คืนนี้ผีไม่หลอก(จริง ๆ จ๊ะ)

    ป่าช้าร้างผีดุจนคนไม่อยากพูดถึงในอดีต  
    ด้วยสถานที่ตรงนั้นเคยเป็นสุสานฝังศพนักโทษอุกฉกรรจ์นับร้อยศพด้วยการตัดคอ  
    ว่ากันว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นยังไม่ไปเกิดที่ไหน  ยังคงวนเวียนอยู่ตรงนั้น  
    คอยหลอกหลอนและคร่าชีวิตผู้คนอย่างโหดร้าย  
    อาถรรพ์เพิ่มขึ้นจนต้องมีการหาหมอผีมาปราบ  
    แต่หมอผีก็นำชีวิตมาทิ้งที่นี่ศพแล้วศพเล่าจนไม่มีหมอผีคนใดกล้าย่างกรายเข้ามาอีกเลย
     
    ในที่สุดสถานที่ตรงนี้เลยถูกทิ้งให้เป็นป่าช้าร้างนับร้อยปีพร้อมกับตำนานอันน่าสะพรึงกลัว
    ร้อยปีต่อมาคือปัจจุบันนี้  สถานที่ตรงนั้นถูกตัดเป็นถนนหลวง  
    เรื่องราวแห่งอาถรรพ์จางหายไปเหลือเพียงตำนานเล่าขานถึง  
    แต่การตายของผู้คนยังคงมีต่อเนื่อง  แต่ก็สรุปกันว่า  
    การตายนั้นเกิดจากอุบัติเหตุ  เป็นการตายจากความประมาทของผู้ขับขี่เอง  
    แต่ทว่าการตายหมู่ครั้งหลังสุดเป็นเหตุฉงนกับผู้คนที่ได้ฟังเรื่องราว  
    ขบวนรถทอดผ้าป่าสามคันชนกันเองและพลิกคว่ำสามตลบ  
    ผู้โดยสารเสียชีวิตทุกคนร่วมสองร้อยศพ  ผู้โดยสารมีทั้งสายธารบุญ  แม่ชี  
    แม่พราหมณ์ และพระภิกษุ  
    ข่าวถูกพาดหัวหน้าหนึ่งอยู่วันเดียวแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นกระทบฝั่ง
     
    ต่างคนต่างก็สรุปตามความคิดเห็นของตัวเองถึงสาเหตุที่ทำให้รถคว่ำว่าเพราะอุบัติเหตุ
     บ้างก็ว่าเพราะมีวิญญาณร้ายมาหลอกจนทำคนขับเสียสติจนเกิดอุบัติเหตุ  
    รถที่ผ่านไปมาแถวนั้นบีบแตรเป็นการขอทางตามความเชื่อของตัวเองทั้งที่เชื่อสนิทใจ
     เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจ
    ห่างจากที่นั่นออกไปสามกิโลเมตร  เวลาตีสอง  
    แท็กซี่มิเตอร์เขียวเหลืองคันหนึ่งกำลังปฏิเสธผู้โดยสารที่เป็นพระภิกษุธุดงค์รูปหนึ่ง
      ท่านโน้มตัวเล็กน้อยเข้าไปในตัวรถพูดคุยกับคนขับอย่างสุภาพ  
    ขณะที่การเจรจาดำเนินไปอยู่นั้น  
    แท็กซี่มิเตอร์อีกคันจอดรอผู้โดยสารอยู่ข้างทางกำลังมองแท็กซี่คันนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
     เสียงด่าลอยมาพร้อมกับเสียงดังลั่นของแตรแสดงความไม่พอใจ  
    เป็นการรู้ว่าผู้โดยสารคนนี้เป็นของมัน  
    แท็กซี่คันนั้นจึงไม่อยากรับพระรูปนั้นไปด้วย  
    แต่พระรูปนั้นก็ไม่ยอมเลิกราสักที  เกรงใจพระก็เกรง  
    นึกหวั่นใจกับกริยาของแท็กซี่เจ้าถิ่นคันนั้นก็หวั่น  
