กระทงไม่หลงทาง - ตอนที่ 4 (เรื่องสั้น 10 ตอนจบ)

    ตอน 1  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2447895/W2447895.html

    ตอน 2  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2448092/W2448092.html

    ตอน 3  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2448201/W2448201.html

             เย็นวันจันทร์ออมเริ่มเซ็งกับชีวิต เพราะไม่ได้ไปเดินเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าเหมือนเคย เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากงานที่คั่งค้างจนต้องมานั่งสะสางกันทั้งสองวัน แล้วพอมาถึงวันนี้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นบรรดาคุณหัวหน้าทั้งหลายก็ติดลูกค้ากันตลอดวัน ทำให้ว่างจนต้องมานั่งวาดโปรแกรมให้กับชีวิตหลังเลิกงาน แต่ช่วงห้าโมงเย็นนี่รถกำลังติดเลยรอสักชั่วโมงค่อยออกแล้วกัน เธอบอกกับตัวเอง หันไปหยิบกระดาษเสียหน้าเดียวข้างโต๊ะ มาเขียนตัวหนังสือเล่นแก้เซ็ง..เขียนไปเขียนมาก็ไม่พ้นชื่อคนที่กำลังคิดถึงอยู่  เออ..ป่านนี้คุณพลทำอะไรอยู่หนอ

    บนถนนรถกำลังติดกันเป็นแถวยาวเหยียด กฤชพลจามออกมาลั่นรถ

    “เอ๊..ใครบ่นถึงน๊า..อ้อมีอยู่คนเดียว”  แน่ะถามเองตอบเองเสร็จสรรพ อมยิ้มนิด ๆ  เมื่อคิดถึงเธอบ้างเด็กสาวอายุยี่สิบคนนั้นจะโตขึ้นเท่าไหร่กันหนอ..ห่างหายไปเป็นปี ๆแล้วก็โผล่มาทักทายอีกโดยไม่ทันตั้งตัว เห็นบ่นอึดอัด ๆ สงสัยอ้วนขึ้นอีกเท่าตัวแต่เท่าที่ฟังจากเสียงก็ไม่น่าอ้วนเท่าไหร่เป็นการบ่นให้ฟังเล่น ๆ มากกว่า

    “ปริ๊น ๆ  “ เสียงแตรรถคันหลังไล่มาทำให้เขาต้องขยับรถเลื่อนไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสายเมื่อมีสัญญาณโทรเข้าหวังว่าคงไม่ใช่คนที่เขากำลังคิดถึงอยู่นะ

    “ครับผม”  

    “สวัสดีครับ ผมพรชัยนะครับ”  ลูกค้าคนสำคัญนั่นเอง

    “ครับผม มีอะไรให้รับใช้ครับเฮีย”

    “จะให้คุณหาเด็กมารับแบบหน่อย”

    “ครับ..พรุ่งนี้จัดการให้ครับ”

    “โอเค..งานนี้เร่งให้ผมหน่อยนะ”

    “ได้ครับ”

    “ขอบใจ  สวัสดี”

    “สวัสดีครับ”  วางหูแล้วก็ถอนหายใจ มันจะติดไปถึงไหนกันก็ไม่รู้ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้งเขามองเบอร์ที่โชว์บนหน้าปัด ที่ออฟฟิศ

    “ครับผม”

    “พลนะ เดี๋ยวแวะเข้าออฟฟิศก่อนกลับบ้านหน่อยนะ ป๋าจะฝากงานหน่อย”

    “ครับป๋า  อีกไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงทางเลี้ยวเข้าออฟฟิศแล้วครับ รถติดอยู่ใกล้ ๆ
    นี่เองหวัดดีครับ”       เขาวางสายผิดหวังอยู่ลึก ๆ ที่ไม่ใช่คนที่กำลังคิดถึง เอ๊ะ..นี่เขารอโทรศัพท์จากเธออยู่หรือนี่..เหลือบไปเห็นจดหมายที่หยิบติดมือมาจากออฟฟิศเมื่อกลางวันยังไม่ได้อ่านเลย  แกะมาอ่านฆ่าเวลาเล่นคงไม่เลว


