กระทงไม่หลงทาง - ตอนที่ 8 (เรื่องสั้น 10 ตอนจบ)

    ตอน 1  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2447895/W2447895.html

    ตอน 2  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2448092/W2448092.html

    ตอน 3  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2448201/W2448201.html

    ตอน 4  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2448399/W2448399.html

    ตอน 5  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2448697/W2448697.html

    ตอน 6  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2449087/W2449087.html

    ตอน 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2449149/W2449149.html



    การเดินทางคงทอดยาวไปอีกหลายชั่วโมง เพราะกำหนดการเดินทางของรถไฟขบวนนี้จะถึงปลายทางสถานีเชียงใหม่ตอนตีห้าครึ่ง ซึ่งขณะนี้เพิ่งจะเกือบสองทุ่มเท่านั้นเอง เธอนั่งลงและหยิบสมุดบันทึกมาอ่านต่อ ห่อไหล่นิด ๆ เพราะอากาศเริ่มเย็นแล้วนั่งอ่านต่อไปสักครู่จึงลุกขึ้นยืนเขย่งนิด ๆ เพื่อจะหยิบเป้ที่วางอยู่บนชั้นวางสัมภาระเหนือศรีษะ กลิ่นโคโลญจน์ผู้ชายปลิวมาปะทะจมูกก่อนจะรู้สึกถึงไออุ่นที่ซ้อนอยู่เบื้องหลัง ออมตัวแข็งไม่กล้าหันกลับไปมองทันที ผู้ชายเขาต้องเป็นผู้ชายแน่ ๆ เลย เขาถอยห่างออกไปแล้ว รู้จากลมเย็นวูบหนึ่งที่เคลื่อนเข้ามาแทนที่เขาเมื่อกี้ เธอจึงหันไปเผชิญหน้ากับเขาเต็มตา สบตาสีนิลคู่นั้นก็ได้แต่อ้าปากหวอ เสียงเอ็ดอึงอยู่ในใจ เขายิ้มกว้างมากขึ้น
    “เอ้า..เดี๋ยวแมงโม้บินออกจากปากหมดนะ แล้วอย่ามาบ่นเชียวว่าหมดมุข ๆ ขี้เกียจฟัง”       ออมหุบปากฉับ แถมค้อนให้เขาทีหนึ่ง รับกระเป๋าจากเขามากอดไว้ก่อนจะนั่งลงโดยยอมเสียมารยาทไม่เอ่ยชวนเขาด้วย

    “ตรงนี้ว่างไหมครับ”       เขาแกล้งชี้ข้าง ๆ เธอ

    “ถ้าคุณพลคิดว่าไม่ว่าง หรือจะไม่นั่งก็แล้วแต่สิคะ”       พูดโดยไม่มองหน้าเขา

    “ขอบคุณครับ”       เขาเย้า

    “คนบ้า..คนผีทะเล”        พึมพำ ๆ แต่ไม่วายกระทบโสตประสาทเขา

    “อะไรนะ ผีที่ไหนจะมาหลอกป่านนี้คุณ หนำซ้ำในนี้ก็ออกสว่างโร่ ขอโทษเมื่อกี้อ่านหนังสือสยองขวัญอยู่หรือครับ”

    “-----”

    “แน่ะ ..ถามไม่ตอบด้วย หมดมุขหรือกำลังตั้งรับอยู่ล่ะ พูดอะไรก็ได้พี่ไม่กัดหรอก”

    “คุณพลมาอย่างไรคะ”

    “ให้เด็กที่ออฟฟิศโทรมาจองตั๋วด่วนสิ”

    “ทำไมไม่ทักออมตั้งแต่ตอนนู้นล่ะคะ”

    “อยากให้แปลกใจเล่น ๆ น่ะ”

    “นึกว่าแค่มาส่ง แล้วคุณลางานได้หรือคะ พรุ่งนี้คุณทำงานเต็มวันแล้วก็มีประชุมช่วงเย็นมิใช่หรือ”

    “คร้าบ.. คุณเลขารู้ดีจริงนะ กระผมจัดการเคลียร์เรียบร้อยแล้วขอรับ”

