วยการกระพริบตาเพียงครั้งเดียว
    “เอาล่ะ  เตรียมตัวทำงานกันได้แล้ว”  ออกคำสั่ง  ยังผลให้หลาย ๆ คนที่กำลังร่าเริงอยู่ชะงักทันควัน  ก่อนที่สำเนียงสรพเสียงจะเซ็งแซ่ขึ้นมาอีก
    “งานแบบไหนครับท่าน  ต้องลุยแหลกใช่หรือเปล่า   ชายคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้น  พลางชักปืนในซองพกออกมาตรวจกระสุนด้วยท่าทางกระตือรือร้น”
    “หรืองานสายลับ  ปลอมตัว  ทะลายแก๊งค์ค่ะ” หญิงสาวอีกคนถามเสริม
    แล้วสรรพเสียงเหล่านั้นก็เซ็งแซ่กันต่อไป
    โคลงหัวด้วยความอ่อนใจ  ก่อนหันไปส่งสัญญาณให้ธารเข้ามาใกล้
    “ขอประชุมหัวหน้ากลุ่มย่อยซัก 5 นาที  คุณบอกให้พวกที่เหลือจัดการเอาของลง”
    “ครับท่าน” ธารรับปากก่อนหันไปออกคำสั่ง
    ไม่นานคนเหล่านั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานอย่างว่องไว  ยกเว้นก็แต่ธาร  เอก และเปิ้ลที่เดินเข้ามาหา
    “งานคราวนี้ไม่ใช่งานบู้ล้างผลาญ  หลาย ๆ คนคงจะชอบใจ” ปรายตาไปยังธารที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ฟังอยู่เงียบ ๆ “ผมเดาว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้น   การทำลายหลักฐานค่อนข้างเนี้ยบมาก  ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญผมก็คงจะไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ  รายละเอียดที่เหลือคุยกันระหว่างการเดินทางแล้วกัน   ธาร  เอา ฮัมวี่ มาหรือเปล่า ?”  
     “เอามาครับ”  
    “ดี  เดี๋ยวผมขับเอง  เอก เอ้านี่” กล่าวพลางโยนของที่ล้วงออกมาจากระเป๋าให้อีกฝ่ายรับ
    “จัดการเอารถชั้นขับตามไปแล้วกัน”
    “เอก  มองกุญแจรถมอเตอร์ไซด์ในมือแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
    “ท่านคร้าบ  ผมขอโต้ด” เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ้าตัวคิดว่าอ้อนสุด ๆ
    “งั้นเอารถชั้นไปผูกไว้ท้ายรถฮัมวี่  แล้วออกเดินทางได้”
    “ไปไหนกันครับ ?”
    ธารถามออกมาด้วยความสงสัย
    “เอ้อ ผมก็ลืมบอกพวกคุณไป  เราจะไป  มอ.ตรัง กัน  แจ้งให้พวกเรารู้ด้วย”  ชะงักแล้วมองนิ่งอยู่  ทำให้คนในอื่นหันไปมองตาม
    หลาย ๆ คนที่กำลังเตรียมของอยู่นั้นกำลังสวมเสื้อเกราะกันกระสุน  ประกอบปืน M-16 อยู่ ขณะที่อีกหลายคนกำลังช่วยกันประกอบปืนกลหนักเข้ากับรถฮัมวี่
    “คุณไปชี้แจ้งให้พวกนั้นทราบด้วยแล้วกันว่าเราไม่ได้มารบ”
    ธารหันกลับมามองด้วยสายตาแสดงความเข้าใจ  แล้วกล่าวพลางเดินจากไป “ก็พวกนี้ถ้าเห็นหน้าท่านทีไรก็ต้องมีเรื่องกันทุกที  มันเลยชินกันแล้วล่ะผมว่า”
    เอก ตัวสั่นกึก ๆ พยายามกลั้นอาการหัวเราะอย่างสุดความสามารถ  ก่อนจะหันไปเจอกับสายตาที่ส่งแวววิบ ๆ ออกมาก็รู้ตัวรีบวิ่งออกให้ห่างจากรัศมีเท้า แต่ก็ไม่วายโดนอย่างสะกิด ๆ
    จึงเหลือเพียงหญิงสาวที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มเพียงสองต่อสองเท่านั้น  หญิงสาวขยับตัวอย่างอึดอัด  พลางเดินตามไปอีกคน
    ชายหนุ่มทำท่าขยับตัวจะเรียกไว้  มือที่เอื้อมไปอย่างไม่รู้ตัวชะงักกลางอากาศก่อนที่จะทันเอื้อมออกไปสัมผัสกับบ่าของหญิงสาว ก่อนปล่อยให้ตกห้อยลงข้างตัว  โคลงหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ บ่นพึมพำ ๆ อยู่คนเดียว

    จากคุณ : Saint Gabriel Logan - [ 27 ส.ค. 46 20:55:26 A:202.12.73.6 X:unknown ]