=========
ไม่ช้าที่สำนักบู๊ตึ้ง ก็มีการชุมนุมสอบสวนคดีฆาตกรรมขึ้นมาอีกหนึ่งคดี ซึ่งคดีนี้กลับเป็นคดีของเสี่ยวเง็กศิษย์สำนักหันซาน
เหวินเหม่ยชิงเมื่อได้ทราบว่าศิษย์น้องของตนเองเสียชีวิตแล้วก็หวั่นไหว
แววตานางนั้นดูผิวเผินเหมือนเข้มแข็ง แต่หากดูให้ดียังมีความอ่อนแอเจือปนอยู่ไม่น้อย
แม้ด้วยตำแหน่งเจ้าสำนักจะทำให้นางพยายามเข้มแข็งเพียงใด จะอย่างไรเหวินเหม่ยชิงเป็นผู้หญิงอายุเยาว์คนหนึ่ง
จื่ออิงเดินรุดเข้าไปหาและกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจกับท่านจริงๆ แม่นางเหวิน ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นในสำนักบู๊ตึ้ง ข้าพเจ้าขอเอาศีรษะเป็นประกันว่า จะต้องติดตามหาฆาตกรให้ได้"
เหวินเหม่ยชิงเห็นดังนั้นก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้ารับ "อาเง็ก ต้องมารับเคราะห์แทนข้าพเจ้าจริงๆ" นางกล่าว
วาจานี้สร้างความตื่นตระหนกแก่จื่ออิงไม่น้อยเช่นกัน เขาพยายามค้นหาเข้าไปในแววตาของฝ่ายตรงข้าม ทว่ากลับรู้สึกมิพบพิรุธอันใด
จื่ออิงจึงมิได้สนใจ คิดแต่เพียงว่านางคงเศร้าเสียใจมากเกินไปเท่านั้น
คดีนี้เกิดขึ้นภายในสำนักบู๊ตึ๊ง และผู้เสียหายก็เป็นคนของหอห้ากระบี่ อีกทั้งมิได้มีส่วนเสียหายต่อวงกว้างในยุทธจักร ดังนั้นตุลาการจึงปล่อยให้หอห้ากระบี่เป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมดเสียเอง เนื่องจากเหตุเกิดที่สำนักบู๊ตึ๊ง จื่ออิงเจ้าสำนักคนใหม่จึงกลายเป็นผู้สอบสวนคดีด้วยตนเอง
หลังจากการตรวจสอบสภาพศพของเสี่ยวเง็กเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ประกาศผลการสอบสวนคดี
"เบาะแสในคดีนี้มีสองสามประการ แม่นางเสี่ยวเง็กเสียชีวิตหลังจากต่อสู้กับคนร้าย นอกจากนี้พบร่องรอยว่านางถูกข่มเหงย่ำยี และส่วนผสมในน้ำซุปที่ยกมาตั้งแต่เมื่อคืนได้ทำการตรวจสอบพบว่ามีตัวยาสลบผสมอยู่ในนั้น"
"จากปากคำของแม่นางเหวิน บ่งชี้ว่าผู้ที่นำซุปไก่นี้มาให้เสี่ยวเง็ก กลับเป็นคนครัวเสี่ยวซา" จื่ออิงหันไปทางศิษย์สำนักบู๊ตึ้งคนหนึ่งพลางสั่งว่า "พวกเจ้ายังไม่รีบนำเสี่ยวซามาให้ปากคำอีก"
ศิษย์สำนักบู๊ตึ้งคนนั้นได้แต่ระล่ำระลั่กรายงานว่า "เรียนท่านเจ้าสำนัก ข้าพเจ้าไปตามหาเสี่ยวซาแล้ว แต่มิพบเห็น มันมาตั้งแต่เช้านี้แล้ว กระทั่งหน้าที่รับผิดชอบในการปรุงอาหารของมันก็ยังละทิ้งไป ทว่าตัวมันหามิพบแต่ข้าพเจ้ากลับพบสิ่งนี้ในห้องของมัน" พลางเขายื่นของสิ่งหนึ่งให้กับจื่ออิง
ของสิ่งนี้คือปิ่นเงินของเสี่ยวเง็กนั่นเอง
จื่ออิงพลิกปิ่นเงินนี้ไปมา พลางทำเสียงพึมพำว่า "เสี่ยวซากลับมีของเช่นนี้อยู่ด้วย?"
