ความคิดเห็นที่ 1 ฟิสิกส์แห่งการท่องเวลา[1]  : เป็นไปได้จริงหรือแค่นิทาน ในหนังสือเรื่อง Time Machine ของ H.G. Wells พระเอกของเราเข้าไปนั่งในเก้าอี้ทรงประหลาดที่มีแสงไฟกระพริบ หลังจากหมุนหน้าปัดควบคุมสองสามรอบ เขาก็ได้เดินทางไปในอนาคตนับแสนปี ไปยังยุคที่ไม่หลงเหลือเค้าความเป็นเมืองอังกฤษแม้แต่น้อย และ ณ เวลานั้นเองโลกถูกยึดครองโดยเผ่าพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่ามอร์ล็อคและอีลอย นี่อาจจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งทีเดียว แต่แนวความคิดเรื่องการเดินทางท่องเวลานั้นก็ยังสร้างความขบขันให้นักฟิสิกส์ยุคหนึ่งอยู่ไม่น้อย และด้วยเหตุผลที่ดีเท่าที่จะสามารถยกมาได้ จึงทำให้แนวคิดเรื่องการเดินทางข้ามเวลานี้จึงมักจะถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่องที่พิกล ลึกลับ และหลอกลวงไปเลย แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเราพิจารณาเป็นพิเศษในทฤษฎีสนามโน้มถ่วงควอนตัม(Quantum Gravity) โอกาสความเป็นไปได้ในเรื่องนี้จึงมีมากขึ้น พอที่จะเปิดโอกาสให้นักฟิสิกส์ทฤษฎีได้เขียนบทความลงนิตยสารฟิสิกส์รีวิวในเรื่องนี้กับเขาบ้าง เรื่องที่ดูจะหนักมือที่สุดสำหรับความเป็นไปได้ในการท่องเวลาคือการเกิดปัญหาขัดแย้ง หรือ Paradox ในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับคนที่ไม่มีพ่อแม่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราย้อนกลับไปในอดีต แล้วฆ่าพ่อแม่ก่อนที่เราจะเกิด คำถามคือ ถ้าพ่อแม่ตายก่อนที่เราจะเกิดแล้ว เราจะเกิดเพื่อไปฆ่าพ่อแม่ให้ตายได้อย่างไร หรืออาจจะเกิดกรณีของคนที่ไม่มีอดีต สมมติว่านักประดิษฐ์หนุ่มคนหนึ่งพยายามจะสร้างไทม์แมชชีน ในโรงรถของเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไร้ผล กระทั่งวันหนึ่งปรากฎว่ามีผู้ชายซึ่งแก่กว่าคนหนึ่งมาจากไหนก็ไม่มีใครทราบ ได้บอกความลับในการสร้างไทม์แมชชีนแก่คนหนุ่ม หลังจากนั้นอดีตนักประดิษฐ์หนุ่มของเราก็กลายเป็นคนร่ำรวยอย่างมหาศาลจากการเก็งกำไรหุ้น การแข่งขัน และการกีฬา ก็เพราะอนาคตอยู่ในมือของเขาแล้วนี่ สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจเดินทางย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้ง เพื่อที่จะบอกความลับเรื่องไทม์แมชชีนนั้นแก่ตัวเองในวัยหนุ่ม คำถามก็คือ เมื่อเป็นอย่างนี้ความลับเกี่ยวกับไทม์แมชชีนนั้นมาจากไหนกัน แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 46 15:18:25 จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลองมาพิจารณาดูอีกสักหนึ่งข้อขัดแย้ง เมื่อผู้ชายคนหนึ่งที่มีแม่คือตัวเขาเอง เรามาเริ่มต้นกันจาก ”เจน” เด็กทารกผู้หญิงผู้ถูกทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อเจนโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เธอได้ตกหลุมรักหนุ่มพเนจรคนหนึ่ง จนเธอตั้งท้องเขาก็ทิ้งเธอไป ซ้ำร้ายเมื่อหายนะมาเยือนจนเธอเกือบจะต้องตายในขณะคลอดลูกสาว เท่านั้นยังไม่พอทารกน้อยยังถูกมือลึกลับมาลักพาตัวจากไปเสียอีก เนื่องจากเจนเสียเลือดมากค่อนข้างวิกฤต บวกกับการค้นพบของแพทย์ในความประหลาดพิกลทางร่างกายของเธอซึ่งมีอวัยวะสืบพันธุ์ทั้ง 2 เพศ[2]  ดังนั้นเพื่อรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ หมอจึงจัดการเปลี่ยนจาก ”เจน” ให้กลายมาเป็น ”จิม” เมื่อเป็น “จิม” เธอ(หรือเขา)ก็ใช้ชีวิตที่เหลือด้วยการเป็นนักดื่มชั้นแนวหน้า จนกระทั่งวันหนึ่ง จิมได้รู้จักกับบาร์เทนเดอร์ผู้แสนดี(ซึ่งจริงๆแล้วก็คือนักเดินทางท่องเวลาปลอมตัวมา) บาร์เทนเดอร์ได้บอกวิธีย้อนกลับไปอดีตแก่จิม เมื่อย้อนไปอดีต จิมได้พบกับสาวแรกรุ่นและทำให้เธอตั้งครรภ์ เมื่อเด็กคลอดออกมา จิมลักพาตัวทารกน้อยโดยปราศจากความรู้สึกผิดใดๆ แล้วทิ้งเด็กน้อยนั้นไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากนั้นจิมได้เข้าร่วมกลุ่มกับผู้ร่วมเดินทางท่องเวลาและกลายมาเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง