+++ ว่างไว้......ให้เธอ +++ตอนที่ 1

                      เมนาจอดรถจักรยานทิ้งไว้ที่ต้นก้ามปูในสวนข้างๆ บ้าน สายตาทอดมองไปหยุดอยู่ที่ต้นชมพู่ริมสระน้ำ สายลมโชยฉิวพริ้วมาปะทะกับผิวกายจนรู้สึกถึงความเหน็บหนาวของอากาศปลายฝนต้นหนาว  ลมหนาวโชยมาทักทายเธอพร้อมกับลมฝนที่กล่าวอำลาเธอไปอีกหนึ่งฤดูกาล  ผ่านไปอีกปีแล้วนะ...

                      สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ สระและรอบๆ สวน เพื่อสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ แปลก….ทั้งที่เวลาผ่านไปนานหลายปี อะไรๆ ดูมันไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนเลย เคยอยู่ยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น

                      เหมือนกับว่า..ช่วงเวลาไม่ได้หมุนเปลี่ยนไปเลย ทั้งที่เวลาล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว คนที่เคยผูกพันกับที่นี้ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปคนละที่เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง และในช่วงเวลาที่ต่างคนต่างมีหน้าที่นั้นสวนแห่งนี้ก็คงได้รับการดูแลจากเจ้าของเป็นอย่างดี เช่นกัน

                      เมื่อก่อน คราวครั้งที่เมนายังเป็นเด็กสาวผมสั้นกุด ยังเป็นนักเรียนชั้นประถมในโรงเรียนละแวกนี้ ตอนนั้นเธอจะพาเพื่อนๆมาเป็นโขยงเื่พื่อมาอ่านหนังสือกันที่สวนแห่งนี้แทบทุกวันหลังเลิกเรียน หรือไม่ก็..ในวันหยุดที่เป็นเสาร์- อาทิตย์ เมนากับพี่ชายจะมานอนเล่นที่เปลญวนที่ทำมาจากป่านของใครคนหนึ่งที่ใต้ต้นมะม่วงต้นนั้น ต้นที่อยู่ใจกลางสวน

                      เมนาคงเป็นเด็กดื้อเพียงคนเดียวกล้าดีนอนเปลสุดรักสุดหวงอันนั้นได้ พวกเราเอาเรียกชายหนุ่มลูกชายเจ้าของสวนว่า “พี่น้ำหมึก” ชื่อจริงๆ เขาคือ อิงกุลเรียกเล่นๆ ว่า “พี่อิงค์” คงมีแต่เมนาเพียงคนเดียวมั้งที่ไม่ยอมเรียกตามใครๆ เธอติดปากและจะเรียกชื่อเขาว่า ”พี่น้ำหมึก” พอเรียกชื่อนี้บ่อยๆเพื่อนๆ ของเธอก็เลยติดปากเรียกชื่อเขาตามเธอเป็นทิวแถว

                      แรกๆ ชายหนุ่มก็ทำหน้าปูเลี่ยนกับชื่อที่เธอเรียก  เคยต่อว่าต่อขานไปหลายที แต่พอเรียกเข้าบ่อยๆ ก็ชักจะชิน จะเรียกยังไงก็เชิญเถอะ ขี้เกียจจะพูดด้วยแล้ว เพราะยิ่งพูดไปยิ่งปวดหัว พี่น้ำหมึกเป็นรุ่นพี่เธอหลายปีเชียว ท่าทางดูดุ เพราะเป็นหนุ่มที่เงียบขรึมไม่ค่อยจะพูด แต่ภายใต้ท่าทีนั้นมีความใจดีแอบแฝงอยู่

                      อาจจะเพราะว่าเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของคุณนายเจ้าของสวน เลยค่อนข้างจะเอาแต่ใจตนเอง ดังนั้นจึงรัก และหวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ชื่อว่าเป็นของตนเอง ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าเป็นของเขา เขาจะรักและก็หวงเอามากๆ ใครจะมาแตะต้องของรักของหวงของเขาไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องแน่ๆ เพราะเขาจะคอยกลั่นแกล้งคนที่มายุ่งเกี่ยวกับของรักของเขา

                      แต่...มีหรือคนอย่างเมนาจะกลัว ก็พี่ชายของเมนาเป็นคนเก่งนี่นะ แถมยังเป็นเพื่อนสนิทของเขาอีกต่างหาก ถ้าพี่น้ำหมึกมาแกล้งเมนา เธอก็ฟ้องพี่ชายเธอมันก็เท่านั้นเอง  แล้วเธอก็ยังรู้อีกด้วยว่า คนดุของเธอนะ ขี้ใจอ่อนที่สุดในโลกด้วย โดยเฉพาะกับเธอเอง

