ได้ยินมา แว่ว แว่ว ว่า มีใครพูดประมาณว่า.... "ริจะอ่านนิยายในห้องถนนนักเขียนนี่ก้อต้องทำใจหน่อยครับ บางคนขยันหน่อยก้อเขียนวันละตอน บางคนอาทิตย์ละตอน บางคนก้อเดือนละตอน
แต่อย่างหนักสุดก้อกรณี เด็กที่รอคอย ล่ะครับ ปีละตอน!"
ห๊าาา!!!!! อะไรนะ?! ใคร ใครพูดเช่นนั้น ใครกัน ใคร ใคร?!!!
พี่คนที่พูดน่ะครับ มีความนัยบางอย่างอยากจะบอกให้พี่ทราบครับ คือว่า ..... พี่ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนครับ แหม สร้างสรรค์อลังการมากเลย เหอะ เหอะ...... ปี ละ ตอน.... แหม่...
อายอ่ะ!!! =^,^'= วุ๊ย! ทำไมเล่นกันแบบนี้ เค้าก้อเขินเป็นนะตัวเอ๊งงงงงง แต่แต่ แต่....เข้าใจนะ ว่าก้อมีรอคอยอ่านกันอยู่ ไม่งั้นเราจะตั้งชื่อว่า เด็กที่รอคอยทำไมอ่ะ ฮิ ฮิ ฮิ.... ต้องขอกราบขออภัยจาก แควน แควนทุกคน และขอขอบคุณอย่างมากมาย ที่เข้าใจและให้กำลังใจเด็กที่รอคอย มาตลอด รอกันเป็นปี เป็นชาติ เราเชื่อว่า
ท่าน
สามารถ
ครับ
รักทุกคนอย่างเหลือล้น
ความเดิม จากตอนที่แล้ว
ฉันวางสายโทรศัพท์อย่างอ่อนล้าหลังจากที่บอกพี่หนึ่งไปแล้วว่า ขอลาออกจากที่ร้าน ใครอยากทำในวันที่ฉันทำก็เอาเถอะ ตามสบาย จำได้ว่าวันนั้นฉันยังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเพราะทำรายงานอยู่ แต่สายตาไม่มีภาพบนจอเครื่องเลย คุณเคยมั้ย ที่หมดความรู้สึกใดๆทั้งสิ้นที่จะทำอะไรต่อ
ตกลงว่า ฉันมีงานเหลืออยู่เพียงที่เดียว และเป็นกะกลางคืนเพียงกะเดียวด้วย ฉันนอนคิดอยู่หลายคืนเหมือนกันว่า ต่อไปนี้เราจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้ามีแค่งานนี้งานเดียว
ยามที่คนเราจะโชคร้าย มันดูคล้ายๆประโยคที่ว่า นกร้ายไม่ได้มาตัวเดียว ตอนนั้นฉันไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกเลย รุ่นพี่ที่ร้านก็ไม่ได้มีกี่มากน้อยที่จะอยากเกี่ยวข้องกับฉันนัก และฉันเองก็ไม่ได้อยากจะลากใครเข้ามาเกี่ยวด้วย ช่วงนั้นจึงเป็นช่วงที่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการหางาน และยังต้องเรียนหนังสือด้วย เพราะเป็นเทอมสุดท้าย .... อีกนิดเดียวเท่านั้น กัดฟันอีกนิดเดียว แล้วปีหฤโหดจะจบสิ้นกันเสียที .....ทำใจคิดแบบนั้นแล้วฉันก็วิ่งเต้นหางานอีกตามเคย ไม่ได้ได้มาง่ายๆอีกเหมือนกัน ฉันเดินเตร่ร่วมสองอาทิตย์เห็นจะได้ บะหมี่สำเร็จรูปกลายเป็นอาหารสามมื้อของฉันไปโดยปริยาย
ฉันได้งานใหม่แถวบ่อนคาสิโน เป็นร้านอาหารอีกเหมือนเดิม วันที่ได้งานก็แสนจะแปลกประหลาด เพราะฉันยื่นเรซูเม่ให้ทางร้านในเย็นวันหนึ่ง แล้วเดินเล่นอยู่แถวคาสิโน ไม่เกินสองชั่วโมงต่อมา ผู้จัดการร้านก็โทรศัพท์เข้ามือถือฉันแล้วบอกว่า "จะเริ่มงานอาทิตย์หน้านี้เลยได้มั้ย?"