แต่เขาก็มีความฝันอย่างสุดท้ายที่เขาต้องการจะทำ นั่นคือ การปลอมตัวเป็นบาร์เทนเดอร์แล้วย้อนกลับอดีตเพื่อรอพบกับขี้เมาที่ชื่อจิม คำถามคือ แล้วใครกันล่ะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ลูกหลาน ของ “เจน” จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:45:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จากตัวอย่างข้อขัดแย้งมากมายทั้งหลาย จึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่แนวคิดเรื่องการเดินทางท่องเวลาจะถูกพิจารณาว่าเป็นไปไม่ได้ นิวตัน(Newton)มีความเชื่อว่าเวลาก็เหมือนกับลูกธนู เมื่อมันถูกยิง ลูกศรจะวิ่งตรงดิ่งออกจากคันตรงไป ไม่มีการเบี่ยงเบนไปไหนเลย เวลา 1 วินาทีของโลกเท่ากับ 1 วินาทีบนดาวอังคาร หรือนาฬิกาทุกเรือนที่วางกระจายไว้ตลอดทั้งจักรวาลเดินด้วยจังหวะเดียวกัน ภาพแนวความคิดเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อมาถึงยุคของไอน์สไตน์(Einstein) ตามแนวทฤษฎีของไอน์สไตน์นั้นเวลาเป็นเหมือนกับแม่น้ำซึ่งมีการไหลเอื่อยคดเคี้ยวไปในระหว่างดวงดาวและกาแลกซี่ มีช่วงที่ไหลเร็ว ไหลช้าเปลี่ยนแปลงไปเมื่อผ่านวัตถุที่มีมวลขนาดใหญ่ นั่นคือ 1 วินาทีบนโลกไม่เท่ากับ 1 วินาบนดาวอังคารอีกต่อไป และนาฬิกาที่กระจายตามจุดต่างๆทั่วทั้งเอกภพต่างก็เดินเป็นจังหวะของตนเอง แต่อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าไอน์สไตน์จะถึงแก่กรรม เขาก็พบกับปัญหายุ่งยากใจประการหนึ่ง นั่นคือ เมื่อเคิร์ท โกเดล(Kurt Goedel)เพื่อนบ้านผู้แสนดีที่พรินส์ตัน และยังบังเอิญเป็นนักคณิตศาสตร์ชั้นยอดในรอบ 500 ปีนี้ ได้ค้นพบคำตอบใหม่สำหรับสมการของไอน์สไตน์ซึ่งยินยอมให้มีการเดินทางข้ามเวลาได้ นั่นคือแม่น้ำแห่งกาลเวลา ณ บัดนี้สามารถมีน้ำวน ซึ่งเวลาสามารถห่อม้วนตัวเองเป็นวงกลม คำตอบนี้ค่อนข้างน่าทึ่งทีเดียว และนำไปสู่สมมติฐานว่าจักรวาลของเรานั้นเต็มไปด้วยของไหลที่ม้วนตัวอยู่ ดังนั้นใครก็ตามที่เดินตรงไปในทิศทางที่หมุนวนจะพบว่าตัวเขาได้มุ่งตรงไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง หากแต่จุดเริ่มต้นข้างหน้านั้นจะอยู่ในอดีตกาล จากบันทึกของไอน์สไตน์เองนั้น เขาเขียนไว้ว่า เขารู้สึกสะดุดเมื่อรู้ว่าสมการของเขามีคำตอบที่ยินยอมให้เดินทางท่องเวลาได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยังสรุปตามแนวความเชื่อของตนเองว่าจักรวาลนี้ไม่ได้มีการหมุน แต่มันขยายตัว(ตามแนวคิดในทฤษฎีบิกแบง) ดังนั้นผลเฉลยของโกเดลจึงสามารถละทิ้งได้ตาม”เหตุผลทางฟิสิกส์” (นั่นคือถ้าบิกแบงหมุน การเดินทางท่องเวลาจะเป็นไปได้ในทุกๆแห่งของจักรวาล) จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จากนั้นในปี ค.ศ.1963 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ชื่อว่า รอย เคอร์(Roy Kerr) ได้ค้นพบคำตอบจากสมการของไอน์สไตน์ สำหรับหลุมดำหมุน(rotating black hole) ซึ่งมีคุณสมบัติที่แปลกประหลาดอย่างมาก คือหลุมดำจะไม่ยุบสลายตัวลงเหลือจนเป็นจุด(ตามความคิดแบบเก่าที่เคยรู้กันมา) แต่จะเป็นวงแหวนที่หมุน(ของนิวตรอน) ซึ่งความเร็วในการหมุนวงแหวนนี้จะมากพอสำหรับทำให้แรงหนีศูนย์กลางหักล้างเพื่อต่อต้านการยุบตัวตามแรงโน้มถ่วง วงแหวนนี้จึงเปรียบเสมือนกับกระจกเงาของอลิซ(Looking Glass of Alice) ใครก็ตามที่เดินผ่านวงแหวนนี้จะไม่ตาย แต่สามารถทะลุผ่านไปยังส่วนอื่นของจักรวาล หลังจากการค้นพบนี้ การค้นพบรูหนอน(Wormhole)ก็ตามมาอีกนับร้อยตัวจากสมการของไอน์สไตน์เช่นกัน โดยที่รูหนอนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อมต่อเฉพาะพื้นที่ต่างๆในอวกาศเท่านั้น หากแต่ยังได้เชื่อมต่อเขตแดนระหว่างเวลาอีกด้วย ดังนั้นเมื่อว่ากันตามทฤษฎีแล้ว นี่แหละที่เราจะใช้สร้างเป็นไทม์แมชชีนได้ ทุกวันนี้ ความพยายามที่จะรวมเอาทฤษฎีควอนตัมเข้ากับแรงโน้มถ่วง(เพื่อสร้างทฤษฎี”สำหรับทุกสิ่ง” – “Theory of everything”)ได้ช่วยให้เราเข้าใจปัญหา