+:+: ญาตาวี-ญาติมา +:+:

    ย้อนกลับไป ณ เวลาที่เหล่าบรรดาเทพเจ้ายังไม่เหม็นเอือมความอวดดีและหยิ่งยะโสของมนุษย์ มีบุตรีคหบดีผู้มั่งคั่งผู้หนึ่ง หน้าตาสะสวย ผิวพรรณนุ่มเนียน จิตใจก็งาม  หากแต่ตากลมโตคู่นั้นกลับบอดสนิท ครั้นพระอินทร์ทราบก็นึกสงสาร ประทานพรให้นางสามารถได้ยินสรรพเสียงซึ่งมนุษย์โดยทั่วไปมิเคยฟัง นางได้ยินเสียงเพลงที่ขับขานโดยเหล่าสกุณา เสียงถอดถอนลมหายใจของวายุ หรือแม้แต่เสียงกระซิบของความสงัด

    คืนนี้ มี ‘ผู้มาเยือน’ หยุดรออยู่หน้าห้องแล้ว นางชูคอขึ้นเมื่อทราบการมาถึง แล้วไล่เด็กรับใช้ให้ออกไป เพราะสายตาของมนุษย์เป็นกระจกฉายภาพที่บิดเบือนที่สุด ความตระหนกของของเด็กจะขับไล่อาคันตุกะของนางไปเสีย

    “ท่านผู้มิได้มาจากปถวี บอกข้าด้วยเถิด วันนี้ ท่านมีเรื่องอะไรมาเล่าให้เราฟัง”

    “วันนี้ ข้าจะเล่าถึงเรื่องพี่น้องคู่หนึ่ง”

    “โปรดเถิด…” นางขยับตัวให้อยู่ในท่าสบายที่สุด แล้วผู้นั้นก็เล่าด้วยน้ำเสียงที่มีจังหวะจะโคน ราวกับเป็นเรื่องเล่าที่เล่ามาแล้วนับพันครั้ง…

    ‘ในอดีตกาล ครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเตมิยกุมาร โอรสของพระเจ้ากาสิกราชแห่งพระนครพาราณศรี ห่างออกไปทางทิศปักฉิม ยังมีแฝดหญิงคู่หนึ่งลงมาจุติ นามว่า ญาตาวี-ญาติมา…

    “อา…นางผู้มีความรู้” นางผู้ตาบอด ก้มลงเอาหน้าผากจรดพื้น

    ‘เด็กทั้งสองเกิดมาท่ามกลางความยินดี ด้วยทั้งคู่มีลักษณะดีเหมาะสมจะเป็นมหากุมารี- เหนือกุมารีทั้งปวง คือ นางมี หนึ่งเกิด ณ โมงยามที่ไร้โมงยาม คือเที่ยงคืนพอดี สองผิวพรรณดีไร้สิวฝ้าหรือตำหนิทั้งปวง สามปากแดงชาด สี่มาจากตระกูลดี ห้ามารดาเป็นสตรีจากตระกูลยชนา…นางผู้ทำหน้าที่บูชา หกบิดาอยู่ในวรรณะพราหมณ์ …รวมแล้วทั้งหมดเป็นเก้าสิบเก้าประการพอดี

    “ขอพระเจ้าโปรดปกปักรักษา เด็กๆ ผู้เป็นบุตรีของพระองค์ เหล่าท่านผู้เป็นกุมารี เด็กผู้ซึ่งไร้ตำหนิทั้งปวง เด็กผู้ไร้อารมณ์ทั้งปวง เหล่าเทพีผู้บริสุทธิ์ ผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์ผู้ต่ำต้อยกับองค์เทวะ” นางพนมมือกล่าวสรรเสริญ

    ‘ครั้นเด็กทั้งคู่อายุครบสามปี บิดามารดาก็พาเข้าร่วมพิธีกรรมคัดสรรกุมารีประจำปี ศกนั้น ไม่มีเด็กคนไหนในพิภพจะมีลักษณะดีเท่าเด็กทั้งสอง ถึงกระนั้น เด็กหกหมื่นเก้าพันสี่ร้อยสิบเจ็ดคนก็แห่กันมารับการทดสอบจากทั่วสารทิศ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล เพื่อเงินจำนวน ๙๙๙ กหาปนะที่ครอบครัวจะได้รับ… เพื่อมอบบุตรีของตนให้เป็นข้ารับใช้ขององค์เทวา เทวีทุรคา นางผู้เหนือเทวีทั้งปวง