เหวินเหม่ยชิงแลเห็นปิ่นเงินนั้น กลับจับจ้องโดยมิวางตา "นั่นเป็นปิ่นปักผมของศิษย์น้องของข้าพเจ้าเอง!!!"
....
จื่ออิงได้ยินดังนั้นจึงสรุปสำนวนคดีว่า "เช่นนั้นก็ไม่ผิดแล้ว คดีนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเสี่ยวซาเป็นแน่ มันเป็นคนวางยานอนหลับในซุป เพื่อหมายข่มเหงเสี่ยวเง็ก จากนั้นพอเสี่ยวเง็กรู้ตัวก็เกิดการต่อสู้กันขึ้น เสี่ยวเง็กจึงจบชีวิตภายใต้น้ำมือของมัน"
พอทุกคนได้ยินคำตัดสินคดีของจื่ออิง ต่างก็ส่งเสียงพึมพำต่างๆนานา ทุกคนต่างออกความเห็นว่าจื่ออิงออกจะสรุปคดีรวบรัดจนเกินไป
ในที่สุดก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งของบู๊ตึ้ง เดินออกมาเบื้องหน้า พร้อมทั้งผสานมือ แล้วเอ่ยขึ้นว่า "เรียนท่านเจ้าสำนัก ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า คดีนี้สรุปสำนวนรวบรัดเกินไป"
การที่คนในสำนักกลับกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา เท่ากับเป็นการฉีกหน้าจื่ออิงเป็นอย่างยิ่ง แม้จะรู้สึกขัดใจ แต่จื่ออิงพยายามทำให้จิตใจสงบลง แล้วเอ่ยถามว่า "ท่านผู้เฒ่าเห็นว่ารวบรัดอย่างไร?"
ผู้เฒ่าท่านนี้เอามือหนึ่งลูบเครา อีกมือหนึ่งไพล่หลัง เดินไปเดินมาหลายเที่ยว เหมือนกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก พลางกล่าวว่า "การที่สรุปคดีเช่นนี้กลับข้าพเจ้าคิดว่ามีช่องโหว่มากมายยิ่ง"
"อ้อ?" จื่ออิงรับคำ พลางขมวดคิ้ว การที่ผู้เฒ่าพูดเช่นนี้ไยมิใช่เท่ากับบอกว่าตนเองตัดสินคดีนี้ด้วยความไม่รอบคอบ
"ช่องโหว่อันดับแรกคือ เสี่ยวซานำน้ำซุปมาให้เสี่ยวเง็ก ซึ่งสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องของเจ้าสำนักนางเหวิน ดังนั้นมิแน่ว่าเสี่ยวเง็กจะเป็นผู้รับประทานลงไป หากผู้ที่รับประทานลงไปเป็นเจ้าสำนักเหวิน แม้จะมีผลกระทบบ้าง ด้วยพลังฝีมือของเจ้าสำนักเหวินคงไม่ถึงกับเสียทีด้วยยาสลบ อย่างนั้นหากนี่เป็นแผนของเสี่ยวซา ไยมิใช่นำตัวเข้าสู่ความตายหรอกหรือ แผนนี้นับว่ากล้าหาญอุกอาจและเสี่ยงอันตรายจนจนเกินไปสำหรับบุคคลที่ด้อยวรยุทธเช่นมัน"
"ช่องโหว่อันดับสอง...เสี่ยวซาเมื่อสังหารเสี่ยวเง็กยังเก็บปิ่นปักผมของนางเอาไว้อีกหรือ? ไยมิใช่เป็นการยืนยันว่ามันเป็นผู้กระทำ ดังนั้นเพียงแค่ปิ่นปักผมที่พบในห้องของเสี่ยวซามิสามารถยืนยันว่ามันเป็นผู้กระทำเรื่องนี้ได้"
"อ้อ?"