Paradox ดียิ่งขึ้น ตามทฤษฎีควอนตัม วัตถุสามารถมีได้หลายสถานะ เช่น อิเล็กตรอนสามารถปรากฏได้ที่วงโคจรต่างกันในเวลาเดียวกัน หรือว่าจะเป็นแมวที่โด่งดังของชโรดิงเจอร์(Schrodinger’s famous cat)สามารถอยู่ได้ใน 2 สภาวะที่เป็นไปได้ คือ ตาย กับมีชีวิต นั่นหมายความว่า เราสามารถย้อนกลับไปในเวลาแล้วเปลี่ยนแปลงอดีตสร้างเป็นจักรวาลคู่ขนาน(parallel universe)ขึ้นมานั่นเอง เราอาจจะเปลี่ยนอดีตของคนอื่นได้โดยการช่วยชีวิตของอับบราฮัม ลินคอล์น(Abraham Lincoln)ไม่ให้ถูกลอบสังหารที่ฟอร์ดเธียเตอร์(Ford Theater) แต่อย่างไรก็ดีลินคอล์นที่เรารู้จักก็ยังคงตายอยู่เหมือนเดิม หมายความว่า ณ บัดนี้แม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ไหลแยกออกจากกันเป็น 2 สายเรียบร้อยแล้วนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นเราก็สามารถสร้างไทม์แมชชีนตามนิยายของเวลส์ หมุนหน้าปัดแล้วกระโดดไปในอนาคตได้เลยสิ คำตอบ ณ ปัจจุบันนี้ยังคงเป็น “ไม่” เรายังไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะว่ามีอุปสรรคขวางกั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:47:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปัญหาแรกซึ่งเป็นปัญหาหลักเลยก็คือ ในส่วนพลังงานหนึ่งล่ะ เช่นเดียวกับรถที่ต้องการน้ำมัน ไทม์แมชชีนก็ต้องการพลังงานเช่นกัน แถมยังเป็นพลังงานที่เป็นไปได้ยากเสียด้วย และอีกหนึ่งก็คือการควบคุมกำลังของดวงดาว หรือไม่เราก็ต้องหาสิ่งอื่นที่เรียกว่า “exotic matter”(วัตถุที่ซึ่งร่วงขึ้นข้างบนแทนที่จะตกลงสู่พื้นดิน) พูดง่ายๆก็คือหาแหล่งกำเนิดพลังงานลบมาใช้นั่นเอง (ครั้งหนึ่งนักฟิสิกส์เคยเชื่อว่าพลังงานลบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จากผลรวมเล็กๆของพลังงานลบนี่เองที่ถูกทดลองพบในปรากฏการณ์แคสิเมอร์ – Casimir effect – พลังงานถูกสร้างโดยแผ่นโลหะขนาน 2 แผ่น) และทั้งหมดเหล่านี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก และเป็นไปได้ยากมาก ยิ่งในปริมาณที่มากด้วยแล้ว - อย่างน้อยก็ในอีกหลายศตวรรษข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเสถียรภาพอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หลุมดำของเคอร์(Kerr Black hole)อาจจะไม่มีเสถียรภาพถ้าใครสักคนหนึ่งตกลงไป ทำนองเดียวกัน ปรากฏการณ์ควอนตัมอาจจะสร้างและทำลายรูหนอนก่อนที่เราจะเดินทางผ่านทะลุมัน และก็โชคไม่ดีเอาเสียด้วยสิ ที่คณิตศาสตร์ของเราในทุกวันนี้ยังไม่เจ๋งพอที่จะเข้าใจคำตอบของความเสถียรภาพ ดังนั้นสิ่งที่อาจจะเป็นคำได้ตอบได้ก็คือการรวมเอาทฤษฎีแรงแบบควอนตัมและแรงโน้มถ่วงเข้าด้วยกันเพื่อเป็นทฤษฎีของทุกสิ่ง ปัจจุบัน เรามีทฤษฎีซุปเปอร์สตริง(Superstring Theory)เป็นผู้นำในหมู่ทฤษฎีผู้ท้าชิงความเป็นทฤษฎีแห่งทุกสิ่ง(ถ้าพูดกันตามตรง ตอนนี้ก็มีซุปเปอร์สตริงเป็นผู้สมัครเพียงรายเดียว แถมมันยังไม่มีคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ) แต่ทฤษฎีซุปเปอร์สตริงนี้เองยังมีความวุ่นวายซับซ้อนให้การแก้สมการหาคำตอบให้สมบูรณ์ พูดให้ชัดก็คือทฤษฎีนี้วางนิยามไว้อย่างดี แต่ยังไม่มีใครบนโลกใบนี้เก่งกาจพอจะแก้สมการหาคำตอบได้ จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:47:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ครั้งหนึ่งสตีเฟน ฮอว์กิง(Stephen Hawking)เคยคัดค้านความคิดเกี่ยวกับการเดินทางท่องเวลา เขาถึงกับอ้างว่ามีหลักฐานยืนยันชัดเจน เขาบอกว่าถ้าการเดินทางท่องเวลามีจริง ดังนั้นเราก็น่าจะมีผู้เยี่ยมเยียนมาจากอนาคตแล้วสิ ก็เพราะว่าเราไม่เคยมีผู้เยี่ยมเยียนมาจากอนาคต ดังนั้นการเดินทางท่องเวลาจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อมาช่วงหลังจากนั้น อาจจะเป็นเพราะการคร่ำเคร่งในงานฟิสิกส์ทฤษฎีอย่างเอาเป็นเอาตายในระยะ 5 ปีหลัง หรือกว่านั้น สตีเฟ่น