..... @ ด อ ก ไ ม้ ห ลั ง ม่ า น @.....

    นารินทร์ยืนมองฉากสุดท้าย ของละครเวทีที่เธอเป็นคนเขียนบทเองกับมือ อยู่หลังเวทีเงียบๆ ในระหว่างที่เพื่อนๆ คนอื่นๆยังทำงานกันวุ่น ทั้งพวกเบื้องหลังและพวกนักแสดงเบื้องหน้า

    “ฉากสุดท้ายแล้วซินะ” หญิงสาวรำพึงในใจ นี่คือละครประเพณีของปีสี่คณะมนุษย์ฯ  เพื่อเป็นการอำลา มหาวิทยาลัย  และความผูกพันธ์ต่างๆตลอดเวลาสี่ปี ที่อยู่ที่นี่ สำหรับนารินทร์สี่ปีของเธอหมดไปกับ การเรียน กิจกรรมชมรม เฮฮากับเพื่อนๆบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่เคยเลยที่จะเสียเวลาไปกับความรัก จนเพื่อนๆล้อหล่อนเสมอๆว่า
    “สงสัยหนูนาของเรา จะหลงรักแต่พระเอกในนวนิยาย”  

    ในสายตาของใครๆ นารินทร์เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ พูดน้อย ขี้อาย ขี้เกรงใจ แต่เพื่อนก็รักและเอ็นดูหล่อน  ทุกคนจึงพร้อมใจกันเติมคำว่า หนู นำหน้า นา ซึ่งเป็นชื่อของเธอ

    ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความจริงแล้วนารินทร์แอบมีความรู้สึก พิเศษ ให้กับใครคนหนึ่งและเขาเป็นคนจริงๆที่ไม่ใช่พระเอกในนวนิยายด้วยซิ  เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตอนเข้าคลาสเชียร์ปีหนึ่งโน้น ครั้งหนึ่งเขาช่วยทั้งลากทั้งจูงเธอ ตอนที่พี่ว๊ากสั่งให้วิ่งขึ้นวิ่งลงตึก 7 ชั้น  5 รอบ และเขาก็ให้เหตุผลเพียง

    “เห็นตัวนิดเดียว สงสาร”  

    นารินทร์ไม่แน่ใจว่าเขาจะจำหล่อนได้ไหม เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เคยคุยกันเลย นารินทร์ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะวิ่งไปหาเขา และเขาก็ สูง เกินกว่าที่จะมามองผู้หญิงธรรมดาอย่างหล่อน เพราะผู้หญิงที่ได้รายล้อมเขา มีแต่ ดาว แล้ว ดิน อย่างหนูนาจะไปทำอะไรได้

    จนเมื่อเทอมสุดท้ายของปีสี่ ที่นักศึกษาคณะมนุษย์ฯ ทุกเอกต้องร่วมมือกันทำละครเวที  นารินทร์อยู่เอกภาษาไทย ส่วนเขาอยู่เอกพัฒนาชุมชน นี่เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่ได้ทำงานร่วมกัน “ก็แค่ร่วมงานเท่านั้น”  นารินทร์ในฐานะผู้เขียนบท และ ตฤณชาติ  ผู้ที่เพื่อนๆเลือกให้รับบท พระเอก ประจำรุ่นนั่นเอง  และตลอดเวลาที่ฝึกซ้อม นารินทร์ จะได้คุยกับ เขา เมื่อเขามาขอคำอธิบายตัวบทเท่านั้น นอกนั้นเธอกับเขาดูเหมือนไม่มีเรื่องคุยกันเลย นารินทร์ยังคงรักษาความลับได้อย่างมิดชิด

    เสียงปรบมือดังลั่นหอประชุม พร้อมกับเสียงกล่าวแสดงความขอบคุณจากตัวแทนคณะฯ  “จบลงแล้วซินะ ใช่ จบแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย”  บางทีนารินทร์ก็นึกตำหนิตัวเอง
    “ทำไมน่ะ ทำไมเราไม่กล้ากว่านี้” แต่จิตสำนึกอีกอันก็ปรามมาว่า “แบบนี้แหละดีแล้ว เธอเป็นผู้หญิงนะ จะเดินโทงๆไปบอก ชอบ ผู้ชายก่อนได้ไง แล้วถึงเธอกล้า ก็ใช่ว่าเขาจะชายตามอง ยัยเฉิ่ม อย่างเธอ”

