+++รัก..ก็เจ็บ เลิก..ก็เจ็บ+++

                  เราเกือบจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมานานเนิ่นนั้นไปแล้วนะ  ถ้าเพียงแต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาจะไม่ไปค้นพบไดอารี่เล่มเก่าเก่า  ที่เราเองบันทึกเรื่องราวของตัวเองเอาไว้  เรื่องราวที่มีทั้งความรัก  ความสุข  ทุกข์ และความสมหวัง  ตลอดระยะเวลาหลายหลายปีที่ผ่านมา  นับตั้งแต่รู้จักเขา  “ ผู้ชายของความรู้สึกดีดีคนนั้น”

                  จดหมายเก่าๆที่เราเขียนถึงเขาเกือบจะทุกวัน  ในเวลาที่เราไม่สามารถพบหน้าค่าตาเขา  อาจจะเพราะหน้าที่การงาน  และที่อยู่ ห่างไกลกันด้วยมั้ง  ที่ทำให้ต้องทำแบบนี้  ทั้งที่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ไกลกันมากมายนัก  แต่ไอ้ความที่เราเป็นนักเขียน  ชอบที่จะเขียน  รักที่จะเขียน  เราก็เลยชอบที่จะเขียนจดหมายถึงเขา  อยากให้เขาได้อ่านจดหมายของเราทุกๆวัน  

                  จนบางครั้ง  เจ้าตัวผู้รับโอดครวญมาตามสายโทรศัพท์ว่า “ ถูกบุรุษไปรษณีย์ล้อเลียน “ เพราะเขาต้องมาส่งจดหมายให้เขาทุกวัน  

                  ก็มันช่วยไม่ได้  เราต้องการให้เขาได้อ่าน  ต้องการให้เขาได้รับรู้ความเป็นไปของเรา  ของกันและกัน  ถึงเขาจะไม่ชอบเขียนจดหมาย  แต่..เพียงแค่เขาก็ยอมอ่านจดหมายยาวๆของเราได้ทุกวัน เราก็พอใจแล้ว  และตราบใดที่เขายังอ่าน  เราก็จะเขียนของเราไปเรื่อยเรื่อย   และมีบางฉบับที่เราเขียนเอาไว้  แต่ไม่ได้ส่ง  เพราะเราเกิดเปลี่ยนใจกระทันหัน  ก็มันคุยกันไปทางโทรศัพท์หมดแล้ว  จดหมายที่ว่าจะส่งไปหาเขาก็เลยไม่จำเป็นนะสิ

                  และเรื่องราวที่ผ่านนานหลายปีนั้นมันก็ถูกเก็บเอาไว้ในไดอารี่เล่มโปรด  ที่เรามักจะเขียนเรื่องราวและความรู้สึกของเราทุกวัน  วันละหลายๆๆหน้า  เพื่อว่า  วันหนึ่งเราจะเอาความรู้สึกที่มี  ที่ได้รับจากเขาถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ  เช่นในเกือบทุกเรื่องที่เราเขียนหนังสือ

                  ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  เขาเป็นพระเอกในนิยายเกือบทุกเรื่องที่เราเขียน ถ้าใครอ่านงานของเราทั้งสองเล่มจะรู้ว่า  มีเงาจางๆของคนในความรู้สึกของเราคนนี้แทรกซึมอยู่ด้วย  เราเขียนมาจากความรู้สึกที่เเรามีต่อเขาจริงๆ  และ  นับจากวันที่เธอตัดสินใจ  “ เลิกรา “ กับเขา  เราก็หันหลังให้ไดอารี่เล่มโปรดที่เราเขียนค้างเติ่งเอาไว้...

                  นับตั้งแต่..วันที่เขาแต่งงาน  เราก็หยุดเขียนไดอารี่เล่มนั้นไปเลย  และไม่เขียนไดอารี่อีกเลยนับจากเวลานั้น  นอกจากจะไม่เขียนแล้ว  เรายังไม่ยอมที่จะเอ่ยถึงชื่อของเขา  ไม่ยอมที่จะเปิดอ่านไดอารี่เล่มใดๆที่มีเรื่องราวของเขา  ที่เราบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับตัวเราและเขาเอาไว้อีกเลย