    ในที่สุดแท็กซี่คันนั้นก็รับพระธุดงค์รูปนั้น  
    และรีบออกรถจากที่นั้นอย่างร้อนรน  แท็กซี่เจ้าถิ่นบีบแตรอีกครั้ง  ดังและย้ำ ๆ
    หลายครั้งพร้อมกับออกรถตามมาอย่างหัวเสีย
    “ไปไหนครับหลวงพี่”
    หลังรถออกวิ่งได้ปกติแล้วแท็กซี่หันมาถามผู้โดยสารเจ้าปัญหาของเขา
    “ไป.....” พระธุดงค์รูปนั้นบอกสถานที่อาถรรพ์ที่ห่างออกไปอีกสามกิโลเมตร  
    ทำให้คนขับร่างผอมกะหร่องนั้นถึงกับอ้าปากค้าง
    “ผมไม่อยากไปเลยหลวงพี่  ผมบอกหลวงพี่จริง ๆ ว่าผมกลัว  แถวนั้นผีดุจะตาย  
    หลวงพี่ไปคันอื่นได้ไหมครับ  ผมไปส่งหลวงพี่ที่รถคันอื่นก็ได้  
    ผมไม่คิดค่าโดยสาร”  ทีนี้เป็นคนขับที่เป็นฝ่ายต่อรอง
    แต่ยังไม่ทันที่พระรูปนั้นจะทันพูดอะไร  
    รถแท็กซี่เจ้าถิ่นคันนั้นก็วิ่งปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด  
    โชเฟอร์ร่างผอมรีบหักพวงมาลัยหลบอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ  
    เขาประคองรถไม่ให้เสียหลักพุ่งชนเกาะกลางถนนได้หวุดหวิด  
    ถ้าพุ่งชนเกาะกลางถนนรถอาจคว่ำก็ได้  
    ทุกคนในรถมีอันต้องได้รับอันตรายเป็นแน่แท้  
    แต่กระนั้นเสียงล้อเบียดถนนดังลั่นก้องไปทั่วบริเวณในยามดึก  
    พอตั้งสติได้เขาบีบเสียงแตรดังลั่นอย่างบ้าบิ่น  
    แต่การกระทำของโชเฟอร์ร่างผอมไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุด  กลับทำให้มันได้ใจ  
    มันเหยียบเบรกเสียงดังแล้วเข้าเกียร์ถอยพุ่งเข้าหารถคันที่พระธุดงค์โดยสารมาอย่างรวดเร็ว
     
    ระยะกระชั้นเกินกว่าโชเฟอร์ร่างผอมจะควบคุมรถได้จึงชนเข้ากับท้ายรถคันนั้นอย่างแรง
     แล้วมันก็ขับหายไปในความมืดของท้องถนน  
    พอตั้งสติได้เขาก็บึ่งรถตามไปด้วยความโกรธจนลืมว่ารถเขาเสียหายแค่ไหน  
    แต่รถคันนั้นก็หายไปเสียแล้ว  
    เขาสบถหยาบคายออกมาสองสามคำและประคองรถให้วิ่งไปตามถนนอย่างตุปัดตุเป๋เพราะหัวเสีย
    “ผมว่า บางทีคนก็น่ากลัวกว่าผีเยอะนะครับหลวงพี่” แกเปรยเบาๆ
    “บางทีคนน่ากลัวกว่าผีหลายเท่าเลยหละโยม
    ผีหนะมีเวลาจำกัดในการออกมาสู่โลกมนุษย์  มีเวลาไปเวลากลับ  
    นั่นเป็นกฎแห่งโลกวิญญาณ  แต่มนุษย์ต้องอยู่ร่วมโลกกันตลอดเวลา ที่เรียกว่า
    โลกสันนิวาส”
    “อือ  ผมก็ว่างั้นแหละครับ  ผมเองเพิ่งได้ยินว่าผีมีเวลาจำกัด  
    มันยังไงกันครับ” แกถาม สายตาเพ่งไปข้างหน้า  ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ
