The Dragon Tale ตอน8

                                                                              ป่าถาวร

                           หลังจากเซริกพาการอฟไปพักแล้วเขาก็กลับมานั่งพูดคุยกับเชก้าและกาซุที่ห้องๆเดิม พวกเขาต่างเคร่งเครียด

                           “ท่านปู่บอกให้เราเดินทางทันทีที่ดวงอาทิตย์ตกดิน” เซริกเอ่ย

                           “เร็วขนาดนั้นเลยหรอ” เชก้าว่า

                           “ใช่ เราต้องรีบไปให้ถึงป่าถาวรตอนรุ่งเช้า” เซริกตอบ

                            เชก้าเห็นกาซุนั่งเครียดที่มุมหนึ่งของห้อง

                            “เป็นอะไรไปกาซุ” เชก้าถาม

                            “ข้าแค่กังวลใจ”

                            “เรื่องอะไร” เซริกถาม

                            “ป่าถาวร พวกพี่คงจะไม่รู้สินะว่าที่นั่นอันตรายแค่ไหน มันเป็นป่าต้องคำสาป ไม่มีใครที่เข้าไปแล้วกลับออกมาได้อีก แม้กระทั่งชาวแฟรี่อย่างพวกเรา” กาซุเดินกลับไปกลับมา

                            “แล้วทำไมยังมีคนต้องการเข้าไปในป่านั่นอีก” เชก้าถาม

                            “เหตุผลเดียวกับเรา – เพื่อฟิโนเอร่า มันเป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ ‘หากผู้ใดได้ครอบครองฟิโนเอร่า ผู้นั้นจะมีความสุขและสมหวังในทุกสิ่ง’ หลายๆคนถึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไป” กาซุชี้ให้เห็นสาเหตุ

                             “ฟิโนเอร่าคืออะไร” เซริกถาม

                              “ไม่มีใครรู้” กาซุส่ายหน้า

               ----------------------------------------------------

                             ทันทีที่ดวงสุริยันลาลับขอบฟ้าพวกเขาทั้งสามก็ออกเดินทาง การเดินทางครั้งนี้ผู้ที่รู้เส้นทางมีคนเดียวคือกาซุ พวกเขาควบม้าด้วยความเร่งรีบตลอดทั้งคืนจนมองเห็นชายป่าพวกเขาจึงหยุดพัก เชก้าดูนาฬิกา-ขณะนี้เป็นเวลาตีสาม

                             “เราหยุดพักกันตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเข้าป่าถาวรกัน” กาซุว่าพลางจัดเตรียมที่พัก

                              พวกเขาก่อไฟเพื่อให้ไออุ่นและตกลงที่จะผัดกันเป็นเวรยาม เชก้าอาสาอยู่ยามเป็นคนแรก เซริกกับกาซุพอเลือกที่นอนได้ก็หลับอย่างง่ายดาย

                             เสียงลมหวีดหวิวตลอดเวลา ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ส่งเสียงแกรบกราบคล้ายถูกเหยียบย่ำ เชก้าชักหวาดระแวงเขาลุกเดินสำรวจรอบๆ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ พลันหูของเขาแว่วเสียงหัวเราะอันเย็นยะเยือก เชก้าพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นอีก

                             “สงสัยหูแว่วไปเองมั้ง” เชก้ารำพันกับตัวเอง เขาหันหลังกลับ

                                                  เฮือกกก…

                             เชก้าสะดุ้งสุดตัว เซริกยืนอยู่ข้างหลังเขาในระยะประชิด

                             “ตกใจแทบแย่” เชก้าบ่น

                             “ขอโทษที ฉันไม่คิดว่านายจะขวัญอ่อนขนาดนี้” เซริกแซวพร้อมทั้งทำท่าล้อเลียน

                             “ขอเตะก้นคนสักทีเถอะ” เชก้าว่าแล้ววิ่งไล่เซริกไปรอบๆ

                             “เฮ้ย หยุดสักทีเถอะ นายไปนอนซะฉันจะเฝ้าต่อนายเอง” เซริกตะโกนทั้งๆที่ยังวิ่งอยู่

                             “นายนั่นแหละหยุดแล้วมานี่” เชก้าหยุดวิ่งและนั่งลงข้างกองไฟ

                             เซริกนั่งลงข้างๆเชก้าอย่างว่าง่ายโดยไม่เฉลียวใจสักนิด-เชก้าเขกหัวเซริกเต็มแรง

                             “นายนี่มันน่านัก คนเค้าอุตส่าห์ไว้ใจ” เซริกโวยวาย เชก้าทำหน้าตาเฉย

                           แล้วเชก้าก็ระเบิดเสียงหัวเระออกมา เซริกหัวเราะตาม - มิตรภาพเกิดขึ้นอีกครั้ง

                             “นายนอนเถอะเดี๋ยวฉันเฝ้าเอง” เชก้าเอ่ย

                            “ไม่เอาน่า ฉันนอนแล้วนายนอนเถอะ” เซริกค้าน

                             “ถ้างั้นก็เฝ้าด้วยกันทั้งสองคนนี่แหละ” พวกเขาพูดขึ้นพร้อมกัน

           **************************************************

                            ‘เสียงเอะอะโวยวายอะไรกันเนี่ย’

