ณ. เณรต้องนิมนต์

    “บาตรเปล่าอีกแล้ว”
    เณรเด่นบ่นอย่างน้อยใจ  ขณะเก็บบาตรเข้าที่อย่างเหนื่อยๆ   หลังกลับจากบิณฑบาตในตอนเช้า   บิณฑบาตในเช้านี้หมายถึงเรี่ยวแรงและสมาธิในการเรียนหนังสือทั้งวัน  
    “ทำไมนะโยมไม่ค่อยนิมนต์เณรเลย นิมนต์แต่พระ เณรก็สวดมนต์ได้เหมือนกันนะ”   เธอบ่นออกมาดัง ๆ เหมือนกับตัดพ้อชะตาชีวิตของตัวเองมากกว่าจะให้ใครได้ยิน  แต่บังเอิญหลวงพี่เอกหรือ “พี่เอก”ของเณรเด่นมาหาพอดี
    “เป็นศรัทธาของโยมหนะเณร  พระเองก็ไปตามที่ญาติโยมนิมนต์มา  อดบ้างหิวบ้างนี่แหละชีวิตจริงของพระเณรหละ” พี่เอกปลอบ
    “บางทีก็อดน้อยใจไม่ได้หนะครับ  ผมกลับบาตรเปล่าหลายครั้งแล้ว เช้านี้ด้วย   พระไม่มีข้าวฉันตอนเช้า  บางครั้งยังมีโอกาสไปกิจนิมนต์ที่บ้านโยม”  เณรเด่นพูดถึงกิจนิมนต์ไม่ได้หมายถึงอดิเรกลาภใด ๆ แต่หมายถึงการมีข้าวฉันในเพลวันนั้น
    หลวงพี่เอกตบไหล่เณรน้อยเบา ๆ อย่างเข้าใจ  ท่านเดินกลับไปที่ห้องของท่านแล้วกลับมาพร้อมกับอาหารบิณฑบาตในมือ  ท่านวางไว้ให้ตรงที่นั่งฉันข้าว
    “ฉันข้าวก่อนเถอะ  พอประทังชีวิต  จะได้เรียนหนังสือรู้เรื่อง” ท่านพูดและยิ้มให้อย่างใจดีก่อนกลับไปห้องของท่าน
    เณรเด่นไม่ทันได้ขอบคุณ “พี่เอก” ก็กลับไปแล้ว  เธอมองดูบาตรของตัวเองที่ว่างเปล่า  อาหารที่เพิ่งถูกวางไว้  และเงาตัวเองให้กระจกมัว ๆ บานใหญ่แล้วก็อยากร้องไห้ในโชคชะตาของตัวเองเหลือเกิน  
    เธอเห็นเงาตัวเองในกระจกแล้วก็สมเพชตัวเองเต็มประดา  ภาพที่ปรากฏบนกระจกสีหม่นเป็นเพียงสามเณรน้อยที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง  ร่างผอมกระหร่องในชุดจีวรเก่าคล้ำ  สีผิวก็ดำไม่น่าเอ็นดู  นี่หรือคือความหวังอันยิ่งใหญ่ของแม่ น้อง  และของพระอาจารย์  หวังอยากเห็นเธอเป็นนาคหลวง  อยากเห็นเธอเรียนหนังสือสูง ๆ จนได้รับปริญญา  แล้วท่านเหล่านั้นจะรู้หรือเปล่าหนอว่าจะไปถึงปลายทางแห่งฝันได้ยังไง  เพียงแค่ข้าวประทังชีวิตไปวันๆ ยังเอาตัวไม่รอด  เธออยากจะบอกกับทุกคนที่ตั้งความหวังไว้กับเธอเหลือเกินว่า เธอเหนื่อยและอ่อนล้าเหลือเกิน  เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าความอดทนจะสิ้นสุดลงวันใด   สามเณรน้อยมองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกทดท้อ  น้ำตาคลอเบ้า  เธอรู้สึกได้จึงรีบเอามือปาดออกไป  เธอจำได้ว่าเธอร้องไห้ครั้งสุดท้ายนานแล้วตั้งแต่พ่อจากไป
    ค่ำคืนของกรุงเทพฯ สว่างด้วยไฟกลางคืน  รู้สึกตื่นเต้นกับสีสรร ตึกราม แม่น้ำ  สะพาน และผู้คน  และค่อย ๆ กลับกลายเป็นความรู้สึกเงียบเหงา  อ้างว้างเหมือนถูกทิ้งกลางฝูงคน   เณรน้อยบางรูปนอนร้องไห้เพราะคิดถึงบ้าน  บางรูปก็งอแงเพราะอ่อนแอเกินไปสำหรับชีวิตแบบตัวใครตัวมันในวัดในกรุงเทพฯ  จนต้องส่งกลับคืนพ่อแม่ที่บ้านเกิด  เธอเองก็รู้สึกเช่นนั้นบ่อยครั้ง  แต่ก็ยังมีความอดทนอยู่ต่อไป  เธอเองก็ไม่รู้ว่าความอดทนที่มีอยู่จะสิ้นสุดเมื่อไหร่เหมือนกัน
      เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่มาเรียนน่ะเรียกว่า บาลี  แต่ไม่เคยรู้ว่าบาลีคืออะไร  ดียังไง  บาลีจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองได้อย่างไร   อาจารย์ที่พามาก็ย้ายไปอยู่อีกวัดหนึ่ง  จะถามตอนสงสัยก็ไม่ได้ถาม  ยังจำได้ว่าเคยถามพิธีกรในวันเปิดปฐมนิเทศว่าบาลีคืออะไร  ซึ่งทุกคนในห้องประชุมมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลก ๆ และก็จำไม่ได้ว่าอาจารย์ท่านตอบยังไง   และเพิ่งได้เข้าใจในตอนหลังว่า  บาลีคือภาษารักษาพระพุทธพจน์  ซึ่งก็คือภาษาของพระไตรปิฎก    การเรียนบาลีคือการรักษาพระศาสนาในด้านปริยัตินั่นเอง