    “ก็ดีค่ะ”       ออมเชิดหน้าปรับระดับเสียงให้ห้วน ประมาณว่าเก๊กสวยน่ะนะ

    “แค่เนี๊ยะ  โธ่..อุตส่าห์ตั้งใจหอบผ้าหอบผ่อนหนีตาม บอกว่าก็ดีค่ะแค่เนี้ย”       เขาอุทรณ์เสียงไม่ดังนัก เพราะขณะนี้ส่วนใหญ่คนเริ่มสัปหงกกันแล้ว ออมปิดปากหัวเราะเบา ๆ

    “หอบผ้าตามมา แล้วสามีที่รอรับออมอยู่ปลายทางล่ะคะ”       เขาหรี่ตามองแบบปรามาสเต็มที่

    “สามีรอยู่”

    “จริ๊ง..ก็รู้จักนิสัยนี่คะ แค่ชวนเฉย ๆ  โดยให้คำชวนนั้นเป็นประโยคบอกเล่าไม่ได้ให้หอบผ้าหอบผ่อนตามมาแบบนี้นี่เจ้าคะ”

    “ก็ดี..งั้นกลับก็ได้”

    “โถ..งอนด้วยแล้วจะกลับยังไงคะลงสถานีหน้ามั๊ยกระเป๋าอยู่ไหนล่ะเดี๋ยวจะไปช่วยหิ้วค่ะ”

    “นี่หรือคนเป็นห่วงเรา คิดถึงเรา พอเห็นหน้าก็ไล่”

    “เฮ้อ! หนุ่มสมัยนี้ขี้งอนกันจริ๊ง  ถือว่ามีจำนวนน้อยกว่าอย่างไรผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายง้ออยู่แล้วหรือคะ”

    “ตกลงมีใครรอรับปลายทางหรือ”  เขาถามเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น

    “จะมีใคร..นอกจาก..”

    “คุณพลคนเดียว”  เขายิ้มกริ่ม

    “แหวะ..”  เธอหัวเราะ

    “เสียใจค่ะ แต่เอก็น่าเป็นไปได้นะถ้าเป็นจินตนาการเหมือนพวกเรื่องสั้นทั้งหลายที่ออมเขียนไปให้คุณอ่านนั่นน่ะ อือ..แล้วเป็นฝีมือพอใช้ได้บ้างไหมคะ”

    “ใช้น่ะ ใช้ไม่ได้เลย”  เธอยิ้มแหย ๆ

    “ใช้ไปซื้อของปากซอยได้มั๊ย”

    “โธ่..นั่นน่ะเอาไว้ใช้ลูกคุณเถอะค่ะ เอาแบบวิจารณ์จริงจังกันดีกว่าอยากรู้ค่ะ”  แววตาคู่นั้นฉายแววกระตือรือล้นจนออกนอกหน้า

    “ออมต้องการเสนออะไรให้คนอ่านล่ะ”  เขาก็ยังไม่ตอบคำถามที่เธออยากรู้อยู่ดี

    “หลายอย่างค่ะ ที่แน่ ๆ อาจจะแฝงได้ด้วยความเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ของตัวออมเองลงไปด้วยแน่ ๆ เลยใช่มั๊ย”

    “เอาแบบจริงจังนะ”

    “ค่ะ”

    “มันเลื่อนลอยเกินไป ไม่มีจุดเด่นที่น่าสนใจสักเรื่อง”

    “ว๊า..แสดงว่าบทบรรยายโวหาร พรรณาโวหารของออมมันแย่ค่ะ แก้ไม่หายสักที”

    “บางเรื่องก็เป็นเหมือนบันทึกเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์มากกว่าเรื่องสั้นจบในตอนอย่างที่ออมต้องการให้เป็น”

    “เหรอคะ”

    “ไหนลองบอกความหมายของเรื่องสั้นมาให้ฟังหน่อยสิ พี่ว่าออมสับสนกับชีวิตมากไปหน่อยนะ”

    “เอ่อ..ออมไม่ได้เรียนนิเทศศาสตร์มาโดยตรงตอบไปก็ไม่ถูกหรอกค่ะ ขอแบบค้าง ๆ คู ๆ หรือกำปั้นทุบดินได้มั๊ยล่ะคะ”