                           ‘ทำไมพื้นถึงสั่นอย่างนี้ หรือว่าแผ่นดินไหว’

                           ‘ใครมาดึงแขนดึงขาเรานี่’ เชก้าปัดป้องเป็นพัลวัน ทั้งเตะ ต่อย ถีบ

                           “นี่ ตื่นได้แล้ว” เซริกตะโกนใส่หูเชก้า

                           เชก้าลุกพรวดขึ้น ตาสว่างทันที

                           “ฉันหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่” เชก้าถาม(น่าอายจริงๆ-เขาคิด)

                           “คนอะไรหลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว ปลุกก็ยากอีก รู้งี้เอาน้ำราดก็ดีหรอก” กาซุบ่นพลางลูบคลำเนื้อตัว

                           “นายเป็นอะไร ไปโดนอะไรมาฟกช้ำดำเขียวไปทั่ว” เชก้าถามด้วยความห่วงใย

                           “ยังจะมาพูดอีก คนเค้าหวังดีไปปลุกดันทั้งต่อยทั้งเตะ” กาซุโวยวาย

                           “เอาน่า อย่าทะเลาะกันเลยนี่ก็สายมากแล้วเข้าป่าถาวรกันเถอะ” เซริกเอ่ย

                           พวกเขาเก็บสัมภาระที่มีแล้วมุ่งหน้าสู่ป่าถาวร พวกเขาปล่อยม้ากลับไปเนื่องจากไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ภายหน้าจะเป็นอย่างไรจะต้องเสี่ยงอันตรายใดบ้าง พวกเขาไม่อยากให้เกิดการเสียชีวิต แม้ว่าจะเป็นชีวิตของสัตว์ก็ตาม

                        ป่าถาวรเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายเป็นทิวแถว ต้นไม้ทุกต้นมีใบสีเหลืองอร่ามซึ่งเป็นสีเฉพาะของต้นไม้ในป่าแห่งนี้

                          “สวยจัง” เชก้ายิ้มร่า

                          “ความงามอาบยาพิษ” กาซุขัดขึ้น “เดินตามดวงตะวันไปก็แล้วกันจะได้ไม่หลงทาง” กาซุนำทางทันทีที่พูดจบ

                            เดินไปได้สักพักก็เหนื่อยแทบจะขาดใจ อากาศร้อนอบอ้าวราวตู้อบ

                            “ทำไมถึงได้ร้อนขนาดนี้ เดินยังไงก็ไม่พ้นป่านี้สักที” เชก้าเหม่อมองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า

                           “พี่คิดว่าเราควรทำสัญลักษณ์ไว้นะกาซุ ต้นไม้ที่นี่ทุกต้นเหมือนกันจนแยกไม่ออก เราอาจหลงทางได้” เซริกแนะนำ

                           “เราคงไม่หลงหรอกเพราะเราเดินตามดวงตะวันอยู่” กาซุหยุดคิดเล็กน้อย”แต่ทำไว้ก็ดีเหมือนกัน” กาซุจึงทำสัญลักษณ์ไว้บนต้นไม้ทุกต้นที่เดินผ่าน

                             ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังคงเร่งฝีเท้าต่อไป

                             “นี่ เราจะไม่หยุดพักกันหน่อยหรอ” เชก้าทักท้วง

                            “ไม่ เราต้องมุ่งหน้าต่อไป ดวงตะวันลาลับขอบฟ้าเมื่อไหร่อันตรายก็จะใกล้เข้ามามากขึ้น” กาซุยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป

                             “พี่ว่าเราพักกันหน่อยก็ดีนะ เรายังไม่ได้หยุดพักกันเลย” เซริกว่าและกาซุก็ปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย “ไปพักใต้ต้นไม้ต้นนั้นก็แล้วกัน” เซริกชี้

                              ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเซริกกับเชก้านั่งลงใต้ต้นไม้นั้นโดยไม่ทันสังเกตเห็นบางสิ่งที่กาซุสังเกตเห็น

                              “นั่งลงสิกาซุ” เซริกเรียก กาซุยังคงนิ่งเฉย “มีอะไรหรือเปล่า”

                              “เรา เอ่อ เราหลงทางแล้ว” กาซุตอบไม่เต็มเสียง สายตาจับจ้องบางสิ่งบนต้นไม้ มันเป็นสัญลักษณ์ที่เขาทำไว้ “จบกัน เราออกจากที่นี่ไม่ได้”

                               “ทำใจดีๆไว้กาซุ มันต้องมีทางสิ” เชก้าปลอบ

                               “ไม่มีใครออกจากที่นี่ได้ ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าป่าถาวรเพราะไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่ป่า ไม่มีทางออก” กาซุเริ่มเสียขวัญ

                                “อาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ ป่านี้ต้นไม้สวยคนเลยชอบอยากให้มีอยู่ต่อไปเลยเรียกป่าถาวรไง จริงไม๊เซริก จริงไม๊ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า” เชก้าพยายามทำให้เป็นเรื่องตลก แต่ไม่ยักจะมีคนขำ ทุกอย่างเงียบกริบ

           *****************************************************

    จากคุณ : kaze (kaze_kaze) - [ 4 ก.ย. 46 10:30:25 ]