    5. 11. 42

    คุณกฤชพล
    สวัสดีค่ะคุณพลที่นี่มีแท่นชาร์จแบตต์ขายบ้างไหมคะ ที่นี่มีใครบางคนถ่านใกล้หมดแล้วหาซื้อแถวนี้ไม่ได้เลย ต้องเขียนมาถามท่านผู้กว้างขวางอย่างคุณเนี่ยแหละ

    เฮ้อ! ไปเกเรมาอีกแล้ว กลับบ้านไม่ดึกหรอกค่ะ ถึงบ้านแค่สองทุ่มกว่า ๆ เอง ‘รู้’ ว่ามีคนแอบเป็นห่วง(นิด ๆ) ปนกับคิดถึง (หน่อย ๆ) อยู่ใช่ม๊า  ก็สนุกค่ะได้อะไรให้กับชีวิตอีกเยอะแยะ ไปแถวท่าพระจันทร์มาปกติแค่เฉียด ๆ ผ่าน ๆ หนนี้ว่างพอที่จะไปลุยพื้นที่มาหลังจากที่ไม่ได้ไปแถวนั้นนานแล้ว ก็ร้านเช่าพระยังเยอะแยะมากมายเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนและไม่เคยเห็นก็คือชักจะสงสัยว่า ร้านเช่าพระตั้งมากตั้งมายหลากหลายร้าน นี่เขาทำกันเป็นอาชีพหลักเลยใช่ไหม แล้วรายได้เขาจะพอดำรงชีพหรือคะ ในเมื่อถ้านึกกันไปถึงค่าอาหาร ค่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ ถามคุณนั่นแหละ ช่วยตอบให้ทีคะ จะให้ไปถาม “พ่อค้า” ตัวจริงได้ไงเดี๋ยวก็ถูกชู้ตลงแม่น้ำเจ้าพระยาหรอก ยิ่งว่ายน้ำไม่เป็นอยู่ด้วย

    แล้วก็ไปนั่งเรือข้ามฟากเล่นมาด้วยค่ะ น่านั่งกลับไปกลับมาสักสิบรอบ เพราะค่าโดยสารถูกมาก 2 บาทเอง อีกอย่างวันนี้อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่เพราะเมฆฝนครึ้มคุมเชิงอยู่เหนือน่านฟ้าแถวนี้ ชอบตอนเรือโยกเยกตามจังหวะคลื่นลมค่ะ เหมือนได้เต้นระบำโดยไม่ต้องเหนื่อย ขำก็ตอนเหยียบพื้นเท่านั้นแหละมันเหมือนโลกยังโคลงเคลงไม่หยุด มีเรือท่องเที่ยวไปถึงศูนย์ศิลปาชีพบางไทรด้วยค่ะ แต่ต้องจองตั๋วล่วงหน้าก็เลยได้แค่วนไปเวียนมาอยู่แถว ๆ นั้น

    คุณล่ะ เรียกร้องหาอะไรให้ชีวิตและหัวใจได้สดชื่นบ้างไหมวัน ๆ เล่าให้ฟังบ้างก็ได้ค่ะ แบบมาดกวน ๆ ไม่เอานะ ไม่น่ารักเลยรู้ไหม

     -- อยากให้คุณ อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือไปหาได้
     คุณคงตอบคำถามมากมายที่ฉันสงสัย
     แต่คุณอยู่ไกลตาเหลือเกินคนของหัวใจ
     ต้องให้รออีกเท่าไร คนไกลตาจึงจะมาอยู่ใกล้ ๆ ตัว--

    เขียนไปงั้น ๆ แหละค่ะให้คำมันสัมผัสกันเล่น เป็นบทรำพึงรำพันของคนช่างฝันเขียนขึ้นมาให้คำคล้องจองกันเล่น แก้เซ็ง จริ๊ง.. เพราะฉบับนี้จริง ๆ คือการเมดเล่ย์เอาจดหมายหลาย ๆ วันที่เขียนค้าง ๆ คา ๆ ไว้มารวมกันเขียนใหม่ หมั่นไส้คนอ่านด้วยแหละ จะเขียนให้เยอะ ๆ จนคนอ่านหลับคาจดหมายไปเลย ดีไหม