"เนื่องจากเหตุผลคือเสี่ยวเง็กอาจชมชอบเสี่ยวซาจริงๆ ทั้งสองคนมีความพอใจกันเอง หรือแม้แต่จะมองในแง่ที่ว่ามีคนนำปิ่นนี้มาสำหรับใส่ร้ายเสี่ยวซายิ่งเป็นไปได้เช่นกัน"
"อ้อ?"
"ช่องโหว่อันดับสุดท้ายที่นับว่าเป็นจุดผิดพลาดที่สุด ...คือตัวเสี่ยวซากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นอกจากหลักฐานคือปิ่นเงินแล้ว ข้าพเจ้าไม่เห็นพยานบุคคล มิแน่ว่ามันอาจถูกสังหารปิดปาก จากนั้นยัดเยียดความผิดให้แก่มัน!!!"
ผู้เฒ่ากล่าววาจาพร้อมโคลงศีรษะไปมา ดูท่าทางน่าเชื่อถือ พลางพยักเพยิดไปทางตุลาการเที่ยงธรรม "เปรียบเทียบกับท่านตุลาการเที่ยงธรรมในคดีเจ้าสำนักเตียผู้ล่วงลับแล้ว..."
"แม้มีทั้งหลักฐานพยานวัตถุ พยานบุคคล ผูกมัดแน่นหนากว่านี้นัก แถมยังมีเบาะแสว่าเกี่ยวข้องกับฉิกจับอิด ท่านตุลาการยังไม่มีคำตัดสินรวบรัดว่าฆาตกรเป็นผู้ใด ท่านเพียงแต่ให้ติดตามตัวฮั่นตงกลับมาสอบสวนอีกที แสดงให้เห็นประสบการณ์อันลุ่มลึก และแสดงถึงความเที่ยงธรรมสมฉายา ท่านเจ้าสำนักคนใหม่น่าจะพิจารณากรณีนี้ให้ดี"
ผู้เฒ่าจบคำโดยเน้นคำว่า "เจ้าสำนักคนใหม่" เป็นพิเศษ แสดงความหมายอันลึกล้ำยิ่งนัก
จื่ออิงพยายามอดกลั้นโทสะอย่างเต็มที่ วาจาที่เอ่ยขึ้นมีเพียง "คำพูดของผู้เฒ่านับว่ามีเหตุผล เช่นนั้นเรายังมิสามารถสรุปว่าเป็นฝีมือของเสี่ยวซา แต่ตอนนี้มันเป็นผู้สงสัยอันดับหนึ่ง หลังจากติดตามตัวมันมาได้ เราค่อยสอบสวนมันอีกที"
จากนั้นจื่ออิงสั่งชลอการสอบสวนเรื่องนี้เอาไว้จนกว่าจะตามตัวเสี่ยวซาพบ
และสี่สำนักใหญ่ รวมทั้งตุลาการเที่ยงธรรม ต่างก็ออกเดินทางจากบู๊ตึ้ง...
ก่อนการเดินทางเหวินเหม่ยชิงได้มีโอกาสกล่าววาจากับจื่ออิง "ท่านเจ้าสำนักบู๊ตึ้ง ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากฝากท่านไว้สักนิด..."
