เรื่องเล่าชาวหมอ (8) เจ้าลอยลมมาหรือไร ?

    8.เจ้าลอยลมมาหรือไร ?

    [บางวันที่ท้อใจ]

    สมัยเรียนอยู่ในโรงเรียนแพทย์นั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่แพรมนเคารพรัก
    และอยากเอาเยี่ยงอย่าง  ท่านอุทิศตัวเองให้กับคนไข้ของท่าน
    โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและประโยชน์ส่วนตน
    คำสอนที่แพรมนได้ยินท่านพูดอยู่เสมอคือ

    ‘ ให้คิดว่าคนไข้ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นญาติของเธอ
    แล้วเธอจะรู้เองว่าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร’

    แพรมนฟังคำสอนนั้น  และจำหลักมันไว้ในใจ  
    แม้ว่าบางครั้งสิ่งที่เธอแนะนำคนไข้ด้วยความห่วงใย
    จะได้รับการตอบแทนที่ทำให้เธอท้อใจเช่นวันนี้

    “ป้าคะ  ป้าเป็นเบาหวานนะคะ  กินของหวานๆมากแบบนี้ได้ยังไง  
    ถ้าป้าไม่ควบคุมอย่างที่หมอเคยแนะนำ แล้วน้ำตาลขึ้นสูงมากๆนี่ มันอันตราย
    บางทีก็อาจจะช็อคจนหมดสติได้นะคะ”
    ยอมรับว่าเธอชักจะมีอารมณ์เหมือนกันล่ะ ตอนที่ฟังคนไข้เล่าว่ากินอะไรมาบ้าง
    ตัวเลขที่บ่งบอกถึงค่าน้ำตาลในเลือดจึงสูงจนน่าตกใจอย่างนั้น

    “ฉันก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะผิดปกติอะไร ถ้ามันจะเป็นก็ปล่อยให้มันเป็นไป  
    ฉันควบคุมไม่ได้หรอกหมอ”
    นั่นคือคำตอบจากคนไข้ ที่ทำให้คนเป็นหมอฟังแล้วน้ำตาแทบไหล  
    รู้สึกเหมือนหมดเรี่ยวแรงทั้งกายทั้งใจ
    แต่ก็ยังกัดฟันตรวจไปจนเสร็จคนไข้คนสุดท้าย เมื่อเวลาเกือบบ่ายโมง

    “เป็นไงแพรมน ทำไมเพิ่งได้กินข้าว”
    พร้อมกับเสียงทักเบาๆ เจ้าของเสียงก็เดินมาทรุดลงนั่งตรงหน้า  
    แพรมนเลิกเขี่ยข้าวในจาน และเงยหน้าขึ้นสบตา
    ชะรอยอีกฝ่ายคงมองเห็นว่ามีแววหมองอยู่ในตา..ในใจเธอ

    “เป็นอะไรไป กับข้าวไม่อร่อยหรือไง”
    แม้จะดูเหมือนพูดเล่นอย่างนั้น  แต่ทั้งคำถามและน้ำเสียงแสดงถึงความห่วงใย  
    นี่ถ้าเป็นเวลาปกติ  เธอคงจะกรี๊ดกร๊าดอยู่คนเดียวในใจตามเคย
    ที่ ‘พี่หมอเด็ก’ เข้ามาถามไถ่แบบนี้

    “ไม่อร่อยค่ะพี่”
    คำตอบเนือยๆของเธอ ทำให้ดวงตาคู่นั้นฉายรอยแห่งคำถาม

    “เหนื่อยๆ เบื่อๆอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ  เวลาแบบนี้น่ะ กินอะไรก็ไม่อร่อยหรอก
    นอกจากชอคโกเเลต”

    “ไม่กลัวอ้วนบ้างหรือ แพรมน”
    คราวนี้คนถามหัวเราะน้อยๆ แต่พอเห็นหน้าตาเธอยังไม่ดีขึ้น
    เขาจึงกลับมาเป็นงานเป็นการอีกครั้ง
    “ตะกี้เธอบอกว่าเบื่อ ?..มีอะไรจะเล่าให้พี่ฟังไหม”