ฮอว์กิงก็เริ่มเปลี่ยนแนวคิดว่าการเดินทางท่องเวลานั้นมีโอกาสเป็นไปได้ตามทฤษฎี(โดยไม่จำเป็นต้องเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ) – (นอกจากนี้ อาจเป็นไปได้ว่าบางทีพวกเราคงไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไรนักสำหรับนักเดินทางในอนาคต ลองคิดดูสิว่าถ้าใครสักคนมีความสามารถขนาดควบคุมกำลังของดวงดาวได้ เขาเหล่านั้นจะมัวมาสนใจพวกล้าหลังเช่นเราหรือไม่ อาจจะวาดภาพเปรียบเทียบถึงเพื่อนที่เดินมาหาเราโดยต้องผ่านจอมปลวก เขาจะก้มลงไปให้สิ่งประดับเล็กน้อย หนังสือ ยา หรือกำลังงานกับพวกปลวกไหม หรือว่าเขาจะก้าวข้ามมันมาเลย) สุดท้ายก่อนจากกัน ถ้าหากวันหนึ่งวันใดมีใครสักคนมาเคาะประตูหน้าบ้านคุณ แล้วบอกว่าเป็นเหลนของเหลนของเหลนมาจากอนาคตแล้วละก็ อย่ารีบปิดประตูใส่หน้าเขาล่ะ เพราะว่าเขาอาจจะพูดจริงก็ได้. จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:48:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 [1] แปลจากเรื่อง The Physics of Time Travel โดย Dr. Michio Kaku [2] Hermaphroditism หรือภาวะกระเทย สำหรับคนที่เกิดมามีทั้ง 2 เพศ เนื่องจากเซลอวัยวะเพศใดเพศหนึ่งไม่เหี่ยวสลายตัวไปในช่วงพัฒนาการระยะตัวอ่อนตามที่ควรจะเป็น ชื่อนี้ได้มาจากชื่อของ Hermaphroditus ซึ่งร่วมร่างกับเทพธิดา Salmacis เป็นร่างเดียวที่มีอวัยวะเพศทั้ง 2 เพศตามเทพนิยายกรีก (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ แหะๆ) ประวัติผู้เขียน Dr. Michio Kaku นักฟิสิกส์ทฤษฎี, นักเขียน และศาสตราจารย์ ดร.ไมจิโอ คากุ เป็นศาสตราจารย์ในสาขาฟิสิกส์ทฤษฎี ได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตของตนเองว่าจะสานฝันของไอน์สไตน์ที่จะรวมแรงพื้นฐานทั้ง 4 ของจักรวาลเข้าด้วยกันเพื่อเป็นทฤษฎีสำหรับทุกสิ่ง ที่สามารถอธิบายได้ด้วยสมการเดียว ปัจจุบัน ดร.คากุ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเมืองแห่งนิวยอร์ค(City University of New York) นอกจากนี้ ดร.คากุยังเป็นศาสตราจารย์พิเศษให้กับสถาบันการศึกษาขั้นสูงที่พรินส์ตัน(Institute for Advanced Study at Princeton) และมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค(New York University (NYU))อีกด้วย ดร.คากุ มีงานด้านการเขียนหนังสือเกี่ยวกับฟิสิกส์ทฤษฎีที่โด่งดังหลายเล่ม เช่น Hyperspace: A Scientific Odyssey Through Parallel Universes, Time Warps and the Tenth Dimension และ Visions: How Science Will Revolutionize the 21st Century ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่มนี้ถูกแปลแล้วเป็นหลายภาษาทั่วโลก (เอ่อ รวมภาษาไทยด้วยรึป่าวเนี่ย) . . . . . . อ่านให้สนุกนะครับ ^_^ จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 10:50:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มาอ่านค่า..อิอิ เรียนสายศิลป์มาค่ะ..พื้นฐานฟิสิกส์เลยไม่มี เเต่ก็อ่านเข้าใจค่ะ จากคุณ : อชันฏา - [ 11 ก.ย. 46 11:06:05 A:202.28.75.226 X:unknown ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขยันจริงๆ :) คำบางคำแปลตรงตัวมาจากภาษาอังกฤษอย่างเดียวคงไม่พอค่ะ น่าจะอธิบาย (ในเชิงอรรถก็ได้) ว่าหมายถึงอะไร เช่น กระจกของอลิซ แมวของชโรดิงเจอร์ จากคุณ : scottie - [ 11 ก.ย. 46 13:53:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ดีจังครับ เข้าใจไม่หมดหรอกนะ อ่อนฟิสิกส์ง่ะ แหะๆ แต่ก็สนใจมากๆ ครับ ถ้ามีคำอธิบายเพิ่มเติมหยั่งคุณสก๊อตตี้ว่า ก็จะช่วยเด็กรู้น้อยหยั่งป๋มมากเลยกั๊บ จากคุณ : คุณพีท (PeterPuck) - [ 11 ก.ย. 46 14:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดีมากเลยคับ จากคุณ : ปอน - [ 11 ก.ย. 46 15:12:01 A:203.185.132.123 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณอชันฏา (ชื่อนี้เสียงอ่านเหมือนชื่อถ้ำในอินเดีย ที่ค้นพบหลักฐานการกลายเป็นมหายานของเถรวาทเลย) เรื่องนี้ผมว่า ศ.