    “โลกแห่งวิญญาณทั้งภูตผีปีศาจและเทพบนชั้นฟ้าจะมาสู่โลกมนุษย์ได้ในวันที่มิติที่สี่เปิดเท่านั้น
     
    ในเจ็ดวันจะมีเพียงวันเดียวคือคืนก่อนวันพระวันหนึ่งหรือที่เรียกว่าวันโกนนั่นแหละ
      ทางพระพุทธศาสนาจึงนิยมทำบุญวันพระกันมาก  
    เพราะเป็นวันที่ญาติที่เสียชีวิตไปแล้วจะมาจากมิติที่สี่มารับข้าวของที่ทำบุญไปให้”
    “งั้นการที่คนทำบุญวันพระมาก ๆ ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล  มีที่ไปที่มาสิครับ  
    ไม่ใช่แค่ทำตามกันเท่านั้น”
    “ใช่แล้วโยม  ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาล้วนมีเหตุผลในตัวเองทั้งสิ้น  
    เพียงแต่เราจะเข้าถึงเหตุผลนั้นหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”
    เขาพยักหน้าเข้าใจ  การสนทนาเริ่มออกรส  เขาจึงถามต่อ
    “แล้วหลวงพี่คิดว่าผีมีจริงไหม”
    “มีสิโยม  คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาก็อ้างอิงไว้หลายแห่ง  
    อย่างกรณียเมตตสูตรก็มีกล่าวถึงผีหลายประเภทที่มาหลอกหลอนพระจนไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม
     จนพระพุทธเจ้าได้ให้สูตรนี้ไป  พอพระนำสูตรนี้ไปสวด  ผีก็ไม่มีทำร้าย
    หลอกหลอนอีกเลย  เป็นคาถาที่ทำให้ผีรักหนะโยม”
    เขาพยักหน้าอีกครั้ง  
    เพิ่งเคยได้ยินว่าผีมีจริงในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาก็คราวนี้แหละ  
    ในใจเขาเกิดศรัทธาต่อพระรูปนี้ขึ้นเรื่อย ๆ
    ในใจเขาคิดว่าจะไม่รับค่าโดยสารจากท่าน  แต่ก็ยังไม่เอ่ยปากว่ากระไร  
    ลงรถแล้วค่อยบอกท่านดีกว่า  เขาเริ่มสังเกตผู้โดยสารของเขาทางกระจกมองหลัง  
    หน้าตาท่านก็ยังหนุ่มแน่น  อายุถ้าเขาคาดไม่ผิดก็ไม่น่าจะถึงสามสิบ  
    ผิวค่อนข้างคล้ำ  ใบหน้าคมคาย  และสงบ  เห็นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก  
    เขาเองก็ไม่ค่อยได้เข้าวัดสักเท่าไหร่  
    ปัญหาเรื่องปากท้องกับลูกที่ต้องไปโรงเรียนเป็นสิ่งที่เขาต้องคิดก่อนการไปวัด  
     จนลืมไปว่าเขาไปวัดครั้งสุดท้ายตอนไหน  
    คืนนี้ถือโอกาสทำบุญด้วยสิ่งที่เขามีนี่แหละ
    “ผมเองเป็นคนกลัวผีหนะครับ  ผมกลัวผีเป็นอย่างมาก  
    ผมไม่เคยอยู่คนเดียวในที่มืดมาตั้งแต่เด็ก  
    พ่อผมตีผมแทบตายแต่ก็ทำให้ผมเลิกกลัวผีไม่ได้  ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง”
    “โยมเคยเห็นผีเหรอ”
    “ไม่หรอกครับ  แต่ผมก็กลัว”
    “นี่แหละมนุษย์หละโยมเอ๋ย   ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก  