                  แม้ว่าในวันเก่าก่อนนั้น  เราชอบที่จะหยิบไดอารี่เล่มโปรดนั้นขึ้นมาอ่านก่อนนอน  ราวกับเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งก็ไม่ปาน   และ  เราก็ไม่แม้แต่จะเขียนจดหมาย  เราไม่เขียนจดหมายมานานแล้วเช่นกัน  เพราะแค่นึกถึง  แค่จับปากกามาว่าตั้งใจจะเขียน  ความรู้สึกปวดเปร่า…ที่มีในใจ  มันก็จะปะทุระอุขึ้นมาทำลายปราการแข็งๆที่ใจเราก่อร่างสร้างกำแพงเอาไว้นั้นเสียทุกครั้ง  เราเลยเลือกที่จะหันหลังให้มัน  เพื่อว่าเราจะได้ไม่เจ็บปวดเมื่อต้องนึกถึงมัน  นึกถึงความรู้สึกดีดี...ที่ผ่านมานั้นอีก

                  และเมื่อใจเราเข้มแข็งแล้ว  ประโยชน์อะไรที่เราจะต้องหันหน้าไปพบกับความเจ็บปวดของวันเก่าเก่าอีกล่ะ   ในวันนี้...เรากล้าที่จะหยิบมันออกมาเปิดอ่านอีกครั้ง  ด้วยความรู้สึก  ที่บอกตัวเองว่า  กี่วัน  กี่เดือน  กี่ปี  ความรู้สึกที่มีให้แก่กันนั้นมัน…..ไม่เคยลางเลือนไปจากใจเราเลย  

                  ก่อนหน้านี้เราลืมความรู้สึกนี้ไปนานแล้ว  ถ้าเพียงแต่ค่ำคืนที่ผ่านมาจะไม่ได้รับการกระตุ้นจากใครคนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง  เพราะเพลงเพลงหนึ่งที่ใครคนนั้นร้องให้เราฟังในค่ำคืนวันหนึ่ง  ความหมายของเพลงมันลอยมากระทบใจอันแสนหงอยเหงาของเรา  จนแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ค่ะ  ฉันร้องไห้กับเพลง เพลงนั้นที่ใครคนนั้นร้องให้เราฟัง  

                  และแล้ว….มันก็ทำให้เรายอมเปิดอ่านไดอารี่เก่าๆสามสี่เล่มของตัวเอง  และกลายเป็นที่มาถึงเรื่องราวเหล่านี้ในวันนี้….มอบให้ผู้ชายของความรู้สึกดีๆๆคนนั้น...รู้ไว้นะ  เธอคงอยู่ในใจฉันตลอดไป..ตามสัญญาที่มีให้กันและกันไว้นานนับสิบปี..คนนั้น  


    +++ ปี 2546  มกราคม +++  


                  ภัทรลดากำลังจะเดินออกจากงานเลี้ยงรุ่นไปที่ลานจอดรถของโรงแรม  ที่เธอเดินทางมาร่วมงานนั้นแล้วแท้ๆ  ถ้าเพียงแต่จะไม่มีเสียงเอ่ยเรียกจากชายหนุ่มอีกคน  คนที่เธอพยายามหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขามาตลอดงานเลี้ยงของค่ำคืนนี้  เขา เขาคนเดียวจริงจริง  ที่เธอเอ่ยบอกเขาได้อย่างเต็มปากว่า “รัก “ แต่  นั่นมันก็นานมาแล้ว  และนานกับความรู้สึกนั้นมากแล้ว

                  มือคร้ามใหญ่ที่ทั้งหนาและนุ่มของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่  เอื้อมมาบีบกระชับมือเรียวบางของ “ภัทรลดา “ พยาบาลสาวร่างโปร่งบางนั้นเอาไว้อย่างเบามือ  เขานุ่มนวล  อ่อนโยนกับเธอเสมอ  และทุกครั้งที่พบกัน  ตลอดเวลาที่คบหากันมาไม่ว่าจะเป็นแบบเพื่อน  และคนรัก  ภัทรลดาจำเสียงของเขาได้  กี่วันกี่เดือน  กี่ปีเธอก็จำเสียงเขาได้  จำได้แม้แต่เสียงฝีเท้าของเขา  

                  แม้ว่าขณะนี้  เธอจะไม่หันหลังกลับไปมองคนที่ยืนกุมมือเธอที่ยืนอยู่เบื้องหลัง  เธอก็รู้ได้ว่า  เขายืนจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่มีแต่ความรู้สึก “ รัก “  เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากเธอเลยจริงๆ

                  เขา  “  อภิเชษฐ์ “  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกว่าร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรเศษๆ (หน้าตาละหม้ายไปทางดาราหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่คนเขียนชื่นชอบ)  ภายใต้ท่าทีเคร่งขรึม  แต่เขาจะดูอบอุ่นเสมอ  และความอบอุ่น ความอ่อนโยนที่เขามี  เขาแสดงออกมา  มันละลายท่าทางแข็งแข็ง   เกเร และดื้อรั้นของเธอที่มีได้ชะงักนัก  และเป็นเขาคนเดียวจริงจริงที่ทะลายปราการของหัวใจอันทั้งแข็งและกร้าวในใจเธอได้..

