ขอฝากเพื่อนๆกับเรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วยนะคะ....มันมาจากเรื่องจริงไม่เสริมแต่งแต่อย่างไร
อย่าลืมนะคะ...รู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ฝากความคิดเห็นได้ตามสบายเลยค่ะ
เอ่อ...อาจจะเน้นไปทางอารมณ์ของฝ่ายหญิงมากหน่อยนะคะ
===============================================================================
"จอดเดอะมอลล์ด้วยครับ"
เสียงชายหนุ่มข้างกายตะโกนบอกโชเฟอร์รถตู้โดยสารให้จอดรถทำให้ฉันหลุดจากภวังค์
แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของฉันแล้ว
ฉันคิด...พลางสลัดศีรษะไล่ความกังวลออกไปเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมาอีกครั้ง
"จอดหน้าบิ๊กซีด้วยค่ะ" แล้วไม่นานฉันก็ตะโกนบอกชายวัยกลางคนให้จอดรถ
ตลอดระยะทางหลายสิบกิโลที่นั่งมา ฉันเฝ้าแต่คิดว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไรดี ฉันอยากจะพูดกับเขาให้เข้าใจ
ฉันจะสามารถพูดมันออกมาได้ไหม หรือฉันจะทำได้เพียงแค่อ้ำอึ้งเหมือนอย่างเคย
แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาที่จะคิดอีกแล้ว
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก" ฉันเคาะประตูไม้สีขาวบานเดี่ยวตรงหน้าหลังจากชั่งใจอยู่นาน
พลางนึกปลอบใจตัวเองว่า ฉันต้องทำได้
ไม่ช้าบานประตูตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยมานานกว่า 6 ปี
ฉันยิ้มน้อยๆให้เขาแทนคำกล่าวทักทาย
ทันทีที่ฉันก้าวผ่านเข้าไปในห้องพักของเขา มันก็ทำให้ฉันถึงกับหงุดหงิด มันยังคงรก
เต็มไปด้วยเศษกระดาษและถุงขนม ถึงแม้ว่ากองหนังสือจะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
แต่ฝุ่นผงบนพื้นห้องบ่งบอกฉันได้เป็นอย่างดีว่า เขาละเลยมันมานานพอดู
แต่ฉันก็ฉลาดพอที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ใส่เขาในเรื่องที่เขาต้องเห็นว่ามันเล็กน้อยในตอนนี้
และที่สำคัญกว่านั้น ฉันมีสิ่งสำคัญกว่าจะพูดกับเขา
เมื่อตั้งใจได้แบบนี้ฉันก็หันมาเผชิญหน้ากับเขาพร้อมกับจัดสีหน้าที่ฉันคิดว่าซีเรียสที่สุดเท่าที่ฉันเคย
ทำมา
"คิดถึงจังเลย ไม่ได้เจอตั้งอาทิตย์ ทำไมมาช้าล่ะครับวันนี้" ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร
เขาก็ตรงเข้ามาสวมกอดฉันไว้ซะแล้ว
"อ๋อ...พอดีว่าตื่นสายน่ะค่ะ"
ฉันพูดออกไปพร้อมกับดึงมือที่เขาโอบรอบเอวฉันออกแล้วเขยิบออกห่าง ฉันจะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง
ฉันเตือนสติตัวเองอีกครั้ง
"มีอะไรหรือเปล่าครับ...คุณดูแปลกๆไปนะ" เขาถามเมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมให้เขาโอบกอดได้อีก
"เอ่อ..." นั่นไง ฉันคิดไว้ไม่ผิด
พอเขาถามขึ้นมาฉันเองที่จะเป็นฝ่ายพูดไม่ออกระยะเวลากว่า 6
ปีมันนานพอที่จะทำให้เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน ฉันสูดหายใจลึกๆเพื่อเรียกกำลังใจ
"บอกผมสิครับที่รัก คุณเป็นอะไรไปน่ะ" เขาถามฉันอีกครั้งพร้อมกับดึงให้ฉันนั่งลงบนตักเขา
ในขณะที่เขานั่งลงบนโซฟาตัวยาว
เขากอดฉันเอาไว้อีกครั้งอย่างหลวมๆ ถ้าเป็นเวลาอื่นฉันคงจะต้องอายจนแก้มแดงไปแล้ว แต่ไม่ใช่เวลานี้
ฉันบอกกับตัวเองแบบนั้น แต่มันช่วยไม่ได้เลยจริงๆที่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้
มันยิ่งทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออกมากขึ้นไปอีก ฉันได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
จนเขาต้องกระตุ้นถามฉันอีกครั้ง...