    ดูละครทีวีบ้างไหมคะ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ช่องสามเรื่องยอดหยาหยี หนังเด็ก ๆ กุ๊กกิ๊กดีออก น่ารักตรงนางเอกเป็นนักเขียนนั่นแหละ เอ๊..เหมือนใครกันน๊อ..แถว ๆ นี้แหละ เปล่าอินน์กะละครจนคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหรอกนะ จะบอกว่าชอบกลอนบทที่นางเอก
    เขียนมากกว่า    “ความรู้สึกทั้งหมดที่มี คุณรู้มั๊ยว่ามันมากมายแค่ไหน คงไม่รู้หรอกเพราะคุณไม่เคยใส่ใจ จึงเดินจากไปพร้อมใครอีกคน”        ฟังแล้วคิดถึงตัวเองน่ะค่ะ  คงไม่รู้หรอกเพราะคุณไม่เคยใส่ใจ ใช่ไหม เฮ้อ!ใคร ๆ ก็ไม่รัก

    มีเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นมาหลายเรื่อง ทยอยพิมพ์และส่งไปให้ บอ.กอ. ตัวจริงพิจารณาอยู่ส่วนคุณ บอ. กอ จำเป็นถ้าอยากอ่านเล่น ๆ ละก็เดี๋ยวจะส่งมาให้ค่ะ

    เอาเถอะหลายหน้ากระดาษแล้ว ถึงแม้จะมีเรื่องราวอีกมากมายในใจ
    ก็คงต้องเก็บไว้เผื่อวันอื่นบ้างแล้วล่ะ บ๊าย..บายค่ะ

         คิดถึงค่ะ

          ออม


    “ปริ๊น ๆ”  เสียงบีบแตรไล่หลังมาอีกเขาเลื่อนรถไปข้างหน้าและเลี้ยวเข้าซอยตรงไปจอดหน้าออฟฟิศ เดินแกว่งกุญแจรถเล่น ๆ เปิดประตูโผล่เข้าไปด้วยใบหน้าที่แต้มยิ้มกริ่ม เล่นเอาบรรดาสาว ๆ  มองกันอย่างแปลกใจมากกว่าจะยิ้มตอบ สงสัยคุณพลไปอารมณ์ดีมาจากไหนเห็นทุกทีตีหน้ายังกะยักษ์วัดแจ้งแน่ะ

    “วันนี้มีโทรศัพท์ถึงผมบ้างไหม”  เขาแวะถามที่โอปะเรเตอร์

    “ไม่ค่ะ”

    “เหรอ..ขอบใจ”  ไม่รู้ว่าผิดหวังหรือเปล่า    แต่ในใจมันชักเนือย ๆ ซึม ๆ ชอบกล เขาเดินหายเข้าไปในห้องที่ติดป้ายสีทองหน้าห้องว่ากรรมการผู้จัดการ สาว ๆ เลยได้ทีจับกลุ่มซุบซิบกันทันที เออวันนี้เขาอารมณ์ดีมาจากไหนหนอ..อยากรู้จริง

     
    “กริ๊ง...กริ๊ง..”  ออมชะงักมือที่กำลังจะล็อคกุญแจประตูหน้า
    ถลาเข้ามารับโทรศัพท์

    “สวัสดีค่ะ”

    “สวัสดีครับ ติ๊กเก็ทรายงานตัวครับ”

    “หืมม์ ดีใจจังมีคนคิดถึงเราด้วย เลิกงานแล้วหรือคะ”

    “ครับ กำลังจะกลับบ้าน”

    “ออมก็กำลังจะกลับเหมือนกันค่ะ ว่าจะไปดูหนังสักเรื่อง หรือไม่ก็หาหนังสืออ่านสักเล่ม”

    “ไปด้วยดิ”

    “จริงน่ะ”  

    “จริ๊ง”

    “ว่างได้แล้วหรือคะ วันนี้”  อดจะเหน็บให้ไม่ได้

    “ว่างครับ”

    “งั้นรอเดี๋ยวค่ะ ครึ่งชั่วโมงเจอกันที่หน้าโรงหนังตรงสี่แยกรัชโยธินละกัน”

    “โอ๋ย..ตั้งนานเอางี้ละกันผมไปรับ”

    “โอ๋ย..กว่าคุณจะมารับ กว่าจะไปถึงพอดีไม่ทันดูรอบทุ่มนึงกัน”

    “ทำไมต้องรอบทุ่มนึงด้วยล่ะ ผมหิวข้าวนา”

    “ก็รอบหลังจากนี้เลิกดึก แล้วออมจะกลับอย่างไรล่ะจ้ะพ่อหนุ่ม”