    แบบไหนจะเจ็บกว่ากันนะ ‘ระหว่างอกหักกับแอบรักเขาข้างเดียว’ ก็คงเป็นปัญหาโลกแตกเหมือน ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกันนั่นแหละ  

    อกหักแม้จะทรมานเหมือนถูกทรยศหักหลัง  แต่ครั้งหนึ่งก็ยังมีช่วงเวลาดีๆ ที่มีเขาอยู่เคียงข้างให้ได้จดจำไม่ใช่หรือ?

    แต่ แอบรักเขาข้างเดียวนี่ซิ  แค่จะบอกความในใจก็ยังไม่กล้า และเมื่อเห็นเขาเที่ยวควงใครต่อใคร ก็ไม่มีสิทธิใดๆ นอกจากแอบมองด้วยหัวใจร้าวระบม  เมื่อต้องจากกันก็ไม่มีแม้เสี้ยวนาทีดีๆ ให้ได้เก็บเอาไว้ในความทรงจำเลย นอกจากความรู้สึกเสียดาย ที่ ปล่อยให้เวลาเหล่านั้นหลุดลอยไป ทั้งๆ ที่ ยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง

    ม่านหน้าเวทีถูกปิดลงแล้ว ต่อไปก็เป็นการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นารินทร์ถูกเพื่อนลากให้มารวมกลุ่มกับเพื่อนทั้งคณะที่หน้าเวที  จากนั้นสายตาหล่อนก็พร่าเลือนเพราะมีแต่แสงแฟ๊ลชแว๊บวับไปหมด  เมื่อช่างภาพสมัครเล่นทั้งหลายถ่ายภาพหมู่จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็เป็นรายการถ่ายรูปตามอัธยาศัย พวกนักแสดงที่ยังอยู่ในชุดเต็มยศถูกรุ่นน้องและเพื่อนต่างคณะเข้าคิวรอถ่ายรูปด้วยเหมือนพวกดาราดังๆเวลาออกงาน  ส่วนพวกที่อยู่เบื้องหลังก็มีบ้างแต่เป็นการถ่ายรูปในหมู่เพื่อนที่ร่วมงานกันเอง  เป็นธรรมดา ที่ผู้คนจะนิยมชมชอบ พวกเบื้องหน้า ดูอย่างละครดังๆซิ คนรู้จักแต่นักแสดง  แต่พอถามว่าเรื่องนี้ใครแต่ง น้อยคนที่จะตอบได้  

    คนเขียนบท ยืนมอง เหล่าช่อดอกไม้หลากสีที่ถูกส่งมอบให้นางเอกผู้เลอโฉมของเรื่องจนล้นมือ  นารินทร์แอบเห็นบางช่อที่เป็นช่อเล็กๆ เมื่อผู้ให้เดินหายไปแล้ว เพื่อนที่รับบทนางเอกคนนั้น ก็แสร้งเป็นว่ามันร่วงจากมือหล่นสู่พื้น แล้วเจ้าของก็ไม่สนใจเก็บมันขึ้นมา บางดอกถูกเหยียบย่ำอย่างไม่ใยดี  นักแสดงตัวอื่นๆก็ได้รับดอกไม้เหมือนกันแม้ไม่มากมายเท่านางเอก ซึ่งก็มาจาก พ่อแม่บ้าง  คนรู้ใจบ้าง  น้องๆสายรหัสบ้าง  แต่ไม่มีสักดอกจะถูกส่งมาให้ผู้เขียนบท