"ว่าไงครับ...คุณยังไม่ได้บอกผมเลย" เขาถามฉันเป็นครั้งที่ 3 แล้วภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที
วงแขนที่โอบกอดฉันเริ่มแน่นเข้าเมื่อเขาเห็นว่าฉันยังคงนิ่งเฉย
"คือว่า....ฉันอยากพูดเรื่องของเราน่ะค่ะ"
ฉันพูดประโยคนี้ออกมาได้หลังจากที่ต้องกลั้นใจอยู่นาน จะให้ฉันพูดว่าอะไร
จะให้ฉันบอกเลิกกับเขาตรงๆงั้นเหรอ ฉันทำไม่ได้แน่
ฉันคิดว่าการที่จะพูดอะไรอ้อมๆแล้ววกกลับเขามาอาจจะดีกว่า..ง่ายกว่า
"ทำไมหรือครับ เรื่องของเรามีอะไรหรือครับ"
ดูเหมือนเขายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ฉันพยายามจะพูดเท่าใดนัก คิ้วเขาเริ่มขมวด
สีหน้าแสดงความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง คราวนี้เขาจับให้ฉันหันมองหน้าเขา
ตาต่อตาสบกัน....
ฉันรู้สึกว่าเขาเริ่มมีคำถามมากมาย ฉันมองเห็นมันในดวงตาดำขลับของเขา
เพียงแต่ฉันอยากจะรู้...เขาจะเห็นอะไรผ่านดวงตาของฉันบ้างไหม
เขาจะรู้สึกไหมว่า...ฉันรู้สึกอย่างไรในตอนนี้
"คุณบอกฉันหน่อยสิคะ ว่าคุณมีแพลนอะไรสำหรับอนาคตของเรา"
ฉันถามเขาหลังจากพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่ แต่น้ำเสียงยังคงสั่นอย่างช่วยไม่ได้
"ทันทีที่ผมเรียนจบ เราจะแต่งงานกัน แล้วคุณกับผมจะไปอยู่อเมริกาหรือไม่ก็ออสเตรเลียด้วยกัน
ผมจะทำงานหาเลี้ยงคุณเอง" เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ดวงตาเขามีแววมุ่งมั่นที่จะทำให้มันเป็นจริงตามที่เขาพูด
"เราจะแต่งงานกันงั้นเหรอคะ...เราจะแต่งงานกันได้ยังไงในเมื่อเรายังไม่พร้อม...คุณยังไม่มีงานมีก
าร ชีวิตยังไม่มั่นคง คุณจะสามารถเลี้ยงลูก เลี้ยงฉันได้อย่างงั้นเหรอคะ"
ฉันถามเขาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเป็นสาย ฉันพยายามลุกขึ้นยืนแล้วถอยห่างออกมา
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครทำให้คุณคิดอะไรแบบนี้"
เขาลุกขึ้นแล้วเดินมาหาฉันพร้อมกับคำถามที่ทำให้ฉันอึ้งไปด้วย
ตอนนี้เขาดูอารมณ์เสียและหงุดหงิดมากเสียด้วย
"ทำไมล่ะคะ...เมื่อก่อนฉันอาจไม่คิด แต่ตอนนี้ฉันต้องคิดแล้ว
ฉันไม่สามารถปล่อยให้วันเวลาผ่านเลยไปโดยไร้จุดหมายแบบนี้ได้อีก"
มาถึงตอนนี้น้ำตาได้แห้งเหือดไปแล้ว ฉันเริ่มพูดคล่องขึ้น
อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านตามเขาก็เป็นได้
"ไม่มีใครพูดอะไรเรื่องเราทั้งนั้นแหละค่ะ ฉันคิดของฉันเอง ฉันบอกตรงๆ
ฉันไม่อยากแต่งงานตอนนี้จริงๆ มันคงยากสำหรับฉัน"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้นและกล้าที่จะสบตากับเขาแล้วในตอนนี้
แต่ใครจะรู้...