    “โอเค..งั้นให้ผมไปรับนะ”

    “จะดีหรือคะ”

    “ดี๊..ใส่เสื้อสีอะไร”

    “สีดำ”  เสียงดังฟังชัด

    “กระโปรง”

    “สีน้ำเงิน”  เหมือนมั่นใจมาก แล้วมันเข้ากั๊นเข้ากันนะ ไอ้กระโปรงน้ำเงิน เสื้อสีดำนี่น่ะ

    “อะไรจะปานนั้นหือม์..ทำไมชีวิตมันมืดตื๊ดตื๋ออย่างนั้นล่ะ”

    “ช่างออมเถอะค่ะ จะมาก็มา ไม่มาก็แล้วไป ไม่รออยู่แล้ว”

    “จ้ะ ๆ ไปจ้า แหม..ขี้งอนจัง”

    “รู้จักห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวนะคะ ออมจะรออยู่ข้างหน้าร้านแมงป่อง
    ชั้นสองค่ะ โอเค้ สวัสดีค่ะ”    ออมวางหูโทรศัพท์เสร็จไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ต่อคำอีกแล้วก็เดินออกจากออฟฟิศ วันนี้ชุดที่ใส่เป็นกระโปรงยีนส์สีซีดยาวกรอมเท้า ชายกระโปรงขลิบลูกไม้สีขาวเข้าสมัยนิยม เสื้อยืดคอกลมสีโอรส มีลายการ์ตูนด้านหน้านิดหน่อยช่วยขับผิวสาวให้ดูขาวนวล ผมที่เคยรวบเก็บด้วยหนังยางสีต่าง ๆ วันนี้ถูกปล่อยให้ปลิวลมตามสบายอย่างไม่นึกรำคาญเหมือนทุกวัน  แอบมองเงาตัวเองในกระจกจากประตูออฟฟิศ ที่ติดฟิล์มสีดำแต่สะท้อนแสงไฟจนเกิดเงานิด ๆ  น่ะ..อย่างนี้ไม่ถือว่าเจ้าเล่ห์ แต่เขาเรียกว่าหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาเล่าให้ฟังด้วยความสนุกสนานถึงสาวนางหนึ่งที่มีนัดกับหนุ่ม โดยถูกหนุ่มหลอกให้ไปรอที่สถานที่นัด แล้วแอบไปดูตัวโดยไม่ปรากฏตัวให้เห็น จากนั้นหนุ่มคนนั้นก็เอาสาวเจ้ามานินทาให้เพื่อน ๆ ที่ ที่ทำงานฟังถือเป็นเรื่องขบขัน
    แต่ออมว่าน่าสงสารสาวคนนั้นมากกว่า แหม..คนเราคิดจะคบกันแล้วยังไม่จริงใจนี่มันแย่มาก ๆ แต่หนนี้ออมไม่ได้หลอกคุณติ๊กเก็ทแกหรอก  แค่หาทางหนีทีไล่เฉย ๆ ค่ะ ออมยิ้มเมื่อในที่สุดก็หาข้ออ้างที่ดีและไม่น่าเกลียดให้ตัวเองได้  

    พอถึงถนนใหญ่เธอก็กวักมือเรียกแท็กซี่เพื่อไปถึงยังจุดนัดพบโดยเร็วที่สุด แล้วเธอก็เป็นฝ่ายไปถึงก่อนเขาตามที่ตั้งใจ  รอจนแน่ใจว่าเขาไม่มาแน่ ๆ
    แล้วก็เลยลองติดต่อที่เบอร์มือถือ

    “คุณติ๊กถึงไหนแล้วคะ”

    “ไม่รู้ดิ”

    “อ้าว !  คุณไม่รู้แล้วออมจะรู้ไหมเนี่ย”

    “ผมไม่เคยมาแถวนี้นี่นา”

    “ว๊า..แย่เลยเด็กหลง เอางี้ละกันออมไม่รอแล้วนะ ว่าจะเลยไปหาอะไรทานแล้วกลับบ้านเลย คุณว่าไง”

    “ก็ไม่เป็นไรฮะ ผมกำลังหาที่กลับรถอยู่เหมือนกัน”

    “งั้นโชคดีค่ะ..ไว้วันหน้าคงมีโอกาสได้เจอกันนะคะ”

    “แล้วรีบกลับบ้านนะครับ”