    “โยกโย้จริง จะตอบหรือไม่ตอบ”        เขาชักฉุน

    “คุณพลจะมาสอบอะไรออมตอนสามทุ่มอย่างนี้ล่ะคะ”       เธอปิดปากหาวแกล้งทำตาปรือ

    “ง่วงจังค่ะ”      เขาคอแข็ง ชำเลืองแลด้วยหางตา แล้วรอดูบทบาทต่อไปของเธอ ท่าที่แกล้งหลับตาพิงเบาะนิ่ง ๆ นั้นกวนโมโหเป็นกำลัง ออมหรี่ตามอง แอบยิ้มเมื่อเห็นเขาทำหัวคิ้วชนกัน แกล้งพูดเสียงยานคาง

    “เรื่องสั้นเป็นวานนะกำตะวานตก”       เขาทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ

    “ดีกว่านี้หน่อย ไม่งั้นไม่ต้องมาคุยกัน”       ออมยิ้มเต็มหน้าอย่างทะเล้น เมื่อเขาส่งเสียงห้วนจัด ใคร ๆ ก็ว่าคุณพลเป็นคนดุ เปล่าเลยเขาเป็นคนใจดีที่ใจอ่อนเก่งที่สุดต่างหาก ไม่งั้นเขาไม่มาทู่ซื้อยู่ให้เธอล้อเล่นอยู่อย่างนี้หรอก  ยิ้มกว้างขึ้นและเริ่มจริงจังโดยไม่มีข้อต่อรองใด ๆ

    “เรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมประเภทร้อยแก้ว มาจากชาติตะวันตก ลักษณะพิเศษเฉพาะที่น่าสนใจของเรื่องสั้นก็คือจะมีจุดหมายซึ่งแสดงโลกทัศน์ คติธรรม หรือความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงข้อเดียว หรือบางครั้งถ้าเรื่องราวจะสลับซับซ้อนไปบ้าง เนื้อเรื่องก็ต้องสัมพันธ์กันแล้วจบลงตรงความคิดหรือคติเพียงข้อเดียว”

    “ดี ฉะนั้นที่ออมเขียน ๆ อยู่เขาเรียกเรื่องสั้นไหม”
    “ไม่ค่ะ เป็นบันทึกเหตุการณ์หนึ่งช่วงอารมณ์มากกว่า”
    “คราวหน้าก็เรียกให้ถูกก็แล้วกัน แต่ไหน ๆ ก็คุยกันถึงเรื่องนี้แล้วนะ เท่าที่พี่ได้อ่านจากหนังสือก็พอจะแนะนำให้เด็กเรียนดีวิชาบัญชี แต่มีพรสวรรค์ด้านภาษาไทยนิดหน่อยอย่างเราฟังได้นิดหน่อย”

    “เจ้าค่ะ”  

    “เรื่องสั้นมีลักษณะเฉพาะคือต้องมีโครงเรื่อง เหมือนการวางแผนงานให้บริษัท อย่างที่มีเรียนในวิชาบัญชีนั่นแหละ”       ออมค้อนให้เขาทีหนึ่ง แหม..ช่างผูกใจเจ็บเก่งเหลือเกินนะคะเขายิ้มรับบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อไป

    “เรื่องสั้นนี้จะต้องเขียนด้วยการประหยัดถ้อยคำจริง ๆ ถ้าจะนับกันอย่างจริงจังก็ควรอยู่ในระหว่างสี่พันถึงห้าพันคำ แต่ก็สามารถยืดหยุ่นได้คืออาจจะใช้แค่พัน สองพัน หรือเจ็ดพัน แปดพันคำก็ได้ ทางที่ดีคือช่วงเวลาในเรื่องต้องสืบเนื่องกันและใช้เวลาน้อย ตัวละครก็น้อยคน ที่สำคัญจุดมุ่งหมายก็ต้องมีเพียงอย่างเดียว เหตุผลเดียว”

    “เท่าที่ออมทราบเรื่องสั้นมีสองอย่างไม่ใช่หรือคะเรื่องสั้นขนาดสั้นกับเรื่องสั้นขนาดยาว”