    แพรมนไม่คิดว่าเธออยากจะเล่าอะไร แต่พอมอง ‘หน้าตาใจดี’ แบบนั้น
    เธอก็อดจะเล่าให้เขาฟังไม่ได้

    “…มันไม่ใช่แค่นั้นนะคะพี่  บางทีก็มีอย่างคนไข้เข่าเสื่อมมา แพรก็บอกเขาไปว่า
    มันเป็นโรคของความเสื่อมนะ รักษาไม่หาย
    แต่กินยาจะช่วยบรรเทาอาการได้  และต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง
    ที่จะทำให้มันเสื่อมมากขึ้น ก็อธิบายไปอย่างนี้ แต่พอคนไข้พูดอีกที
    กลายเป็นแพรจะไม่รักษาเขา  ปล่อยเขาไปตามบุญตามกรรม
    อย่างนี้จะมีหมอไว้ทำไม”

    ประโยคสุดท้ายเธอสะบัดเสียงอย่างประชด  ไม่รู้ว่าประชดตัวเองหรือประชดใคร

    “แพรมน ..อย่ารู้สึกไม่ดีกับคนไข้”
    คำเตือนนั้นราวกับมานั่งอยู่กลางใจ  แพรมนนิ่ง ไม่เถียงอะไร
    แต่ริมฝีปากที่เม้มจนเป็นเส้นตรง  คงพอจะบอกใครต่อใครได้
    ว่าเธอกำลังดื้อเงียบ

    “ยังจำคนไข้เด็กข้าวติดคอที่เธอกับมีนาไปช่วยใส่ tube ได้ไหม”
    อยู่ๆอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเรื่องไป  เมื่อแพรมนบอกว่าจำได้  เขาก็เล่าต่อไปอย่างอารมณ์ดี

    “วันก่อนแม่เขาพาลูกอีกคนมาที่ OPD เด็กคนนั้นก็มาด้วย  
    แม่เขายังถามหาเธอกับมีนาอยู่เลย”

    “จริงเหรอคะ”
    แพรมนยิ้มดีใจ  เดี๋ยวกลับห้องพักแพทย์ต้องไปเล่าให้มีนาฟัง

    “แล้วจำเด็กจิกช็อคที่เธอเฝ้าจนเป็นไข้ได้ไหม อีกสองวันเขาก็กลับบ้านได้  
    แต่คุณหมอคนเฝ้ายังไม่หายไข้เลยตอนนั้น”

    คนพูดหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน แพรมนอยากจะทำหน้าบึ้ง
    แต่สุดท้ายก็ต้องหัวเราะออกมาเหมือนกัน

    “เวลารักษาคนไข้หายกลับบ้านได้นี่มันรู้สึกดีจริงๆนะว่าไหม”
    คำถามเรื่อยๆนั้นเหมือนคนถามไม่ได้เจาะจงต้องการจะพูดถึงอะไร
    แต่แพรมนก็ความรู้สึกไวพอจะเข้าใจอะไรๆได้
    ด้วยความดื้อดึงจึงทำให้เธอโพล่งออกไป

    “แต่คนไข้บางคนก็เหมือนเขาไม่อยากหายเลยนี่คะ  บอกอะไรก็ไม่ฟังอ่ะ”

    “แพรมน” เสียงเรียกชื่ออ่อนโยนแต่ก็แกมอ่อนใจ
    “ไม่มีคนไข้คนไหนไม่อยากหาย  แต่เธอเคยถามเขาบ้างไหม
    ว่าทำไมเขาทำตามสิ่งดีๆที่เธอบอกไม่ได้ คนป่วยของเธอ เขาไม่ได้ป่วยแค่กาย
    เธอลืมรักษาใจเขาด้วยหรือเปล่า”

    เมื่อเห็นเธอยังนั่งนิ่งไม่พูดอะไร  แต่ริมฝีปากที่เม้มสนิทเริ่มคลายลงไป
    เขาก็พูดต่อไปอย่างผู้ใหญ่  กำลังกล่อมเด็กดื้อ