อาทิตย์ต่อมา ฉันก็เริ่มงานใหม่ วันแรกที่ได้ทำก็เล่นเอาตื่นตะลึง เพราะเป็นครั้งแรกที่ทำกรุ๊ปทัวร์ ถ้าใครเคยไปไหนกับบริษัททัวร์ก็คงนึกภาพออกว่า เวลาที่ทางทัวร์ให้คุณไปพักกินข้าวที่ร้านไหน คุณอาจจะมีเวลาจำกัดเพราะจะต้องไปที่ไหนต่อ และสภาพที่นั่งกินข้าวก็คือ กับข้าวอาจจะถูก ส่งมาเรื่อยๆจนเต็ม บางทีก็ล้นโต๊ะ กินของคาวยังไม่ทันอิ่ม บางทีก็มีผลไม้หรือของหวานตั้งโครมเข้าให้อีก รีบกินแล้ว คุณก็ลุกแล้วรีบตามเค้าไปเที่ยวต่อ
แต่สำหรับฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเสิร์พกรุ๊ปทัวร์ วิ่งจนหัวหมุนเพราะต้องใช้ความเร็วเป็นอย่างมาก ร้านที่ฉันไปทำจัดบริเวณให้ดูแลกันเอง ถ้าฉันอยู่ในโซน 10 ก็หมายความว่า ฉันต้องดูแลเองคนเดียวตั้งแต่โต๊ะ1 จนถึงโต๊ะ 10 เป็นต้น แล้ววันนั้นกรุ๊ปทัวร์ที่มาลง มีกันร่วม 60กว่าคน โต๊ะที่จัดก็เป็นโต๊ะยาว นั่งได้ประมาณ 20 คนต่อ 1 โต๊ะ อาหารที่จะต้องส่งก็มีราวๆ 4-5 อย่าง อย่างละ 3-4 จาน วิ่งเติมน้ำให้ลูกค้าอีก คอยเติมข้าวอีก และจะต้องรีบหาทางเอาผลไม้ลงวางให้ได้ก่อนที่ลูกทัวร์จะลุกจากโต๊ะเพิ่มตามไกด์ไปอีก และแน่นอนว่า ฉันจะต้องคอยดูแลโต๊ะของหัวหน้าทัวร์และคนขับรถด้วย ซึ่งนั่งไกลกันจากโต๊ะลูกทัวร์
ฉันเริ่มงานโดยไม่มีใครสอนเลยสักนิดว่า หมายเลขโต๊ะในร้านมีอะไรบ้าง เนื่องจากผู้ร่วมงานอีกสองคน ไม่ได้มีใครมาสนใจฉันเลย ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหน้าเรา แต่เขาลืมหรือยังไงก็ไม่ทราบ สรุปว่าวันนั้นฉันทำงานโดยที่ใช้สัญชาตญาณเดาเอา โดยการถามชื่ออาหารจากทางครัว แล้วเดินไปถามลูกค้าว่า สั่งอาหารจานนี้หรือเปล่า โชคดีที่วันนั้นนอกจากกรุ๊ปทัวร์แล้ว ก็ไม่ได้มีลูกค้ามากมายอะไร แต่ฉันสังเกตเห็นเหมือนกันว่า มีผู้หญิงวัยกลางคนในร้าน แต่งตัวดูดีมีฐานะ มองๆฉันอยู่
ทีแรก ฉันคิดว่าผู้จัดการร้าน คือ เจ้าของร้าน พอเห็นผู้หญิงคนนี้ ฉันเลยคิดว่า คงเป็นหัวหน้าพนักงานเสิร์พ หรืออาจจะเป็นหุ้นส่วน ในตอนนั้นฉันไม่ได้คิดสนใจอะไรมากเพราะค่อนข้างหงุดหงิดจากการที่ถูกปล่อยไว้ตามลำพังโดยไม่มีใครมาสอนอะไรเลย ก่อนจะเลิกงาน ผู้หญิงคนที่ว่านี้ ก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาหาฉันเพื่อบอกว่า กลับบ้านได้แล้วนะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านล่าง วันนี้ทำงานพอใช้ได้นะ แต่ทำไมจำโต๊ะไม่ได้เลยล่ะ