    “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ขับรถมาหลงทางเพื่อออม สวัสดีค่ะ”  ยืนเหงา ๆ อยู่ที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะคนเดียว  เฮ้อ! คิดอะไรมากมายแค่คนรู้จักแต่ไม่มีวาสนาที่จะพบกันก็แค่นั้นยิ้มจาง ๆ ให้คนที่มารอคิวต่อจากเธอก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นสาวเท้าไปหาร้านหนังสือมุมโปรดของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ

    กว่าเธอจะพาตัวเองมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม วางหนังสือไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะเดินไปรินน้ำเย็นจากตู้เย็นมาดื่ม ป่านนี้คุณพลจะนอนหรือยังน๊อ.. ความรู้สึกหนึ่งที่มักจะรู้สึกอยู่เนืองนิจเมื่อเหงาและเศร้า คิดถึงคุณพลเพื่อนเก่าเก็บคนนั้น นานนับเดือนนับปีก็ไม่ลืมเขาซะที หยิบหนังสือที่พึ่งซื้อมาใหม่ขึ้นมาเปิดหน้าแรกแล้วก็เปลี่ยนใจ  เปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบกระดาษเขียนจดหมายขึ้นมาปึกหนึ่ง เลือกปากกามาหนึ่งแท่ง จากปากกานับสิบแท่งที่อยู่ในขวดแก้วสีสวยบนโต๊ะ ปากกาพวกนี้จะลายเดียว ยี่ห้อเดียวกันหมดนั่นแหละ เพราะจะว่าไปแล้วก็เป็นคนโรคจิต เพราะออมจะชอบปากกากับกระดาษ ที่ไหนมีออมที่นั่นจะต้องมีปากกาและกระดาษเสมอ ๆ แล้วปากกายี่ห้อที่เธอชอบมันค่อนข้างบอบบาง หล่นหน่อยก็เส้นขาด ๆ หาย ๆ เขียนไม่ออก  ไม่ใช่ปากกาเขาไม่ดีแต่คนมันซุ่มซ่าม เคยมีคนบอกอย่างนั้น ฉะนั้นออมมักจะมีปากกาอยู่ในครอบครองใกล้มือพอจะหยิบฉวยมาใช้ได้ไม่ต่ำกว่าสามแท่งขึ้นไป ขนาดในกระเป๋าถือมีแล้วสามบางทีสวมเสื้อหรือ
    กระโปรงที่มีกระเป๋าก็ยังอุตส่าห์จะเหน็บไว้ไม่ได้ อย่างนี้เค้าเรียกคนโรคจิตรู้มั๊ย  เธอยิ้มเมื่อนึกถึงคำกล่าวหาของคนบางคนที่ว่าไว้

    ในห้องกว้างที่ค่อนข้างเงียบ เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเบา ๆ  เสียงเพลงที่ดังลอดมาจากลำโพงทำให้ใจโหวง ๆ ชอบกลเลยหมุนเปลี่ยนคลื่นใหม่ เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาก็ไม่ถูกใจซะที เลยต้องปิดวิทยุแล้วเดินไปเปิดโทรทัศน์  หาช่องที่มีรายการเพลงได้ช่องหนึ่งแล้วกลับมานั่งที่เดิม

    เฮ้อ! หมุนไปหมุนมาก็ไม่พ้นคุณพลอีกจนได้.. เขียนถึงเขาซะหน่อยเป็นไรไป

    7. 11. 42

    คุณกฤชพล

    บนโลกใบเดียวกัน เวลานี้คุณจะเป็นอยู่อย่างไรกัน อยากรู้จัง ลูกคุณช่างสงสัยมาเกิดค่ะ ออมน่ะสงสัยได้หมดทุกเรื่องแหละ คุณล่ะสงสัยบ้างไหมว่าออมสงสัยอะไรของออมนักหนา (สับสนนะ.. ชีวิต)

    นอนไม่หลับค่ะคืนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ฟังเพลงจากวิทยุจนปิดสถานีไปหลายรายแล้ว หมุนหาคลื่นจากซ้ายจรดขวาและวนกลับอีกหลาย ๆ รอบ มีแต่เพลงเศร้า ๆ จนสุดท้ายต้องปิดวิทยุแล้วไปเปิดโทรทัศน์ ให้เสียงและภาพของรายการที่ดำเนินอยู่ “อยู่เป็นเพื่อน” ในขณะที่เขียนถึงคุณไปพลาง ๆ