    “ก็ใช่ครับ มันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนของจำนวนคำ ดังนั้นนักประพันธ์เขาจึงกำหนดขนาดของเรื่องสั้นโดยการใช้เวลาเป็นตัวตัดสิน ว่าถ้าอยู่ในช่วง 15-50 นาที บางคนก็กำหนดว่าเรื่องสั้นควรอ่านจบในเวลาการนั่งสบาย ๆ ครั้งหนึ่ง”

    “คุณพลรู้เยอะจัง คนเกิดก่อนนี่ได้เปรียบนะคะ”  เธอแกล้งนับนิ้ว

    “โอ้ว..เกิดก่อนออมตั้งยี่สิบปีแน่ะฉะนั้นต้องมีอะไรเด็ด ๆ ต่ออีกใช่ไหมคะ ต่อค่ะออมยังไม่ง่วงค่ะ ปกติก็นอนดึกอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ”       เขาหมั่นไส้ท่าทีกวน ๆ นั้นเต็มกำลัง อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปโยกศรีษะได้รูปนั้นเบา ๆ

    “ก็คงอย่างนั้น นี่ก็ตั้งใจมาเป็นพี่ศิราณีตอบจดหมายรักของเราด้วยไง กี่ฉบับล่ะ”       เธอส่ายศรีษะให้มือเขาหล่นลงมาจากที่ตรงนั้น

    “ไม่เคยนับสักทีค่ะ รู้แต่ว่าวันไหนไม่เขียนรู้สึกปวดหัวตัวร้อนนอนไม่หลับ”

    “เว่อร์”  เขายิ้ม

    “วันก่อนได้ไปคุยกับนักเขียนมา”

    “วาว..เพื่อออมคุณพลลงทุนขนาดนั้นเชียว”

    “เปล๊า! บังเอิญเด็กที่ออฟฟิศเค้าอยากเป็นนักเขียนเหมือนกัน”       ออมสะบัดหน้าหนี

    “โอ๋..โอ๋..”       เขาปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน จนคนฟังอดไม่ได้ที่จะมีน้ำใส ๆ รื้นออกมาจากหน่วยตา และไหลรินตามร่องแก้ม แอบใช้หลังมือปาดซ้าย-ขวาอย่างรวดเร็ว

    “ทำไมร้องไห้ง่ายจัง โตแล้วนะ”       เสียงเขาอ่อนนุ่มเข้าไปอีก

    “ฮื้อ..อย่าสนใจเลยค่ะ ออมก็เป็นของออมอย่างนี้อยู่แล้วเหงาได้ทุกเวลา ร้องไห้ได้ทันทีที่ถูกเพียงบางถ้อยคำกรีดเฉือนลงบนความรู้สึก”

    “สำบัดสำนวน”       เขาว่า

    “ช่างเถอะค่ะ มีอะไรเล่าต่อไหม”

    “มี..พูดถึงเทคนิคการเขียนเรื่องสั้นต้องพรรณาให้เห็นภาพชัดเจนดุจภาพวาดอยู่ตรงหน้า หรือชักชวนให้คล้อยตาม ซึ่งจุดนี้เองมาจากพรสวรรค์และจินตนาการของผู้เขียนที่จะแสดงให้เห็นว่ามีฝีมือแค่ไหนไง”

    “ของออมแย่ค่ะ มีแต่จินตนาการแต่ยังอ่อนหัดเรื่องการบรรยาย”

    “ก็พยายามเข้าสิจ้ะ..กำลังใจเยอะแยะ”

    “จริงน่ะ..”       โยกตัวออกห่างเพื่อมองหน้าเขาชัด ๆ

    “แล้วคนที่โทรมาตามคุณกลับไปทานข้าววันนั้นล่ะ เอาไปเก็บไว้ไหนคะ”

    “จุ๊..จุ๊..เขตปลอดครับ หรือถ้าพี่จะเป็นกำลังใจให้เราผิดศีลหรือ”       เขาไม่แก้ตัวอีกแล้วจะให้เธอเข้าใจอย่างไรดีหนอ ตกลงมีหรือไม่มีกันแน่คนที่บ้านน่ะ สงสัยจริง