ถึงความรู้สึกที่ฉันมีตอนนี้ดีเท่ากับตัวฉัน ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เข้มแข็งขึ้นอย่างที่แสดงออก
ตอนนี้ใจฉันเต้นตุบๆ รัวเร็ว ฉันกลัว...ฉันยอมรับ...ฉันรักเขามากเกินกว่าจะเลิกกับเขาได้
แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ฉันต้องคิดถึง ถ้าเขาไม่มีคำตอบที่น่าพอใจสำหรับฉัน
ฉันจะเลิกกับเขา ฉันจะปล่อยให้มันเป็นอยู่แบบนี้ไม่ได้
"ได้...ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน ผมจะไม่เร่งรัด บังคับอะไรคุณ
เมื่อคุณพร้อมเราจะแต่งงานกัน...ตกลงไหมครับคนดี"
ดูเหมือนตอนนี้เขาจะคลายความโกรธลงบ้างแล้วน้ำเสียงเขาตอนนี้อ่อนโยนเหมือนเมื่อแรกที่ฉันเข้ามาในห้องนี้
เขาเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้แล้วเขย่าเบาๆอย่างปลอบโยน ตาที่มองสบกันทำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก
หลอกลวง
"แต่ว่าเรื่องมันไม่ได้จบลงตรงที่ว่าเราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่นะคะ ถ้าตอนนี้คุณเรียนจบ
คุณมีงานทำ มีเงินสะสมเพียงพอสำหรับครอบครัวที่จะสร้างขึ้นในอนาคต ฉันก็พร้อมที่จะแต่งงาน"
ตาใสๆของฉันเริ่มพร่ามัว...ฉันเริ่มมองไม่เห็นใบหน้าเขาแล้วในตอนนี้
"ถ้าคุณให้ฉันแต่งงานแล้วต้องพึ่งเงินทองของคุณพ่อ คุณแม่ ฉันทำไม่ได้...
คุณเข้าใจในสิ่งที่ฉันพยายามจะพูดไหม คุณเข้าใจไหม"
มาถึงตอนนี้ฉันกลั้นใจกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ ฉันเริ่มร้องไห้ยกใหญ่ สะอึกสะอื้น
ซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้าง แล้วเขาก็ดึงฉันเข้าไปกอด...
"คุณเป็นอะไร...ใจเย็นๆนะครับที่รัก" เขาลูบหลังฉันเบาๆปลอบโยนฉันเหมือนเด็กๆ
เขาคิดว่ามันจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วหยุดร้องไห้ แต่มันไม่ใช่ ฉันกลับร้องไห้หนักขึ้นขึ้นไปอีก
น้ำตาไหลไม่หยุดเหมือนทำนบพัง สะอึกสะอื้นจนตัวโยน พร้อมกับที่สองแขนของฉันโอบกอดเขาไว้แน่นขึ้นไปอีก
ปากก็พร่ำพูดว่า
"ฉันไม่รู้...ฉันสับสนไปหมดแล้ว...ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี" ฉันใช้เวลาอยู่เกือบ 10
นาทีกว่าจะสงบลง เช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้าจนหมด แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม เริ่มคุยกับเขาใหม่อีกครั้ง
เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
"คุณบอกผมได้ไหมว่า คุณฝันจะได้อะไรในชีวิต" น้ำเสียงเขาเคร่งขรึม จริงจัง
ตามองตรงมาที่ฉันซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีโต๊ะกระจกตัวเตี้ยคั่นกลาง
ฉันนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบกลับไป
"ฉันอยากมีครอบครัว อยู่กับคนที่ฉันรักและรักฉัน มีลูกๆที่น่ารัก
ครอบครัวอาจทำธุรกิจอะไรก็ได้สักอย่าง แต่ต้องสุจริต
หรืองานอะไรก็ได้ที่จะทำให้ฉันและลูกภูมิใจได้" ฉันยิ้มน้อยๆให้กับความฝันอันสวยงามของฉัน
"ฉันอยากให้ครอบครัวมีกินมีใช้ ไม่ต้องระหกระเหินลำบาก
จะอยู่ที่ไหนก็ได้สักแห่งบนโลกใบนี้" ฉันบอกความฝันของฉันกับเขา
ซึ่งมันก็เหมือนกับครั้งแรกที่เขาถามฉันเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
"ถ้าผมจะบอกว่า...ผมสามารถให้คุณได้ในสิ่งที่คุณฝันล่ะครับ"
เขาพูดขึ้นหลังจากที่ฉันพูดจบ
"แต่เราต้องช่วยกันสร้างมันขึ้นมา...คุณจะร่วมมือและพยายามเดินไปข้างหน้าพร้อมกับผมไหม"
เขาถามฉันอีกครั้ง...