คากุ เขียนให้คนอ่านสนุกนะครับ เปิดจินตนาการ มีอีกหลายเรื่องครับ สนุกทุกเรื่อง คุณ scottie คือบางคำผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันหมายถึงอะไร แหะๆไม่ได้เก่งฟิสิกส์ครับ แต่เข้าใจว่า... Looking Glass of Alice เป็นชื่อหนังสืออีกเล่มหนึ่งในภาคที่เนื่องกันกับ อลิชในแดนมหัศจรรย์อะครับ (ผมไม่เคยอ่านทั้ง 2 เล่ม เคยแต่ดูหนัง แหะๆ) เค้าคงหมายถึงเป็นกระจกที่เดินทะลุแล้วไปโผล่อีกมิติหนึ่งทำนองนั้นครับ ส่วน...Schrodinger’s famous cat อันนี้ถ้าให้อธิบายจะยิ่งงงไปกันใหญ่ คือเมื่อดูตามบริบทแล้วก็พอเข้าใจได้ว่าหมายถึงการมีอยู่ในหลายสถานะของอนุภาค จะลองพยายามอธิบายดูนะครับ Schrodinger’s famous cat เป็นแบบอธิบายของ ชโรดิงเจอร์ในทฤษฎี superposition อะครับ ทฤษฎีนี้พูดให้เข้าใจง่ายๆคงพูดว่า ในขณะที่เรายังไม่รู้สถานะที่แน่นอนของอนุภาค (คำว่าสถานะ ก็นึกถึงชั้นพลังงานในอะตอมของอิเล็กตรอนก็ได้ครับ อิเล็กตรอนเรียงเป็นชั้นๆรอบๆนิวเคลียส คล้ายๆดาวนพเคราะห์เรียงตัวรอบพระอาทิตย์ - อันนี้วาดภาพให้คนที่ไม่รู้จักอะตอมเห็นหยาบๆนะ - สถานะก็คือชั้นแต่ละชั้นที่อิเล็กตรอนอยู่นั่นแหละครับ)ก็แปลว่า อนุภาคนั้นอยู่ทุกสถานะในเวลาเดียวกัน... อย่าคิดว่าเค้าตีขลุมเอานะครับ เอาเป็นว่ามันว่าไว้อย่างนี้แหละ ดังนั้นชโรดิงเจอร์ก็เลยเปรียบเทียบว่าถ้าเอาแมวใส่กล่อง แถมเอายาพิษใส่หลอดไว้ในกล่องกะแมวด้วย แล้วเอาไปโยนปั่นเล่น เราจะบอกไม่ได้ว่าแมวยังอยู่หรือตาย เพราะถ้าแมวไปทำหลอดยาพิษแตก มันก็ตาย ถ้ายังไม่แตกมันก็ยังอยู่ ตาม superposition เค้าถือว่ามันทั้ง อยู่ และ ตาย ครับ จนกระทั้งเราเปิดกล่องนั่นแหละมันจึงกลายเป็นวัตถุสถานะเดียว คือ แมวที่เป็น หรือแมวที่ตาย... (แหะๆ ผม เริ่มงงด้วยคนแล้ว) คุณพีท ถ้างงๆ ก็ลองถามได้นะครับ (เผื่อจะได้ช่วยๆกันงงด้วย ^___^) คุณปอน ขอบคุณครับสำหรับคำชม (ขอมอบคำขอบคุณต่อให้ ศ.คากุ ต่อละกัน) ปล. เรื่องนี้ผมแปลเล่นๆให้น้องอ่านครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 46 15:46:42 จากคุณ : ศล - [ 11 ก.ย. 46 15:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณค่ะ อ่านสนุกมาก ดูจากสภาพของโลกเราแล้ว มนุษยชาติคงอยู่ไม่ถึงวันนั้นละมั้ง (อีกหลายร้อยหลายพันปีข้างหน้า เวลาที่ theory of everything ถือกำเนิดมาและได้รับการขยายผลจนสามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้จริง)  เทคโนโลยีและความรู้ที่มนุษย์สะสมต่อยอดกันมา ถึงที่สุดก็อาจถูกทำลายล้างหมดด้วยลูกระเบิดนิวเคลียร์ไม่กี่ลูกและคนบ้าสงครามไม่กี่คน จากคุณ : happi - [ 11 ก.ย. 46 16:50:03 A:203.156.6.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 หนุกดีค่ะ ^^ เป็นไปได้มั้ยคะว่าเค้าไม่ย้อนอดีตมาหาเรา เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงอดีตแล้วจะมีผลต่ออนาคต ทำให้เค้าไม่สามารถย้อนมาหาเราได้ แต่เค้ามีแต่ไปอนาคตแทนกัน เราเลยอดรู้เลย :~( ต้องเกิดใหม่หลาย ๆ ชาติ (คนรุ่นใหม่เชื่อทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์) หนังสืออลิซเล่มสอง ชื่อว่า Through the Looking Glass ค่ะ สนุกและตลกมาก ๆ ^^ คุณศลลองหาอ่านดูสิคะ ถ้าหาไม่ได้จะส่งเป็น ebook ไปให้ดูก็ได้นะคะ ^^ จากคุณ : lulla - [ 11 ก.ย. 46 18:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 15 งืมม ความเป็นไปได้ ไม่มีที่สิ้นสุด จากคุณ : TSURUGI - [ 11 ก.ย. 46 20:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นงานชิ้นหนึ่งที่สะกดผมอ่านหลายรอบ และหลายรอบ ชอบครับ ผม(เคยสอน)ฟิสิกส์ และสนใจเรื่องแบบนี้ตลอดมา(เคยคุยกับเพื่อนจนถูกหาว่าบ้ามาแล้ว)  และตลอดไป และนี่ความบทความแปลที่เยี่ยมอีกชิ้นหนึ่ง และเรื่องแบบนี้ต้องคุย/ถก กันยาวเลย (Stephen Hawking) เป็นนักฟิสิกส์ ที่ผมชื่นชอบมากที่สุด จนทุกวันนี้ ^__^.......... จากคุณ : GTW - [ 11 ก.ย. 46 20:54:52 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอเซฟไปอ่านทีหลังละกันนะคะ  แต่เป็นเรื่องที่สนใจเหมือนกัน  ขอบคุณมากค่า จากคุณ : Motif - [ 11 ก.