    เพราะความกลัวของมนุษย์นี่แหละทำให้ผีมีช่องว่างในการหลอกหลอนได้  
    ถ้าคนไม่กลัวก็ไม่มีผีมาหลอกได้หรอก  
    และเพราะความกลัวนี่เหมือนกันที่ทำให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นในโลก  
    แม้กระทั่งศาสนาบางศาสนาก็เกิดขึ้นเพราะความกลัวของมนุษย์นี่เอง”
    “ผมพูดตรง ๆ นะหลวงพี่  ผมไม่อยากไปส่งหลวงพี่เลย  
    แถวนั้นเขาว่าผีดุผมก็ไม่อยากไปแล้ว”
    “คืนนี้ผีไม่หลอกหรอกโยม  อาตมารับประกันให้โยมได้  แม้คืนนี้จะเป็นวันโกนก็ตาม
     ถ้าโยมกลัวก็ให้โยมถือนี่ไว้  แล้วนึกถึงอาตมาไว้  มาแถวนี้แล้วผีจะไม่หลอก”  
    พระธุดงค์หนุ่มยื่นวัตถุสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือให้เขา  
    เขาประณมมือไหว้ขอบคุณแล้วรับมาใส่กระเป๋าเสื้อไว้  
    แววตาแสดงความดีใจอย่างลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด
    “เลยโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้วหละโยม”
    พระภิกษุชี้ตรงศาลาร้างหลังหนึ่ง  แค่เห็นก็ชวนให้ขนลุก  
    แต่เป็นวิสัยพระก็คงไม่แปลกอะไร  พระกับสิ่งเร้นลับมักเป็นของคู่กันเสมอ  
    ก่อนจะถึงบริเวณนั้น  มีแสงไฟจากแท็กซี่คันหนึ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างทาง  
    สภาพรถด้านหน้าหายไปกับเสาไฟฟ้าจนถึงตัวคนขับ  
    คนขับถูกอัดเข้ากับพวงมาลัยจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร  ไฟกระพริบและมีควันจากหม้อน้ำ
      โชเฟอร์แท็กซี่เห็นรอยบุบจากการถูกชนตรงท้ายรถแล้วถึงกับอุทานออกมาดัง ๆ
    “ให้ตายสิ  เพิ่งหาเรื่องผมมาหยก  ๆ เวรกรรมมีจริง ๆ เลยนะครับหลวงพี่  
    ผมไม่กล้าลงไปช่วยเขา  คิดว่าเขายังไม่ตาย  
    หลังจากส่งหลวงพี่แล้วผมจะโทรไปแจ้งตำรวจ  ถึงจะร้ายแค่ไหนยังไงก็เพื่อนร่วมโลก
     ร่วมอาชีพ”  
    เขาตะลึงกับเหตุการณ์เบื้องหน้าจนลืมสังเกตอาการของพระภิกษุหนุ่มหันมามองเขาตอนที่เขาพูดว่า
     คนขับแท็กซี่คนนั้นยังไม่ตาย  ก่อนท่านจะวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    แท็กซี่จอดริมทาง  แล้วประณมมือไหว้พร้อมกับพูดสองสามคำแล้วก็ออกรถจากไป  
    เขาหยิบมือถือโนเกียราคาถูกของเขามากดเพื่อแจ้งเหตุขณะรถวิ่งลับตา
    พระภิกษุหนุ่มแบกกลด สะพายบาตร  เดินเท้าเปล่าหายไปหลังศาลารกร้างหลังนั้น  
    บริเวณใกล้ ๆ กับศาลามีศาลเพียงตาผุ ๆ อยู่แห่งหนึ่ง  พวงมาลัย  ผ้าสี