    “อย่างคนไข้เบาหวาน พี่รู้ล่ะว่าเธอหวังดีทีเตือน ที่ห้าม แต่บางครั้ง
    เธอลองนึกถึงใจเขาบ้างสิ  ไอ้โน่นก็หมอห้าม  ไอ้นั่นก็กินไม่ได้
    ต้องเตือนตัวเองว่าป่วยอยู่ตลอดเวลามันทุกข์ใจแค่ไหน
    ถ้าเขาจะเผลอกินไปสักครั้งสองครั้ง ก็เห็นใจเขาบ้าง  คนไข้น่ะเหมือนลูกเธอนะ”

    “คะ”
    แพรมนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เมื่อได้ยินคำสอนนั้น

    “ให้คิดว่าคนไข้เป็นลูกเธอไง คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะ
    จะมีความปรารถนาดีต่อลูกอย่างจริงใจ
    ถ้าลูกจะดื้อ จะรั้น ก็ยินดีที่จะอภัยให้  เพราะถือว่าเขาไม่รู้”

    “ไม่รู้สิคะ ไม่เคยมีลูก”
    บทจะรั้นขึ้นมา  แพรมนก็คงน่าตีกว่าลูกดื้อๆสักคนเป็นไหนๆ  
    แต่แปลกที่เมื่อบอกไปอย่างนี้ เขากลับมองเธอยิ้มๆไม่พูดอะไร
    จนได้สบตา แพรมนจึงเริ่มรู้ตัวว่าต้องพูดอะไรผิดไป
    ไม่น่าเชื่อเลยว่า ดวงตาหลังแว่นกระจกใสนั้น ‘พูดได้’
    และมันกำลังพูดอะไรที่ทำให้อยู่ๆแพรมนก็หน้าร้อนขึ้นมา

    “เอาเถอะ พี่ก็แค่เปรียบเทียบน่ะ”
    แพรมนแอบถอนหายใจ  ดีนะที่เขาไม่พูดอย่างที่ดวงตาเขาพูด

    “แต่อยากให้เธอลองคิดดูดีๆนะ  การรักษาคนไข้มันเป็นศิลปะ  
    และเธอจะรักษาเขาหายได้ ต้องรักษาทั้งกายและใจ
    เธอเคยแปลกใจบ้างไหม  ว่าในวันที่วิทยาศาสตร์ก้าวไปถึงไหนต่อไหน
    ทำไมชาวบ้านเวลาเป็นอะไรก็ยังวิ่งหาไสยศาสตร์  อย่างคนไข้กระดูกหัก
    เขาพากันไปให้หมอน้ำมนต์เป่าให้   ทั้งๆที่ถ้ามาโรงพยาบาล
    หมอกระดูกจะดึงจนกลับเข้าที่  ไม่ติดแบบแขนคอกแบบที่หมอน้ำมนต์รักษา
    แต่ทำไมคนไข้ไม่มาโรงพยาบาล  กลับยังเต็มใจไปหาหมอน้ำมนต์ก่อนทุกที ”

    “แล้วพอไม่ติดก็กลับมาหาหมออยู่ดี”
    แพรมนเถียงเขาอยู่ในใจ  ครั้งนี้ไม่กล้าพูดออกไป
    เพราะเริ่มสงสัยและอยากรู้อยู่เหมือนกัน

    “อย่าตอบพี่ล่ะว่าเพราะเขาไม่อยากหาย  อย่างที่พี่บอกล่ะแพรมน  
    ไม่มีคนไข้คนไหนไม่อยากหาย  คราวนี้เราอาจจะต้องหันกลับมามองตัวเองใหม่
    ว่าทำไมเป็นคนแรกที่ทำให้เขานึกถึงไม่ได้..นี่ตกลงเธอจะไม่พูดอะไรจริงๆหรือ
    ..ดื้อจริงเชียว”