                      เมื่อคราวครั้งที่เมนาและเพื่อนๆ แอบขึ้นไปนอนบนเปลสุดรักสุดหวงของพี่น้ำหมึกคราวนั้น เมนาก็ถูกกลั่นแกล้งจากพี่น้ำหมึก โดยเขาแกล้งไกวเปลญวนนั้นแรงๆ จนคนที่นอนบนเปลรู้สึกกลัวเพราะแรงที่มากขึ้นทำให้เปลลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งแรงและเร็วจนเธอรู้สึกกลัว กลัวว่าจะหล่นลงไปกองกับพื้นถ้าเธอเกาะเอาไว้ไม่ดี และตามติดมาด้วยน้ำแฉะๆ ที่เปียกชุ่มเปล มาจากไหนก็ไม่รู้ทั้งที่วันนี้ก็ไม่มีเค้าว่าฝนจะตกซักหน่อย

                      เสียงร้องไห้ระงมของเมนา  ก็..ดังขนาดแปดหลอดเสียงอย่างนั้นมันจะค่อยได้ยังไงกัน สุดท้ายเขาก็ใจอ่อน หยุดไกวเปลเอาดื้อๆ แถมยังเอาอกเอาใจเมนาเพื่อที่จะให้เมนาหยุดร้องไห้โดยเร็ว ทั้งที่โมโหที่เมนาฉี่รดเปลของแทบตายก็ตามที

                      “โอ๊ะ โอ…คนดี๊ คนดี หยุดร้องทีเถอะนะคะ พี่ไม่โกรธเราแล้ว หยุดร้องเร็วคนดี เอางี้..ถ้าหยุดร้องพี่อิงค์จะเลี้ยงขนม ไปกินกันเดี๋ยวนี้เลยด้วย”

                      ตอนนั้นพอได้ยินว่าเขาจะเลี้ยงขนมเท่านั้นล่ะ น้ำหูน้ำตาที่หลั่งไหลมาจากไหนตั้งมากมายเมื่อสักครู่ ไม่รู้มันสูญหายไปตอนไหน เพราะตอนที่สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมานั้นแทบจะไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่บนแก้มนวลนั้นเลย พร้อมๆกับกระโดดลงจากเปลมาจูงมือคนที่ประกาศออกมาเองปาวๆว่า ”จะเลี้ยงขนม” ให้เดินกลับบ้านของเขาตามแรงจูงของเธอ เหมือนกับว่าเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอชายหนุ่มรับรู้ว่าเสียท่าแล้ว ก็ทำท่าจะเปลี่ยนใจไม่ยอมเดินกลับบ้านด้วย

                      “เดี๋ยว..เมนาจะไปไหนกันนะ”

                      “อ๊ะ..อ้าว..ก็ไหนพี่น้ำหมึกว่าจะเลี้ยงขนมเมลไงค่ะ พูดเองแป้ปๆ ทำเป็นลืม”

                      เธอออกปากทวง

                      “แหม่..เห็นแก่กินจังเลยนะเรานะ เห็นตัวเท่ากุ้งอย่างนี้ก็เถอะ พอพูดถึงเรื่องกินเข้าหน่อยไม่ได้เลยนะ ที่พูดเมื่อกี้ใครเขาพูดจริงกันล่ะ ล้อเล่นต่างหากละ “

                      เมนาทำท่าจะกรีดน้ำตาออกมาอีกหน อิงกุลเลยชิงห้ามปรามไว้ก่อน ก่อนที่จะปลอบยายกุ้งแห้งแปดหลอดมากไปกว่านี้

                      “ที่พี่พูดเมื่อกี้นะ พี่หมายความว่าพี่อยากให้เรากลับไปอาบน้ำทาแป้งหอมๆ ก่อน ตอนนี้กางเกงเราเปียกฉี่อยู่ไม่ใช่เหรอ ดูหน้าตาก็มอมแมมไปด้วยคราบน้ำตาหมดแล้ว แม่เห็นเดี๋ยวก็เข้าใจว่าพี่รังแกเราอีก กลับบ้านไปอาบน้ำทาแป้งหอมๆ แต่งตัวสวยๆ ก่อนค่อยกลับมาทานขนมก็ได้ นอกจากจะให้ทานเต็มที่ที่บ้านแล้วยังใจดีใส่ถุงให้เอากลับบ้านได้ด้วยนะ โอ.เค. นะ”

                      “สัญญานะ”

                      “ครับ..สัญญา”

                      อิงกุลยื่นนิ้วก้อยยาวๆ ของเขาไปเกี่ยวก้อยกับนิ้วก้อยป้อมๆ ของเธอ นั่น…มันก็ผ่านมานานแล้วเต็มทีแต่มันก็ยังตราตรึงในใจของเธอมาตลอด

                      เมนาก้มลงเก็บผลชมพู่ที่หล่นลงมาเกลื่อนพื้นหญ้าสองสามผลขึ้นมา ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ใต้ต้นมะม่วง ต้นที่เคยมีเปลญวนผูกอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีเปลผูกอยู่แต่ลักษณะเปลแล้วคงเป็นเปลใหม่แต่ลักษณะเปลคล้ายๆกัน  ทอดมองไปโดยรอบโดยอดที่จะคิดถึง “พี่ชายใจดี” ไม่ว่าจะเป็นพี่น้ำหมึกหรือพี่เมษก็ตามที