ฉันจึงบอกไปว่า ไม่ใช่จำไม่ได้ แต่ไม่มีใครบอกอะไรเลย มาถึงก็ให้เช็ดช้อน แล้วให้วิ่งเสิร์พ หล่อนถามฉันอีกว่า แล้วทำไมรู้เบอร์โต๊ะที่เอาอาหารไปเสิร์พ ฉันตอบว่า เดาเอา เพราะถามชื่ออาหารจากในครัวด้วย แล้วบางทีโต๊ะก็ใกล้ๆกัน ก็เลยพอจะเดาได้
เท่านั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ทำหน้าฉงน แล้วย้อนถามฉันอีกว่า ไม่มีใครบอกอะไรเลยเรอะ? จริงเรอะ? แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะรู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิดพอสมควร ฉันจึงขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้าน
วันต่อมา ฉันได้พบเพื่อนร่วมงานคนใหม่ เป็นผู้หญิงรุ่นพี่หน้าตาดี ฉันเห็นเข้าก็ถูกชะตา เข้าไปทักทายและคุยด้วยว่า ฉันเป็นพนักงานใหม่ ยังไม่มีใครสอนงานอะไรให้เลย รบกวนช่วยฉันที เขาก็ยิ้มแย้มรับปากว่า จะสอนงานให้เอง ฉันเรียกเธอว่า พี่อ้อม
เย็นวันนั้น พี่อ้อมสอนฉันหลายอย่าง หมายเลขโต๊ะ การเตรียมถ้วยชามช้อนส้อม การใช้คอมพิวเตอ์ไมครอสเพื่อกดรายการอาหารให้พิมพ์เข้าไปสู่ในครัว วันนั้นเรียกได้ว่าเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากพอสมควรหลังจากเจอแต่เรื่องบ้าบอมาตลอดจากร้านพี่หวาน
วันนั้นหลังเลิกงาน ฉันก็เจอผู้หญิงคนเดิมอีก เข้ามาคุยกับฉันด้วยหน้าตายิ้มแย้มว่า วันนี้ทำงานได้ดีมาก ดูเหมือนว่าจะจำโต๊ะได้แล้ว ฉันตอบไปว่า พี่อ้อมช่วยสอนให้ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้าไปคุยกับพี่อ้อม ซึ่งฉันไม่ได้ใส่ใจเลยเดินไปทำงานตรงอื่นต่อ
ฉันกับพี่อ้อมเดินลงมาห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านล่างด้วยกัน คุยกันเล็กน้อยว่าบ้านใครอยู่ที่ไหน มาเรียนอะไรที่นี่ สัพเพเหระ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถด้วยกันเพื่อกลับบ้าน ระหว่างรอรถพี่อ้อมก็พูดอย่างทึ่งๆว่า "โจแอน ท่าทางชอบหนูนะ พี่อ้อมไม่เคยเห็นเค้าชมใครเลย ขนาดพี่อ้อมทำงานมาครึ่งปีแล้ว แรกๆก็แย่นะเพราะเค้าแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน กว่าจะเรียนรู้งานได้ก็สามเดือนเข้าไปแล้ว" ฉันปล่อยพี่อ้อมพูดไปเรื่อยๆจนใกล้จะถึงป้ายที่ฉันจะต้องลงแล้ว ฉันก็เลยถามพี่เค้าว่า แล้วโจแอนเค้าเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของร้านหรือเปล่า พี่อ้อมก็มองฉันอย่าง งงๆเหมือนกัน
"โจแอนเค้าเป็นเจ้าของร้านค่ะ ส่วนคนที่หนูเจอน่ะ เค้าเป็นผู้จัดการ อ้อ แต่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนหรอกนะ"
อ้าว....
แล้วกัน!
จากคุณ :
เด็กที่รอคอย
- [
29 ส.ค. 46 02:18:07
]