    ประโยคหลังๆคนพูดทำเสียงหมั่นเขี้ยว  จริงๆถึงตรงนี้ แพรมนก็พอจะ
    มองออกแล้วล่ะว่าทำไม  แต่แกล้งเขาต่อหน่อยจะเป็นไร
    อยากพูดก็พูดไป  เธอจะฟัง

    “เพราะเรามักมุ่งเน้นรักษาเขาแต่กาย ไม่รักษาใจ  ต้องยอมรับว่าสำหรับคนไทยแล้ว
    เรื่องพวกนี้เป็นเหมือนที่พึ่งทางใจ  ในเมื่อมาโรงพยาบาลหมอให้สิ่งนี้กับเขาไม่ได้
    เขาก็ต้องหาที่พึ่งทางใจอื่นๆ  พวกคนไข้มะเร็งนี่ยิ่งเห็นชัด”

    “ค่ะ”
    พิกุลทองร่วงจากปากหนึ่งดอก เมื่อคราวนี้เขาหยุดพูดและมองหน้า
    รอฟังว่าเธอจะพูดยังไง

    “พี่อยากให้เธอลองคิดดูจริงๆนะ  เพราะพี่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำ
    เธอรู้สึก ตั้งอยู่บนสำนึก  ของความปรารถนาดีต่อคนไข้
    แต่สิ่งหนึ่งที่เธออาจจะลืม คือเรื่องของความเข้าใจ
    ถ้าเธอยัดเยียดความปรารถนาดีของเธอ แต่ไม่เคยมีความเข้าใจ  
    เธอจะสื่อสารกับคนไข้ไม่ได้  สุดท้ายก็จะท้อแท้ หมดกำลังใจ
    พี่ไม่อยากให้เธอต้องเป็นแบบนั้น”

    “พี่รู้ได้ไงคะ”
    ถามแบบนี้ แปลว่าคนดื้อใกล้จะจนมุมแล้วล่ะ  อีกฝ่ายคงนึกรู้เหมือนกัน
    รอยยิ้มนั้นจึงใสกระจ่าง  ..และอ่อนโยนนัก

    “เพราะพี่เคยเป็นอย่างเธอน่ะสิ”

    คำตอบนั้นเหนือความคาดหมาย แพรมนทำตาโต ก่อนหัวเราะชอบอกชอบใจ
    “พี่วรินทร์เนี่ยนะคะ เคยงอแงกะคนไข้  ฮ่าๆๆ”

    “ใช่ แต่พอเวลาผ่านไป พี่ก็ได้เรียนรู้ พี่ถึงอยากให้เธอเชื่อพี่
    คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่นได้
    ไม่ต้องรอให้ตัวเองผิดพลาดหรอก..หรือเราว่าไง”

    “ค่ะพี่”
    คราวนี้แพรมนรับคำอย่างเต็มใจ อยู่ๆก็นึกถึงพระราชดำรัส
    ของพระบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย ที่คณะของเธออัญเชิญมาเป็นเครื่องเตือนใจ
    สำหรับนักศึกษาแพทย์  จำได้ว่าทุกครั้งที่แพรมนเดินผ่าน
    อาคารเรียนรวม เธอจะเงยหน้าขึ้นอ่าน และจดจำใส่ใจเสมอ

    ‘ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงอย่างเดียว แต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย’

    แม้ทุกครั้งที่อ่านจะเกิดความปิติที่อธิบายไม่ได้  แต่วันนี้แพรมนรู้สึกซาบซึ้ง
    ในพระราชดำรัสกว่าครั้งไหนๆ เธอรู้แล้วว่า เธอควรจะรักษาคนไข้ของเธอยังไง
    รักษาเขาอย่างคนที่มีหัวจิตหัวใจ รักษาอย่างหมอที่มีทั้งความปรารถนาดี
    และความเข้าใจต่อคนไข้  มันคงไม่ยากหรอก
    แพรมนมั่นใจว่าเธอทำได้ ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจ  เธอเชื่ออย่างนั้น

    จากคุณ : เจ้าหญิงน้อย - [ 1 ก.ย. 46 12:29:57 A:203.113.61.197 X: ]