    นารินทร์เดินหลีกออกมาเงียบๆ ทางหลังเวที  แต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงแหลมๆ ของใครคนหนึ่ง
    “หนูนาจ้าาาาา….  มากอดกันหน่อยเร้ว  เราทำสำเร็จแล้ว  เพราะบทละครที่ดีเยี่ยมของหนูนาแท้ๆเลย”
    หาญกล้า หรือ ฮันนี่ จากเอกอิ๊ง ผู้กำกับละครนั่นเอง ว่าแล้วเจ้าตัวก็โผกอดนารินทร์แน่นเสียยิ่งกว่างูรัดอีกมั้ง บ่งบอกว่าดีใจสุดชีวิต จริงๆ  

    “ฮันนี่ ก็เก่ง  ถ้าไม่ได้ ฮันนี่ เป็นผู้กำกับ มันคงไม่ดีอย่างนี้หรอก”  แล้วผู้กำกับ กับ ผู้เขียนบท ก็นึกถึง วีรกรรม บวก วีรเวร ที่ได้ฝ่าฟันกันมา ทั้งสองพากันหัวเราะ  แล้วสวมกอดกันอีกครั้ง  ก่อนที่ ฮันนี่  จะถูกเรียกไปถ่ายรูปกับพวกดาราหน้ากล้อง  ดูเหมือน ท่าน ผกก. จะเป็นคนเบื้องหลังคนเดียวที่ทุกคนชื่นชม
    หญิงสาวบอกกับตัวเองว่า “ก็ไม่เลวนักหรอก อย่างน้อย ท่าน ผู้กำกับ ก็ยังอุตส่าห์ไม่ลืมเรา และเราก็คงไม่ลืม เธอ เช่นกัน”

    เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของใครแล้ว นารินทร์จึงเดินไปที่ รถป๊อบคันน้อย คู่ชีพของเธอ ตั้งใจว่าจะกลับหอไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบวิชาสุดท้าย  แต่เมื่อมาถึงน้องป๊อบ นารินทร์ก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจว่า น้องป๊อบของเธอจะมีใครเอากระดาษมาแปะไว้อีกรึเปล่า เพราะตั้งแต่เธอเริ่มเขียนบทและปลุกปล้ำกับมันมาจนถึงวันนี้  ทุกวันหลังซ้อม หล่อนมักจะได้กระดาษโน๊ตเล็กๆ ที่วาดภาพแบบการ์ตูนญี่ปุ่น สัตว์บ้าง คนบ้าง เขียนข้อความสั้นๆเป็นเชิงให้กำลังใจว่า  หนูนาสู้ๆ  หรือ เหนื่อยนักพักหน่อยนะ ฯลฯ โดยที่ไม่ระบุเลยว่าใครเป็นคนเขียน  แต่น่าจะเป็นของยายจ้า น้องในชมรมวรรณศิลป์ที่เรียนจิตรกรรมนั่นแหละ เพราะยัยนี่ชอบทำอะไรแผลงๆ  และก่อนหน้านี้เคยบอกเป็นนัยๆว่า

    “พี่นา จ้าคงไม่มีตังค์ซื้อดอกไม้ให้พี่นาในวันแสดงหรอกนะ แล้วจ้าก็คงไม่ได้อยู่ด้วย เพราะต้องเอารูปไปแสดงที่กรุงเทพฯ  แต่จ้าจะเป็นกำลังใจให้พี่นานะ  อย่างที่พี่นาก็รู้ๆอยู่  ว่าจ้าเป็นกำลังใจให้พี่นา ว่าที่นักเขียนคนเก่ง มาตลอดเลย”

    “จริงซิวันนี้ยัยจ้าไม่อยู่ แล้วจะไปมีได้ยังไงล่ะ ไอ้กระดาษนั่นน่ะ  แต่เหงาๆ เหมือนกันแฮะ ก็เคยได้มาตลอดสี่เดือนนี่น่า เหมือนขาดอะไรในชีวิตไปอย่าง“ บางวันหล่อนเหนื่อยแสนเหนื่อยกับเพื่อนๆ คนนั้นจะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น  ต้องเพิ่มบทเรื่อยๆ ก็ได้เจ้ากระดาษใบน้อยนี่แหละช่วยคลายเครียดไปได้บ้าง

    จากคุณ : พินทุอิ - [ 11 ก.ย. 46 00:38:03 ]