                      ทุกครั้งที่เธอมาที่นี่ก็มีพี่ชายทั้งสองคนนี่ละที่คอยหาเสบียงส่งให้ ไม่ว่าจะเป็น ชมพูมะเหมี่ยวผลสีชมพูออกม่วงๆ มะม่วงเขียวเสวย มะพร้าวน้ำหอมผลอ่อนๆ และทุเรียน เธออิ่ม เพื่อนๆ ของเธอก็เลยพลอยอิ่มไปด้วย เป็นอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเมนาเรียนจบชั้นม.6 พี่ๆของเธอก็เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเรียนต่อ

                      พี่น้ำหมึกและพี่เมษของเธอไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่ประเทศอังกฤษ เพื่อนๆ และเมนาก็เข้าเรียนชั้นมหาวิทยาลัยเช่นกัน เพื่อนสนิทที่แม้จะแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่แต่ก็ยังติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอก็คือ สร้อยสุดา อิทธิพล นรีรัตน์ คนอื่นๆ แม้จะไม่เรียนต่อ แต่ก็เลือกประกอบอาชีพอิสระเป็นของตัวเอง บางคนก็แต่งงานมีครอบมีครัวไปแล้วก็มี

                      เมนาล้มตัวลงนอนบนเปลญวนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เปลเริ่มไกวแรงขึ้นทุกที ทั้งที่ไม่มีลมพัดแล้วนี่นะ เปลไกวแรงและเร็วขึ้นจนเธอนอนหลับตาต่อไปไม่ไหวด้วยรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ยังจะมีใครมาแกล้งเธออีกอย่างนั้นหรือ ก็คนที่เขาเคยแกล้งเธอแบบนี้นะตอนนี้เขาอยู่ไกลถึงอังกฤษโน่น....นนน

                      จะโทษ เทวดา นางฟ้า เจ้าที่เจ้าทางที่ปกปักษ์รักษาต้นมะม่วงนี้ ก็นี่มันบ่ายแก่แล้ว สิ่งที่เธอคิดคงไม่ออกมาสำแดงตนตอนนี้แน่ สอดส่ายสายตาดูโดยรอบก็ไม่เห็นมีใครสักคน

                      และที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแม้ตอนบ่ายแก่ๆ ก็เถอะก็น่าจะเหลือแต่…ผี..แน่ๆ…เพราะไม่มีเหตุผลใดเข้าท่าไปกว่านี้แล้ว เมนารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเป็นผลให้ผลชมพู่ที่เธอถือติดมือมานั้นล่วงหล่นลงไปกองกับพื้นหญ้า แต่เจ้าตัวก็หาได้สนใจไม่กลับเร่งฝีเท้าเผื่อที่จะได้ออกจากสวนแห่งนั้นโดยเร็ว   เรื่องลี้ลับที่พิสูจน์กับตาตัวเองไม่ได้ แม้ไม่เห็นกับตาตัวเองแค่นึกถึงก็รู้สึกกลัวแล้ว..อยู่ดี

                      ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ที่ยืนอิงแอบบกับต้นมะม่วงเมื่อสักครู่ค่อยๆเผยตัวออกมาหลังจากหญิงสาวเดินไปไกลแล้ว เขามองตามร่างโปร่งบางที่ขี่จักรยานออกไปจนลับตา พร้อมกับรอยยิ้มขบขันที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนที่จะก้มลงเก็บลูกชมพู่ที่หล่นเกลื่อนพื้นไปรวมกับพวกของมันที่เขาเก็บใส่ตะกร้าก่อนหน้านี้ และต้องนำชมพู่ตะกร้านี้ไปที่บ้านของเธอก่อนที่เธอจะเดินทางกลับถึงบ้าน…

                      ดูเหมือนเขาจะมีทางลัดที่จะไปบ้านของเธอได้เร็วกว่าที่เธอขี่จักรยานนะ ….ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบไปในเส้นทางดังกล่าวทันที…

                      พอกลับถึงบ้านเมนาก็เห็นหลังของใครก็ไม่รู้ไวๆ นึกแปลกใจเหมือนกันทำไมไม่ออกทางประตูหน้าบ้าน เขาออกทางหลังบ้านทำไม และทำไมต้องทำท่าเร่งรีบอย่างนั้นด้วยนะ ท่าทางก็เหมือนจะคุ้นๆ ว่าจะเคยเห็นมาก่อน เธอก็เลยสาวเท้าวิ่งตามร่างนั้นไปแต่ก็ไม่ทันเพราะชายคนนั้นเดินเร็วเหลือเกิน เธอจึงเดินกลับเข้าบ้านมาหาแม่ที่กำลังง่วนกับการเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็น

    (มีต่อค่ะ  รอแป้บ)

    แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 46 13:27:29

    แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 46 11:39:44

    แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 46 11:05:28

    แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 46 10:57:13

    จากคุณ : พยาบาลเกเร - [ 5 ก.ย. 46 10:55:18 ]