    ‘การคัดสรรผ่านไปโดยสงบเรียบร้อย บรรดานางในหอคอยกุมารีทำหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดเพื่อจะคัดเอาเด็กสมบูรณ์พร้อมจำนวน ๙ นางดำรงตำแหน่งเป็นกุมารี สถิตในหอคอยจนกว่านางเล็กๆ เหล่านี้จะมีระดูแรก…แล้วพ้นความบริสุทธิ์ไป

    ‘ญาตาวี-ญาติมา ผ่านการคัดเลือกอย่างไร้ปัญหา จนมาถึงเพลาที่ไก่หนึ่งตัว แพะหนึ่งตัวถูกนำมาเชือดต่อหน้าเด็ก ญาตาวีถูกโลหิตสดกระเด็นใส่ กลิ่นคาวของมันทำเอาเด็กหญิงร้องจ้าทันที ญาติมาได้แต่มองหน้าพี่สาวงงๆ… ญาตาวีไม่ผ่านการทดสอบเสียแล้ว กุมารีต้องไม่ยิ้มหัวพอๆ กับที่ต้องไม่ร้องไห้

    ‘บิดามารดาผู้หวังกับบุตรทั้งสองไว้มากก็เศร้าโศกระทม ญาตาวีเมื่อรู้ว่าเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของพ่อและแม่ก็เสียใจ เธอมองดูกำไลเชือกที่ผูกข้อมือคู่แฝดด้วยความอิจฉา กำไลที่มัดด้วยพิธีกรรมพิเศษเพื่อหมายไว้ว่าเด็กคนนี้จะย้ายเข้ามาอยู่ ณ หอคอยกุมารี…

    ‘คืนนั้น ผู้ซึ่งมนุษย์ตั้งชื่อไว้เรียกมากกว่าสิบชื่อก็ปรากฎกายในฝันเด็กทั้งสอง โดยมิได้นัดแนะ ต่างก็ขอพรเดียวกัน…

    “อะไรหรือ ..เอ หรือขอผู้ให้กำเนิดให้คลายจากความเศร้าโศก…?”

    “หากเด็กน้อยอายุเท่าเจ้าตอนนี้ พวกเขาคงจะขอเช่นที่เจ้าว่า แต่ตอนนั้นต่างก็อายุไม่ถึงสามขวบดี…”

    “ถ้าอย่างนั้น เชิญท่านเล่าต่อเถิด …”

    ‘พอถึงรุ่งเช้า กำไลนั้นก็ปรากฏที่แขนของญาตาวีแทนที่จะเป็นญาติมา

    “โอ้ … ท่านหมายความว่า คนพี่กลายเป็นคนน้อง คนน้องกลายเป็นคนพี่!” นางยกมือทาบอก

    “เปล่าเลย ญาตาวีก็ยังเป็นญาตาวี ญาติมาก็ยังเป็นญาติมา กำไรต่างหากที่สลับที่ มิใช่วิญญาณ แต่ผู้คนนึกเข้าใจผิดกันไปเองว่า ญาตาวีคือญาติมา และญาติมาคือญาตาวี”

    “ข้าเริ่มสับสนแล้ว โปรดเล่าต่อเถอะ…”

    ‘จากนั้น ญาตาวีซึ่งตอนนี้ถูกเรียกว่าญาติมาก็เข้าไปพำนักในหอคอยกุมารี ด้วยบุญญาบารมี ไม่ช้านางก็ดำรงฐานะเป็นมหากุมารี…นางผู้เหนือกุมารีทั้งปวง ยิ่งไปกว่านั้น นางดำรงตำแหน่งนี้นานเกินใครๆ