ย. 46 23:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ฮิฮิ ...อ่านแล้วมึนดีค่ะ.. แต่หนูยีอ่านก็เข้า่ใจนะ.. ว่าแต่..พาราด็อก คืออะไรอะคะ จากคุณ : หนูยี - [ 12 ก.ย. 46 01:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ happi ~ ขอบคุณครับที่อ่านสนุก ถ้าอ่านแล้วเครียดผมคงเศร้าแน่ๆเลย ผมเชื่อว่าศักยภาพของมนุษย์มีไม่จำกัดครับ และสิ่งที่มนุษย์ต้องค้นหา ค้นพบก็มีไม่จำกัดเหมือนกัน (แฮๆ) เราก็คงได้แต่รอดูกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า TOE นั้นมีจริงๆ และเราคงจะได้เห็นในเร็ววัน (อาจจะในชาติต่อๆไป อิอิ) คุณ lulla~ คำถามของคุณ lulla เหมือนๆนิยายของ Isaac Asimov เรื่อง The End of Eternity เลยครับ แต่ในเรื่องนี้เพื่อให้ Eternity เค้าต้องกลับมาเปลี่ยนมนุษย์ในอดีต ในอนาคต (หมายถึงพวกที่อยู่ใน อกาล นะครับ) เพื่อให้มนุษย์ไม่มุ่งหน้าไปสู่การทำลายล้างตัวเอง อย่างที่คุณ happi ว่าไว้ เรื่อง อลิซ ถ้าจะกรุณา ส่งมาให้ก็ชอบพระคุณอย่างสูงครับ :P คุณ TSURUGI~ ถ้ามันมีสิ้นสุด มันก็คงไม่ใช่ ความเป็นไปได้นะสิครับ (แหะๆ) ^____^ คุณ GTW~ ผมก็ชอบ Hawking ครับ ในฐานะคนที่เคยอยากเรียนฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ (แต่ก็ไม่ได้เรียนครับ ^ ^" ) ขอบคุณ อาจารย์ GTW มากครับ ที่อ่านหลายรอบ (ผมก็อ่านหลายรอบเหมือนกัน) แล้วจะเอาเรื่องของ ศ.คากุ มาฝากอีกครับ ผมว่าเค้าเขียนอ่านง่ายเหมาะกับคนที่ไม่ใช่นักฟิสิกส์ทฤษฎีดีครับ ^_____^ คุณ Motif~ อ่านจบแล้ว มีอะไรแนะนำติฃม ไม่ต้องเกรงใจนะครับ คุณหนูยี Paradox ก็คือ ความขัดแย้งอะครับ เช่น twin paradox หรือ แฝดประหลาด ปกติแฝดต้องมีอายุเท่ากันใช่มั้ยครับ นี่คือข้อยอมรับเบื้องต้นที่ทุกคนเห็นด้วย แต่ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกว่า ถ้าเราจับแยกแฝดคนหนึ่ง ขึ้นไปในยานอวกาศ (แหะๆ เว่อร์ดีนะ) แล้วเร่งไปเร็วๆเลย ไปเที่ยวสักพัก เพราะปรากฎการณ์ time dilation หรือ การยืดออกของเวลา ซึ่งกล่าวว่า ถ้าหากเราอยู่ในระบบที่มีความเร็วต่างกัน เวลาจะเดินไม่เท่ากัน พอเอาแฝดคนที่ไปเที่ยวกลับมา อายุเค้า กับคนที่อยู่บนโลกก็ต่างกัน สรุปว่า แฝด อายุ ต่างกัน นี่ไงครับ paradox มัน paradox เพราะ แฝดควรจะอายุเท่ากัน อ่านสนุกๆนะครับ ไม่ต้องคิดมาก ^__^ ชอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : ศล - [ 12 ก.ย. 46 14:53:57 A:203.148.252.234 X:210.203.179.111 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านแล้วออกแนวงงๆค่ะ... คือ... แบบ... เคยได้ยินมาว่า... การสร้าเสถียรภาพของตัวหนอนอะไรนี่มันยากมากๆๆๆเลยใช่ไหมคะ... ที่มันยากกว่าก็คือ อย่างที่คุณบอกว่าพอเราเข้าไปปุ๊บ...เสถียรภาพก็หายไป... ตามทฤษฏีแล้ว...ไอ้ประตูเวลาอะไรเนี่ย มันยัง 'อาจจะ' ใช้ได้อยู่ถ้าเราเกิดหล่นปุอยู่ตรงแกนมัน นั่นคือเราไม่ได้ไปทำลายแกนหมุนมัน...ประมาณนั้นหรือเปล่าคะ แต่ว่าเราจะไปโผล่ที่ไหน...ช่วงเวลาใด...อันนี้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม... แหะ...แหะ... บอกตามตรงว่าไอ้เรื่องที่ว่าหากเราเดินทางได้เร็วเหนือแสง..มิติของเวลาจะเปิดอะไรพวกเนี๊ยอ่ะค่ะ... ยังไงก็ไม่เข้าใจ... ^^' ถ้าอ่านแล้ว ยังเห็นว่าถามอะไรก็ยังไม่รู้เรื่องอีกก็ต้องขอโทษไว้ก่อนเลยค่ะ... เพราะเขียนเองยังงงเองเลยอ่ะค่ะ... @^____^@ จากคุณ : P_JUNG_PIGLET - [ 12 ก.ย. 46 17:12:14 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มาช่วยกันงงครับ งงแต่มันนะ  อิๆๆๆ จากคุณ : คุณพีท (PeterPuck) - [ 12 ก.ย. 46 17:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ P_JUNG_PIGLET บางทีผู้สังเกตการณ์ในระดับมหภาค อาจจะมีผลต่อการเกิดขึ้นของเหตุการณ์อย่างที่เป็นในระดับจุลภาคก็ได้นะครับ ฉะนั้นฟิสิกส์ทฤษฎีจึงวาดภาพมัวๆให้เราเห็นกันงงๆเล่นในตอนนี้ถึงปริศนาของเอกภพ ^____^ คุณพีท ... ถ้าไม่งงก็อาจจะไม่มัน แหะๆ ^____^ จากคุณ : ศล - [ 14 ก.