"เราอาจต้องพบกับอุปสรรคมากมาย
หนทางข้างหน้ามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะ...ผมอยากให้คุณเข้าใจ" เขายังคงพูดต่อไป
ผมรู้ว่าคุณคงเหนื่อย คงสับสน
คุณอาจเห็นว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลยที่จะให้คุณมั่นใจได้...แต่ผมอยากจะบอกคุณไว้ ผมพยายามทำมันอยู่
ถ้าเพียงแต่คุณจะลองหันมามองสักนิด เขาพูดพร้อมกับวางหนังสือนิตยสารฉบับหนึ่งลงตรงหน้าฉัน
มันเป็นประกาศผลรางวัลทางด้านไอทีของประเทศหนึ่ง ซึ่งมีชื่อฟอรั่มของเขาอยู่ในั้นด้วย
ผมกำลังพยายามอยู่นะที่รัก...ผมอยากให้คุณอดทน ผมจะทำให้คุณมีความสุขในแบบที่คุณต้องการให้ได้
เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคจากปากเขาทำให้หัวใจฉันพองโตได้อย่างประหลาด
ความมั่นใจที่เคยมีให้เขากลับมาอีกครั้ง และดูเหมือนว่ามันจะมากขึ้นกว่าเก่า
แล้วฉันก็ไม่ลังเลเลยที่จะตอบเขา
"ค่ะ ฉันเข้าใจ ฉันขอโทษ ฉันโง่คิดอะไรมากไปคนเดียว ฉันน่าจะพูดกับคุณตั้งนานแล้ว
ฉันไม่น่าเก็บมันไว้ในใจจนเกือบจะเป็นเรื่องแบบนี้เลย" ฉันยิ้มหวานให้เขาเป็นครั้งแรกของวันนี้
อารมณ์ขุ่นเคือง กลัวและสับสนมลายหายไปจนหมดสิ้น
"ครับ...คราวหน้าถ้าคุณมีอะไร ผมอยากให้คุณถามผมตรงๆ ผมจะให้คำตอบแก่คุณเอง
อย่าเก็บไปคิดคนเดียวแบบนี้อีกรู้ไหม คุณทำเอาผมตกใจแทบแย่
ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้อีก...สัญญากับผมสิครับคนดี...สัญญากับผม" ตอนนี้เขาย้ายตัวเองมานั่ง
ข้างๆฉันพร้อมกับโอบไหล่ให้ฉันซบลงกับอกกว้าง จนฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดอยู่บนหน้าผากฉัน
"ค่ะ...ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก" ฉันรับปากเขาอย่างเต็มใจ
ฉันคิดว่าฉันพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับอะไรก็ตามในอนาคตข้างหน้าร่วมกันกับเขา ฉันหลับตาพริ้มลง
ดื่มด่ำกับความรักที่เขามอบให้เมื่อเขาก้มลงจูบฉันเบาๆบนหน้าผากระเรื่อยมาที่ข้างแก้ม
จนถึงริมฝีปากอิ่ม...
ฉันได้ยินเสียงเขากระซิบคำว่า "รัก" อยู่หลายหนก่อนที่ฉันจะดึงฉันไปกอดไว้แนบแน่น
แล้วฉันก็คิดว่า ฉันได้บอกเขาไปเหมือนกันว่ารักเขามากแค่ไหน...
ระยะเวลากว่า 6 ปีที่เรารู้จักและรักกัน...
บางคนอาจเห็นว่ายาวนาน...บางคนเห็นว่าน้อยนิด
แต่สำหรับฉัน....6ปีที่ผ่านมา มันมากพอ
ฉันจะรักและเข้าใจเขา...เหมือนกับที่
เขารักและเข้าใจฉัน...
หนทางข้างหน้าจะลำบากสักเท่าใด....
เราทั้งคู่พร้อมที่จะก้าวเดินไปพร้อมกัน...
จากคุณ :
Anonymous
- [
9 ก.ย. 46 11:32:51
A:203.147.46.141 X:
]