                  แต่กว่าจะสำเร็จและครอบครองหัวใจเธอได้มันก็นานโขเหมือนกัน  ตั้งแต่สมัยเรียน  จนกระทั่งเดี๋ยวนี้  เราคบหากันมานานร่วม 12 ปี  นับจากเพื่อน  เพื่อนรู้ใจ  คนพิเศษ   และคนรัก  มันนานมากมาก  กว่าที่เขาจะละลายปราการในใจที่เธอสร้างขึ้นมานั้นได้    

                  “ ลดา  ผมดีใจที่พบคุณอีกครั้ง “

                  อภิเชษฐ์เอ่ยออกมาในสุด  ภายหลังจากที่เขาเดินตามมาทันเธอที่ลานจอดรถของโรงแรมหรูใจกลางเมืองสกลนคร  ที่ทางสมาคมศิษย์เก่าของโีรงเรียนที่เป็นรุ่นของเธอได้จับจองเอาไว้จัดงานเลี้ยงรุ่น  และปีนี้ก็เป็นอีกปีที่ทางรุ่นเธอพากันจัดขึ้น  และเธอก็หลบเลี่ยงที่จะมาเลี้ยงรุ่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

                  ปีนี้ขัดไม่ได้  เพราะเพื่อนๆต่างก็โทรมาชวน  เพราะ  เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน  ไม่ยอมออกมาพบหน้าเพื่อนฝูงมานานมากแล้วนับตั้งแต่  เธอเลิกรากับอ่าว  หรือ อภิเชษฐ์  และเขาก็แต่งงานไปนานร่วมสามปี  ท่ามกลางความแปลกใจของใครต่อใครเมื่อล่วงรู้ถึงข่าวการที่เธอและอภิเชษฐ์เลิกราต่อกัน  แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่มีเพื่อนคนใดกล้าที่จะถาม  ถึงเหตุผลของการตัดสินใจของภัทรลดา “ เลิก “ ของเธอ  

                  คำพูดแปร่งปร่าของชายหนุ่ม  ที่ครั้งหนึ่งแสนจะคุ้นเคย  และรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขทุกครั้ง  ยามที่ได้พูดคุยกันนั้น  ทำให้ร่างโปร่งบางของภัทรลดาที่กำลังจะเดินหายเข้าไปในรถยนต์ส่วนตัวของเธอ  ถึงกับหยุดชะงัก  และราวกับว่าเท้าทั้งสองข้างของเธอมันจะถูกตราตรึงเอาไว้ด้วยแรงเหนี่ยวรั้งขนาดใหญ่มหาศาล  ที่ทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงที่จะหันหลังเดินจากมา  เดินจากมาเช่นทุกครั้งที่เธอพบเขา  เช่นทุกครั้งที่เธอรู้ว่าที่ที่เธอจะไปมีเขาไปด้วย  และเช่นทุกครั้งที่เธอรู้ว่า  มีความห่วงใยเล็กเล็กน้อยน้อย  และมีมาให้เธอเสมอและตลอดมานั้น  ถ้าเธอรู้ว่าเธอรู้ว่าเขาจะไปทางไหน  หนทางใดก็ตาม  เธอจะหาทางเลี่ยงที่จะพบเจอเขาให้ได้เสียทุกครั้ง  และเธอก็หลบหน้าหลบตาเขามาสามปี  นับตั้งแต่เขาแต่งงานแล้วนะล่ะ

                  มันเจ็บปวดนะ  กับการที่เราต้องพบหน้าพบตาคนที่เรารู้สึกว่า  “ เรายังรักเขาอยู่” และเราก็รู้ว่า  “เขาก็ยังรักเราอยู่”  แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่เราไม่อาจจะร่วมชีวิตกันได้  และเหตุผลนั้นเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร  นอกจาก “เขา” และพี่สาวคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับเขา  ที่เธอมักไปอาศัยนอนค้างเวลาที่เธอไปเยี่ยมเยียนเขาที่สถานีอนามัย  ในเวลาที่เธอรู้สึกว่า “ คิดถึง” ในช่วงระยะเวลาที่เราคบหากันนั้น

    (มีต่อค่ะ  รอแป้บ)

    แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 46 15:05:46

    แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 46 03:43:15

    แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 46 02:38:37

    แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 46 02:38:18

    จากคุณ : พยาบาลเกเร - [ 28 ส.ค. 46 02:28:47 ]