ย. 46 15:48:53 A:203.150.210.67 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมก็ไม่ค่อยเก่งฟิสิกส์ ข้อสอบที่ผ่านมาทิ้งดิ่ง 3 อ่าครับ แต่อ่านแล้วเข้าใจดีนะ สนุกดีครับ จากคุณ : Mint@da{-"-} - [ 14 ก.ย. 46 16:20:56 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ Mint@da{-"-} อย่ามองว่ามันเรียกว่าฟิสิกส์ มันอาจจะสนุกขึ้นกับการเรียนก็ได้นะครับ ^_______^ จากคุณ : ศล - [ 16 ก.ย. 46 15:01:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ในฐานะที่เป็นคนเรียนฟิสิกส์คนนึง ขอแสดงความประทับใจว่า ผู้เขียนมีความลึกซึ้งในฟิสิกส์อย่างอย่างแท้จริง และยังถ่ายทอดได้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่เขาถ่ายทอดมาทั้งสิ้น เป็นส่วนของ paradigm ที่นักฟิสิกส์ปัจจุบันยอมรับ โดยไม่ได้สอดแทรกความคิดเห็นของตัวเองลงไปแต่อย่างใด ขณะที่อ่าน ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครกันหนอ ที่เป็นคนเขียนบทความนี้ ต่างกับผู้เขียนคนอื่นๆ ที่ผมเคยอ่านมาโดยสิ้นเชิง (รวมทั้ง Hawking ด้วยครับ) ได้แต่นึกในใจว่า ถ้าเด็กๆ ได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ จะต้องเกิดแรงบันดาลใจ ให้อยากเรียนสาขาวิชาฟิสิกส์อย่างแน่นอน เมื่อผมอ่านมาถึงชื่อผู้แต่ง ผมก็ยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เพราะ Dr. Michio Kaku กับหนังสือ HyperSpace ของเขานั้นเอง เป็นสาเหตุให้ผมเลือกเรียนสาขาฟิสิกส์ครับ!! จากคุณ : Relativistic AphiVIS - [ 22 ก.ย. 46 13:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อยากยืม Hyperspace จากคุณ Relativistic AphiVIS อ่านจัง ^___^ . . . . . . . เอารูปผู้เขียนมาแปะไว้ครับ จากคุณ : ศล - [ 22 ก.ย. 46 14:55:41 ]

ความคิดเห็นที่ 27 Schrodinger's Cat เรื่องนี้ใช้เป็นตัวอย่างในการอธิบายพฤติกรรมของอนุภาคเล็กๆ โดยเอามาเปรียบเทียบสมมุติเป็นวัตถุใหญ่ๆที่เรามองเห็นได้ครับ เรียกว่าเป็น though experiment ที่ Erwin Schrodinger คิดขึ้นมาเนื่องจากทฤษฏี Quantum ในวัตถุปกติ เราบอกสถานะ (เช่น ตำแหน่ง/ความเร็ว) ได้เป็นค่าแน่นอนค่าหนึ่ง แต่อนุภาคระดับควอนตัม เราบอกได้แต่เพียง ความน่าจะเป็น ของค่าเหล่านั้น การไปตรวจวัด ก็เหมือนกับการไปรบกวนอนุภาค ให้มีค่าแน่นอนขึ้นมา เหมือนการทอยเหรียญอันนึง ก่อนเหรียญตกถึงพื้น มันไม่เป็นทั้งหัวหรือก้อย บอกได้แต่ความน่าจะเป็น เขาเปรียบกับการเอาแมวใส่กล่อง แล้วโยนหลอดยาพิษเข้าไป ซึ่งมีโอกาสที่เป็นไปได้คือ หลอดยาพิษอาจจะแตก และแมวก็ตาย หรือหลอดยาพิษไม่แตก แมวยังมีชีวิต ถ้าแมวตัวนี้เป็นอนุภาคเล็กๆ มันจะอยู่ในสถานะผสมกันระหว่าง เป็น/ตาย การตรวจวัดใดๆ หรือการเปิดกล่องดู คือการไปรบกวนระบบ ให้มีสถานะที่แน่นอนออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง Worm Hole หรือ "รูหนอน" เป็นส่วนที่เชื่อมกันระหว่าง อวกาศ-เวลา (space-time) สองจุด นึกถึงเรื่อง doraemon นะครับ worm hole ก็คือโพรง time-machine ในลิ้นชักของโนบิตะนั่นเอง ถ้าเปรียบ space-time เป็นแผ่นยางยืด ที่มีดาวต่างๆ วางอยู่ ตรงที่มีดาวหนักๆ space-time ก็จะโค้งลงไปเยอะ จึงคิดกันว่า ตรงที่มีดาวความหนาแน่นสูงอย่าง black hole อวกาศอาจโค้งจนไปต่อกันเป็น worm hole ได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าลงไปใน black hole มันจะออกไปโผล่ที่อื่นแน่ๆนะครับ) Black Hole มันก็คือดาวที่มีมวล และแรงโน้มถ่วงมากๆ อะไรที่ผ่านเข้าไป ก็จะถูกดึงเข้าไปรวมในนั้น หนีออกมาไม่ได้นั่นเอง แต่เรื่อง worm hole ยังเป็นแค่ ทฤษฎีผสมจินตนาการครับ ยังไม่พบรูหนอนใหญ่ๆ ในอวกาศจริง นักฟิสิกส์บางคนก็พยายามหาเงื่อนไขที่มันจะเกิดได้ ซึ่งผมไม่ทราบว่าเขาไปถึงไหนแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 46 15:45:23 จากคุณ : Relativistic AphiVIS - [ 22 ก.