    “แน่ะ..รับว่ามีแฟนแล้ว”       ออมไม่ยอมเลิกค้นหาความจริง

    “ไว้ก็รู้เองครับ เมื่อถึงเวลา”

    “ได้ค่ะ”

    “ต่อนะ เรื่องการวางโครงเรื่อง ออมต้องมีหลักเกณฑ์มากกว่ากว่าเดิม ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ แล้วมาตะแง้ว ๆ มาพี่ใจร้ายเลยทำให้เขียนไม่ออก”  ออมหลบตาอยากจะซ่อนตัวให้พ้นจากตรงนั้นเป็นกำลัง แอบเถียงในใจว่าก็มันเขียนต่อไม่ได้จริง ๆ นี่นา

    “อยากเป็นนักเขียนแล้วเอาหัวใจไปผูกกับพระเอกของเรื่อง แล้วมันจะได้เรื่องอย่างไรฮึ เป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่ แล้วเขียนไปกี่เรื่องแล้ว”

    “หลายเรื่องค่ะ”       เสียงอ่อยเต็มที

    “เหมือนกันทุกเรื่อง”       เขาหลับตาพิงหนัก เงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจจากอากาศตรงหน้า

    “ค่ะ”

    “เฮ้อ!”       เขาปล่อยลมหายใจออกมาจากปาก

    “รักกับทุกคน”

    “ค่ะ”

    “ช่างดีจริง ๆ ”      เขาประชดน้อย ๆ

    “ผิดหรือคะ”       ยังไม่ยอมสบตากับเขา

    “ไม่ผิดครับ แต่มันไม่ใช่ประเด็น นี่แสดงว่าเลิกเขียนก็เลิกอินเลิฟงั้นสิ”

    “ทำนองนั้นค่ะ”

    “แล้วเมื่อไหร่ผมจะถูกสลัดรักครับนี่”        ไม่วายประชดอีกจนได้  ออมเงยหน้ามองเขายิ้ม ๆ

    “ออมสารภาพแล้วหรือคะว่ารักคุณ”

    “ทำนองนั้น”

    “อย่างนี้เค้าเรียกสำคัญผิดหรือหลงตัวเองดีคะ”  ถามยิ้ม ๆ

    “อ้าวแล้วไม่รักหรือ”      เขาถามขรึม ๆ อ่านไม่ออกว่าแววตาคู่นั้นซ่อนความคิดอะไรไว้

    “รักแบบไหนละคะ ถ้าเป็นแบบหนุ่ม-สาว แบบแฟน หวังครอบครอง ตรงนั้นไม่ใช่ค่ะ แต่ถ้าเป็นแบบพี่ชาย เพื่อน หรือบางครั้งคุณก็เหมือนพ่อที่ดุลูกสาว ก็ใช่ค่ะ ไม่อยากให้คุณพลเป็นแฟน ไม่ชอบความรักแบบนั้นเพราะไม่เคยจีรังยั่งยืน แถมต้องมาคอยงอนง้อให้น่าเบื่ออีกต่างหาก”

    “หืมม์ ประสบการณ์เยอะ”       เขาว่า นัยน์ตาเปล่งประกายสดใส ไม่อึมครึมเหมือนเมื่อกี้

    “แน่นอนค่ะ เห็นมาเยอะแล้ว”

    “โธ่ ทำมาคุยแค่เห็น”

    “อ้าว พบเห็นแล้วเก็บมาเป็นประสบการณ์ผิดด้วยหรือคะ”

    “เปล๊า..”  เขาทำเสียงสูง

    “พี่มีอะไรมาให้อ่านแน่ะ เป็นงานเขียนของนักเขียนที่เป็นเพื่อนพี่เอง เอ้าลองเอาไปอ่านดู”      กฤชพลส่งกระดาษม้วนกลม ๆ ที่ถือติดมือไว้ให้เธอ ออมรับมาคลี่ดู

    “งั้นออมอ่านเลย”

    “ใจร้อนไม่หายเหมือนเดิม”       พูดจบเขาก็หลับตาพิงพนักปล่อยให้หญิงสาวได้ใช้เวลากับกระดาษสอง-สามแผ่นในมือ

    จากคุณ : สีน้ำฟ้า - [ 10 ก.ย. 46 16:13:08 ]