    ‘ครั้นนางอายุยี่สิบห้าปี นางก็มองเห็นได้เพียงข้างเดียวเพราะแลกดวงตาข้างหนึ่งช่วยให้โอรสองค์กษัตริย์หายจากอาการเจ็บป่วย เกศานางเป็นสีขาวโพลนเพราะแลกกับอาการตกเลือดขององค์ราชินี แลกการรับรู้รสทั้งปวงเพื่อป้องกันมิให้เมืองประสบกับวาตภัย นางเป็นกุมารีที่ยิ่งใหญ่กว่ากุมารีใดที่เคยมีมา แม้แต่องค์มหาราชาก็ทรงเกรงใจ

    ‘วันหนึ่ง น้องสาวฝาแฝดก็มาหานางถึงตำหนักเพื่อขอร้องให้ช่วยบุตรชายของตนที่กำลังจะใกล้ตาย พอนางตกปากรับคำว่าจะช่วย เธอก็อุ้มบุตรชายกลับออกไปโดยกล่าวแต่คำขอบคุณง่ายๆ

    ‘เมื่อเห็นน้องสาวกลับออกไป นางก็รำพันกับผู้มีสิบชื่อ “ข้าเห็นรอยยิ้มแห่งองค์กษัตริย์ยามข้ารับปากจะช่วยรักษาองค์ราณี ข้าเห็นรอยยิ้มพร้อมน้ำตาของราชินีเมื่อข้ารักษาชีวิตโอรสท่านไว้ได้ แต่กับนาง…ข้ามิเคยได้รอยยิ้มจากนางเลย นับตั้งแต่ข้าฉกชิงเอาโอกาสของนางมาตั้งแต่ครั้งนั้น นางคงมิให้อภัยข้าแม้ข้าจะตายจากไป”

    “โอ… ท่านเรียกร้องเอาอะไรจากนาง เพื่อแลกกับชีวิตของเด็ก”

    “ข้ามิเคยเรียกร้องก่อน การเสนอทำให้เราขาดทุนเสมอ…เจ้าควรจำไว้ ข้าฟังข้อเสนอก่อน แล้วค่อยชั่งว่าควรค่าหรือไม่”

    “งั้นนางขอแลกด้วยอะไร”

    “ชีวิต”

    “คุณพระ!… นั่นไม่มากไปหรือ”

    “มากหรือไม่ ใยเจ้ามิลองฟังดูก่อน”

    “งั้นเชิญท่านเล่าต่อเถิด”

    ‘ “เจ้าไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มของนางหรอก ญาตาวี” ข้า- ผุ้มีชื่อสิบชื่อ –เรียกนางด้วยชื่อดั้งเดิม ชื่อซึ่งไม่มีใครเรียกขานในหอคอยนี้

    ‘ “ทำไมกัน…?” นางถาม

    ‘ “เพราะในค่ำคืนสุดท้ายที่เจ้าทั้งคู่อยู่บนเตียงเดียวกัน นางเสนอรอยยิ้มของนางแลกกับการเปลี่ยนให้เจ้าได้เข้ามาอยู่ที่นี้”

    ‘ “ท่านโกงเราสองคน!! โอ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านเอาน้ำตาของข้าไป… สำหรับพรข้อเดียวกัน”

    ‘ “ข้าไม่เคยโกง ถ้าข้าเอาน้ำตาเจ้าไป แล้วใย ณ เวลานี้ เจ้าถึงร้องไห้”

    “โธ่…” นางอุทานเบาๆ เพราะซาบซึ้งกับเรื่องที่ได้ฟัง นางนิ่งไปพักหนึ่งก็ออกปาก

    “ท่านผู้มิได้มาจากธรณี ท่านผู้มิได้สิงสถิต ณ ภพฟ้า โปรดเอาหูทิพย์ข้าไปเถิด แล้วขอให้ข้าได้มองเห็น ได้เรียนรู้ที่จะร้องไห้… เพราะข้ามิได้ต้องการความพิเศษใดเลย ขอเพียงได้เห็นและได้ยินเท่ามนุษย์ทั่วไป…”

    “ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ…ว่าอย่าเป็นคนเสนอขึ้นมาก่อน” อาคันตุกะแย้มยิ้มอย่างพึงใจกับข้อเสนอที่มาดหมายมานาน…


    จากคุณ : นารูมิ - [ 9 ก.ย. 46 16:21:37 ]