"มีอันใดหรือแม่นางเหวิน"
"ข้าพเจ้าคิดว่า เสี่ยวซานั้นน่าสงสัยก็จริงอยู่ ทว่าหากมันมิได้กระทำ ใครที่เป็นผู้สั่งให้เสี่ยวซานำซุปมาให้เสี่ยวเง็ก ผู้นั้นจึงเป็นคนร้าย หากสามารถสืบหาตัวคนผู้นั้นรับรองว่าคดีนี้สามารถคลี่คลายได้แน่" นางกล่าวราบเรียบ
จื่ออิงหันกลับไปมองใบหน้าเหวินเหม่ยชิง
ทว่าสีหน้าของเหวินเหม่ยชิงยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เช่นเดิม
นางก้าวเดินจากไปจิตใจครุ่นคิดคำนึง "เสี่ยวเง็ก ข้าเสียใจจริงๆที่เจ้าต้องมารับกรรมแทนข้า"
===============================================
คืนนั้นเอง ขณะที่ผู้เฒ่ากลับมายังห้องพัก เขาก็พบว่ามีศิษย์สำนักบู๊ตึ้งชุมนุมกันอยู่ในห้องพักเขาแล้ว ศิษย์คนหนึ่งแจ้งเรื่องกับเขา "คำสั่งโดยตรงท่านเจ้าสำนักหลังจากพบสายสืบฉิกให้คณะตรวจค้นค้นห้องพักทุกห้อง และข้าพเจ้าพบสิ่งนี้ในห้องของท่าน"
ศิษย์ผู้นี้ชูตราฉิกจับอิดให้ผู้เฒ่าดู พลางเอ่ยคำสำทับ "ท่านเจ้าสำนักว่า หากพบตัวสายลับของฉิกจับอิดอีก ท่านจะสอบสวนด้วยตนเอง"
ผู้เฒ่าได้แต่ตื่นตะลึง ไม่อาจพูดจาคำใดออกมาอีก เพียงครุ่นคิด ครั้งนี้ตนเองคงมิอาจรอดพ้นชะตากรรมเป็นแน่
.....
ท่ามกลางแสงสว่างจากไต้เพลิง กลับแสดงให้เห็นถึงโฉมหน้าของบุคคลผู้หนึ่ง ถูกพันธนาการอ่างแน่นหนา สีหน้าหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด นอกจากสีหน้าหวาดหวั่นแล้ว ยังแสดงถึงความเจ็บปวดทรมาน อย่างยิ่ง
น่าแปลก คนเจ็บปวดทรมาน กลับไม่ปริปากแสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย
คนผู้นี้ย่อมเป็น ผู้เฒ่าสำนักบู๊ตึ้ง
ผู้เฒ่าที่แสดงความคิดเห็นโต้แย้งจื่ออิง
เบื้องหน้ามันย่อมเป็น "เจ้าสำนักบู๊ตึ้งคนใหม่" จื่ออิงนั่นเอง
ในมือของจื่ออิงกลับถือมีดสั้นไว้เล่มหนึ่ง มีดสั้นนั้นกลับเสียบชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งไว้
จื่ออิงมองใบหน้าผู้เฒ่าอย่างไร้ความรู้สึก พลางเอ่ยขึ้นว่า "ท่านว่า ....ข้าพเจ้าไม่ลุ่มลึกสมกับเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ้งใช่หรือไม่?" น่าแปลกวาจาของเขามิคล้ายกับว่าต้องการสอบสวนว่าผู้เฒ่าใช่เป็นสายลับที่ฉิกจับอิดส่งมาแต่อย่างใด กลับกล่าวถึงแต่เนื้อหาของการสอบสวนคดีเมื่อกลางวันเท่านั้น
ผู้เฒ่าได้แต่สั่นศีรษะไปมา
"เช่นนี้ท่านอยากเป็นเจ้าสำนักเองใช่หรือไม่?"