     วันนี้ก็เหมือนกับวันโชคร้ายของตัวเองอีกหลาย ๆ วันที่ผ่านมา  เณรน้อยเปิดมาม่าลงบนชาม  แล้วเดินถือชามไปห้องหลวงพี่ที่มีกาต้มน้ำร้อนก่อนจะกลับมาที่ห้องของตัวเองอีกครั้ง    เช้านี้ฉันมาม่า  ส่วนมื้อเพลจะฉันที่ “พี่เอก” ให้  ตอนกลางวันต้องฉันมากหน่อย  เพราะระยะเวลาที่ไม่ได้ฉันอะไรยาวจนถึงเช้า   มาม่าเหลืออยู่อีกซองหนึ่งแต่ก็ไม่อยากฉัน  เพราะฉันไปก็แค่ประทังหิว  แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนฉันข้าว  มาม่าเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
    หลังจากจัดการมาม่าชามนั้นแล้ว  เณรน้อยก็หอบหนังสือบาลีไวยากรณ์เพื่อไปเรียน  ขณะเดินไปโรงเรียน  ทางเดินต้องผ่านกุฏิพระภัตตุเทสก์  ซึ่งท่านทำหน้าที่รับกิจนิมนต์จากญาติโยมแล้วมาจัดนิมนต์พระไปงานตามที่ญาติโยมระบุไว้  วันนั้นมีโยมมาเรื่องนิมนต์พระไปงานมงคลหลายเจ้าภาพ  เสียงเจ้าภาพดังพอที่เธอจะได้ยิน
    “นิมนต์เก้ารูปนะเจ้าคะ  ไม่เอาเณร  เลี้ยงโต๊ะจีนสองร้อยโต๊ะหนะเจ้าคะ....”
    หลังเลิกเรียน  เธอเดินกลับห้อง  ต้องเดินผ่านที่เดิม  เหมือนตอนมา  นึกถึงคำพูดของโยมแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมการแบ่งชนชั้นต้องลุกลามข้ามกำแพงวัดเข้ามามากขนาดนี้
    พอกลับถึงห้องพัก  เอนศีรษะพิงหมอนเพื่อผ่อนคลายความมึนตึงของสมองสักหน่อย  กับข้าวที่ “พี่เอก” ให้เมื่อตอนเช้าก็ยังคงวางอยู่ที่เดิม  อีกหน่อยก็คงได้เวลาฉันแล้ว  
    “ปัง ปัง ปัง” เสียงเคาะประตูค่อนข้างดังและอ่อนมารยาทไปนิดหนึ่ง  ประตูยังไม่ได้ล๊อค  ยังไม่ทันที่เจ้าของห้องไปเปิดให้ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยความคุ้นเคย  เณรป๋องนั่นเอง
    “เณรอรุณป่วยครับพี่เณร  เห็นว่าไม่ไข้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
    เณรเด่นกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเณรป๋องไปที่ห้องเณรอรุณ  ตอนออกจากห้องไม่ลืมที่จะคว้ายาสามัญประจำบ้านไปด้วย   พอไปถึง  เณรอรุณนอนอยู่ใต้ผ้าห่มในห้อง  ตัวร้อนจี๋  ท่าทางอิดโรย  เณรเด่นกับเณรป๋องช่วยกันดูแล  ให้ฉันยาแก้ไข้ที่ถือมาตามที่จะช่วยกันได้
    “พี่เณร  ยานี้มันเขียนไว้ว่ารับประทานหลังอาหารหนะ”  เณรป๋องชี้ที่ห่อยา  เณรเด่นก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องกินอาหารก่อนจึงจะฉันยา  นึกชมเณรป๋องอยู่ในใจในความรอบคอบ  มองหารอบห้อง  แต่ไม่มีอะไรที่พอจะเรียกว่าอาหารได้เลย  นึกถึงอาหารที่ “พี่เอก” ให้  อือ  มันยังวางอยู่ที่เดิมสินะ  เณรเด่นกลืนน้ำลายลงคอฝืน ๆ ก่อนจะบอกเณรป๋องว่า
    “ที่ห้องผมมีอาหารอยู่  ไปเอามาให้เณรอรุณกินก่อนกินยานะ”
    แล้วเพลวันนั้น  อาหารเพลมื้อนั้นเป็นมาม่าอีกห่อหนึ่งที่เหลือจากเมื่อเช้า  เฮ้อ  ชีวิตสามเณรน้อยที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่ต่างบ้านเมือง  ต้องอาศัยพึ่งพากัน  เอาตัวให้รอดก่อนเถิด  ถ้ายังมีลมหายใจอยู่  ก็ยังมีวันพรุ่งนี้.

    จากคุณ : เด่น ทัพซ้าย - [ 5 ก.ย. 46 19:47:41 A:202.183.152.22 X: ]