    มีกลอนอยู่บทหนึ่งอยากให้คุณอ่าน เขียนให้คุณนั่นแหละ

    -- คุณคงไม่เข้าใจ ฉันก็ไม่เข้าใจยิ่งกว่า
    ว่าทำไมที่ผ่านมา ไม่ตัดใจลาให้เด็ดขาด
    ช่างเถอะ..อย่าห่วงอะไรนัก แค่ความรักของกระดาษ
    เดี๋ยวลมก็พัดขาด หัวใจกระดาษก็ปลิวไป
    บอกคนของคุณนะ ว่าฉันจะหยุด..อะไร ๆ
    รักคนของคุณต่อไป เหมือนที่ให้ใจกันนานมา
    คุณกับเธอรักกัน จงมุ่งมั่นหมั่นรักษา
    วันใดเจ็บช้ำอำลา ก็จงอย่างหมดความอดทน
    ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่จะรักใครสักคน
    ผ่านร้อนฝ่าหนาวฝน อย่าทำรักหล่น..ง่ายดาย

    อื้อหือ..เมื่อยแขนจัง หาเด็กให้สักคนสิค่ะ จะใช้ให้นวดแขนให้นักเขียน (ตัว) ใหญ่ ฮิ..ฮิ

    ออกตัวไว้ก่อนค่ะ ว่าเป็นแค่คนหัดเขียนหนังสือเท่านั้น มิใช่ “นักเขียน” หรอก งานของออมยังแย่อยู่มากในเรื่องการใช้คำ ยิ่งฉันทลักษณ์ต่าง ๆ  สุดท้ายนะออมชอบตกม้าตายเรื่อยแหละ โดยเฉพาะบรรทัดสุดท้ายบางทีก็จบไม่ลงตามคำบังคับเลยเถิดไปถึงสุพรรณ อ่างทองนู่นแน่ะ..(ยกตัวอย่างเพื่อให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นไง จากจังหวัดเลย ถึงสุพรรณ -- ทำนองนั้น)

    ทน ๆ อ่านไปเถอะค่ะ คนเขียนยังไม่ขี้เกียจเลย จริง ๆ แล้วออมก็เขินนะ เขินที่จะเรียกงานของตัวเองว่าเป็นบทกลอน เพราะมันคงไม่มีในประเภทใด ๆ ของฉันทลักษณ์โคลงกลอนไทย มันเป็นแค่คำที่ถูกผสมผสานกันขึ้นมาแล้วคล้องจองกันเท่านั้นเอง อย่างนี้นักเขียนเขาได้มาอ่านเขาจะประณามออมไหมคะนี่ (ชักวิตก)

    แต่อย่างไรก็ยังอยากเป็นคนเขียนหนังสือนี่คะ คิดอะไรได้ เขียนอะไรเป็นคำ ก็จะโน้ต ๆ เอาไว้หมดเอางี้นะ เหมือนเคย ขอยึดคุณพลไว้เป็นพวกหนึ่งคน หนึ่งเสียงบนระบอบประชาธิปไตยนี้ ออมจะรวบรวมงานเขียนทั้งหมดที่มีมาให้คุณช่วยอ่านดู ถึงแม้คุณจะไม่ใช่บรรณาธิการหนังสือฉบับใดก็ตาม อ่านนะคะในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง งานออกมาดี ๆ ชั่ว ๆ อย่างไร ออมก็มั่นใจแล้วว่ามีคนอ่าน 1 คน นะคะ..นะ

    ขอบคุณค่ะ
      ออม

    เธอจบบรรทัดสุดท้ายด้วยรอยยิ้มที่พึ่งจางจากใบหน้า พับกระดาษใส่ซองแล้วจ่าหน้าซองตาที่อยู่ที่จำได้ขึ้นใจ  แต่ยังไม่ปิดซองทันทีเพราะรู้ตัวดีว่าพรุ่งนี้จะต้องมาอ่านทวนดูอีกรอบ วางจดหมายไว้แล้วก็เหม่อมองนอกหน้าต่าง อ้างว้างและร้างไร้เหลือเกิน

    แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 46 00:12:08

    จากคุณ : สีน้ำฟ้า - [ 10 ก.ย. 46 00:01:23 ]