ผู้เฒ่าสั่นศีรษะไปมา ครานี้สั่นศีรษะถึ่ขึ้นกว่าเดิม
"ข้าพเจ้ากลับไม่ได้ยินวาจาท่านแม้แต่น้อย น่าเสียดายจริงๆ ข้าพเจ้าเลยกลับสรุปไม่ได้ว่า การสั่นศีรษะของท่านผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่"
แล้วจื่ออิงก็ปักมีดนั้นตรึงไว้กับแผ่นไม้ ด้านหน้าผู้เฒ่า พลางเขาส่งเสียงหัวร่อ "ฮา ฮา ข้าพเจ้ากลับลืมไป เมื่อสักครู่ ข้าพเจ้าเฉือนลิ้นท่านออกมาดูเล่น ตอนนี้ท่านเสียโลหิตมาก อีกสักครู่ท่านคงหมดสติขาดใจตาย ฮา ฮา"
จื่ออิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เขาเข้าสำนักบู๊ตึ้งเมื่อายุห้าขวบ ตั้งแต่เด็กเป็นคนมีพรสวรรค์เหนือกว่าคนอื่นในทุกด้าน
อายุสิบห้าก็สำเร็จเพลงกระบี่บู้ตึ๊งถึงเจ็ดส่วน พออายุยี่สิบก็ประลองฝีมือเอาชนะผู้อาวุโสทั้งสาม กลายเป็นยอดฝีมือรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงโดดเด่นไม่แพ้ฮั่นตงเลย
นอกจากนั้นเขายังได้ชื่อว่าเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ประพฤติตนเหมาะสมอยู่ในกรอบอันดีงามมาตลอด
ปรมาจารย์เตียหงีรักเขา ชื่นชมเขาทุกวัน ทุกคนต่างหมายตาว่าเขาจะได้เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไป
แต่ไม่มีใครนึกว่าเขาจะได้เป็นเร็วเช่นนี้
ไม่มีใครนึกว่าเตียหงีจะด่วนจากไปอย่างกระทันหันเช่นนี้
ใช่สิ เขายังอ่อนอาวุโสเกินไป ประสบการณ์ยังน้อยเกินไป
เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่จื่ออิงยอมรับ โดยเฉพาะเมื่อเห็นระดับฝีมือและปัญญาของเจ้าสำนักคนอื่นๆ
แต่เขาไม่มีวันยอมให้เรื่องนี้มาทำลายอนาคตเขาเด็ดขาด ตลอดเวลาเขายอมพลาดโอกาสสนุกสนานของชีวิตไปมากมาย ยอมประพฤติตนอยู่ในกรอบแคบๆก็เพราะหวังเอากับอนาคตที่คาดเดาได้
วันนี้เขาอาจทำผิดพลาดบ้าง แต่เขาไม่ยอมสูญเสียสถานะที่เป็นอยู่เพราะมันเด็ดขาด เขาจะต้องทำลายทุกคนที่พยายามจะมาพรากมันไปจากเขา
บางทีพอเรื่องนี้ซาลง ทุกคนลืมมัน เขาก็จะค่อยกลับตัวกลับใจ ค่อยแก้ไขตัวเองทีหลัง ทุกอย่างจะราบเรียบเรียบร้อยดุจไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่า...
เบื้องหลังของจื่ออิงกลับปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งขึ้นมา ที่แท้เป็นหลิวหยงเคอเอง!!!
เจ้าสำนักหัวซานมองหน้าผู้เฒ่าที มองหน้าจื่ออิงที แล้วสั่นศีรษะราวกับเหน็ดเหนื่อยใจ
จื่ออิงตกใจแทบสิ้นสติ คนผู้นี้กลับปรากฏตัวขึ้นในห้องลับของสำนักบู๊ตึ้งได้อย่างไร?
เขาคิดทำใจดีสู้เสือ จึงแสร้งหัวร่อกล่าวว่า "ท่านหลิว ว่าให้ข้าพเจ้ากระทำการอย่างรอบคอบ ข้าพเจ้ากระทำการอย่างรอบคอบหรือไม่?"
หลิว เอามือลูบเครา แล้วสั่นศีรษะ "อืม... ท่านยังถือว่าใช้ไม่ได้"
"ข้าพเจ้าใช้ไม่ได้?"
"กระทำการรอบคอบหมายความว่า ท่านมิต้องลงมือเองทั้งหมด กลับขยับหมากได้แทบทั้งกระดาน"
"ดังเช่นข้าพเจ้า เพียงสังหารประมุขของท่าน"
จื่ออิงถึงกับตื่นตะลึง ..."ท่าน!!!!"
"แสร้งบอกจุดอ่อนของแม่นางเหวิน"
"ท่าน!!!!"
"วางยาปลุกกำหนัดให้ท่าน..."
"ที่แท้ท่าน...."
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
9 ก.ย. 46 21:57:22
]