    และเครื่องเซ่นไหว้  ท่านมายืนพินิจอยู่ครู่หนึ่งโดยปราศจากสีหน้าตื่นกลัวใด ๆ  
    ท่านสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังศาลเพียงตา
    “ออกมาเดี๋ยวนี้”  ท่านออกคำสั่งเสียงก้อง  น้ำเสียงมีพลังอำนาจน่ายำเกรง  
    แล้วร่างที่ซ่อนอยู่หลังศาลเพียงตาก็ปรากฏกายออกมาช้า ๆ   เป็นชายร่างกำยำ  
    นุ่งโจงกระเบนสีแดง  หน้าตาเต็มไปด้วยแผลเป็น ได้เดินออกมาช้า ๆ
    เท้าเดินไม่ติดพื้น  เขาเป็นวิญญาณนักโทษที่ถูกตัดคอเมื่อร้อยปีก่อน ณ
    ที่ตรงนี้  วิญญาณยังสิงสถิตอยู่ที่นี่คอยคร่าชีวิตผู้คน  
    เขาเป็นหัวหน้าของปีศาจร้ายที่นี่มานับร้อยปี
    “เจ้านั่นเอง”
    “ใช่ ข้าเอง”
    “ตามข้ามา” พระธุดงค์ออกคำสั่ง  
    เท้าท่านไม่แตะพื้นหายไปจากที่นั่นพร้อมกับหัวหน้าผีร้าย  
    แล้วมาปรากฏกายที่รถแท็กซี่ประสบอุบัติเหตุคันนั้น  
    เสียงครางอย่างเจ็บปวดดังมากจากรถแท๊กซี่  เลือดโทรมกาย  ใบหน้าปูดบวม  
    ไม่อยู่ในสภาพที่จะช่วยตัวเองได้  คงสภาพลมหายใจก็ลำบากเต็มที  
    พระธุดงค์หนุ่มเอื้อมมือยาวเกินมือมนุษย์ออกไปจับที่คอของเจ้าหนุ่มโชเฟอร์แล้วบิดแรง
    ๆ เสียงกระดูกหักดัง กร๊อบฟังดูเสียวไส้ยิ่งนัก
    “ไอ้หนุ่มคนนั้นพูดถูก  มันยังไม่ตายจริง ๆ ที่เหลือเจ้าจัดการซะ  
    แบ่งปันกันกินให้ทั่วถึงกัน” พระธุดงค์ออกคำสั่งอีกครั้ง  
    หัวหน้าปีศาจร้ายน้อมรับด้วยความกระหยิ่ม
    “เจ้าจงประกาศออกให้ทั่วถิ่นนี้   ห้ามทำร้ายไอ้หนุ่มคนที่ถือทองคำดำคนนั้น  
    มันเป็นคนดีที่หาได้ยาก   ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งข้า  ตาย  จำไว้”
    พระธุดงค์หนุ่มรูปนั้นหายไปจากที่นั่นทันทีที่สิ้นคำสั่ง  
    หัวหน้าผีร้ายน้อมรับอีกครั้ง  
    มันรู้ดีว่าพระรูปนี้มีพลังอำนาจมากกว่าตัวมันยิ่งนัก  
    หากต่อต้านหรือฝ่าฝืนมีอันต้องถูกฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ อย่างทรมาน  
    ตั้งแต่พระรูปนี้มรณภาพตอนรถผ้าป่าตายหมู่สามคันรวดที่นี่ทำให้พระรูปนี้กลายเป็นวิญญาณร้ายที่มีพลังทำลายล้างยิ่งกว่าพวกมันเป็นร้อยเท่า
     
    จิตที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐานที่เน้นทางฤทธิ์เดช(กสิณ)บวกกับจิตใจฝ่ายร้ายที่มีอยู่ทำให้จิตมีพลังเหนือผีร้ายตนใด
    ๆ ในป่าอาถรรพ์แห่งนี้.

                                 โดย
    >>>>>>>>>> น้ำบ่อทราย <<<<<<<<<<<

    จากคุณ : babybabe - [ 4 ก.ย. 46 19:10:50 ]