ย. 46 15:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนนี้ก็กำลังอ่านหนังสือ A Brief History of Time (ประวัติย่อของการเวลา) อยู่เหมือนกันครับ อ่านได้นิดเดียวอยู่เลย แต่ก็ลองนึกเล่นๆ ถึงความเป็นไปได้ของการเดินทางข้ามเวลา นึกไปนึกมารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นไปได้ยากน่ะครับ เพราะมานึกถึงการที่ร่างเราเราจะแปรรูปเป็นสสารหรือพลังงานเพื่อที่จะไปโผล่น่ะอีกจุดหนึ่งของเวลา แล้วกลับมาเป็นร่างเดิมของเรานี้มันจะเป็นไปได้ยังไง เพราะว่ามันคงไม่มีส่วนไหนที่จะมาระบุว่าหน้าตาเราเป็นยังไง ขนาดเท่าไร อะไรประมาณเนี่ยครับ แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกันครับ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอครับ ตอนนี้เราก็ต้องคอยดูนักวิทยศาสตร์ของโลกไปเรื่อยๆ ครับ ซักวันต้องมีทฤษฎีที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงแน่ๆ ครับ เอาใจช่วย จากคุณ : Nk - [ 22 ก.ย. 46 16:20:22 A:203.185.132.124 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 The End of Eternity ของ อาซิมอฟ ให้คำตอบเชิง หลักการและปรัชญาสำหรับคำถามของเจ้าของกระทู้ไว้ แล้วครับ จากคุณ : เก่ง - [ 22 ก.ย. 46 22:37:31 A:203.209.21.87 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ Relativistic AphiVIS ~ ขอบคุณมากครับสำหรับการอธิบายศัพท์บางคำสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อ จุดประสงค์ของการแปลเรื่องนี้คือผมแปลให้เด็กๆอ่านเพื่อให้เกิดความฉงนสงสัยและใคร่รู้ครับ ^_^ คุณ Nk~ อ่าน A Brief History of Time จบแล้วลองหา The Universe In A Nutshell มาอ่านต่อดูนะครับ ผมเห็นหนังสือแปลเป็นภาษาไทยแล้วโดยอาจารย์ชัยวัฒน์ ของ Hawking เช่นกัน จริงๆในบทความนี้ Dr.Kaku ไม่ได้พูดถึงในแง่ว่าเราจะต้องเดินทางท่องเวลา หมายถึงเราจะต้องดิ้นรนเพื่อเดินทางท่องเวลาอย่างเดียวนะครับ แต่ได้พูดแบบอ้อมๆในฐานะของธรรมชาติของเวลาเองว่ามีการบิดตัวโค้งงอ หมายความว่า ณ บางจุดของอวกาศ แม้เราจะไม่ปรารถนา แต่เมื่อพิจารณาเคลื่อนที่ไปตามเวลา(เชิงจิตวิทยา)ปกติแล้วเราก็อาจจะมุ่งหน้าไปสู่"อดีต"ได้ ^___^ คุณเก่ง ~ อย่าเรียกว่าคำถามของผมเลยนะครับ เพราะผมยังไม่มีคำถาม มีแค่ความสงสัยและสนใจ แต่เมื่อพูดถึง The End of Eternity แล้ว (ผมอ่านนานแล้วเท่าที่ทำได้ตอนนี้คือเค้นมันออกมาจากความทรงจำ ถ้าจำผิดก็ขออภัยนะครับ) เรื่องนี้ Asimov เองได้สร้างแดนขึ้นมาแดนหนึ่งถือเป็น อกาล คือ ภาวะนิรันดร์ และกลุ่มมนุษย์ในภาวะนิรันดร์นี้แหละที่จะไปตกแต่ง ความเป็นไปของประวัติศาสตร์ (อาซิมอฟ อาจจะชอบใจทฤษฎีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับผลรวมเส้นทางประวัติศาสตร์ของไฟน์แมนก็ได้นะ :P) เพื่อให้มนุษย์โลกไม่เดินทางไปสู่ภาวะทำลายตัวเอง โดยตัวของนิยายเองมันก็มีคำถามมาตั้งเล่นๆว่า แล้วเจ้าภาวะนิรันดร์ หรือแดนที่เป็นอกาลนั้นมันมีอยู่ไหม คือมีตั้งอยู่บน space จริงๆไหม (แน่นอนว่าคำตอบของ Asimov คือ "มี" แต่เจ้าตัวเองก็ยังยอมรับเรื่องเวลาทางสริรวิทยา คือ คนในอกาลแก่กันได้) แต่พอย้อนมองถึงภาวะกำเนิดของจักรวาล(ถ้าเรายอมรับว่ามันบิกแบง) ก็ต้องยอมรับต่อไปว่า เจ้าสิ่งที่เรียกว่า "กาล" มันก็ระเบิดออกมาพร้อมๆกับ "อวกาศ" นั่นด้วย และถ้ายิ่งเป็นนักคิดพวก Anthropic นะครับ อาจจะพูดเลยว่า จักรวาลจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่สร้างความสมดุลสำหรับภาวะที่จะถูกรับรู้ต่อไป (ก็เข้าทางพวก Idealism) ฉะนั้นการมีอยู่ของ มนุษย์ในกลุ่มอกาลเองของ Asimov ก็เป็นปริศนาในตัวของมันเองแล้วครับ ต่อมาเขายังวาดภาพแถบชั้นของประวัติศาสตร์คล้ายๆกับแถบพลังงานของอิเล็กตรอน (มีแถบ Allow แถบ Forbid) เพื่อให้นางเอกของเรื่องมาจากแถบต้องห้ามของกาลเวลา สุดท้ายโยงเข้าข้อสรุปของลัทธิ Indeterminism ว่าเอาเถอะ มนุษย์เรามี Free will ก็เลยโยงไปเรื่องยาวในชุดFoundation ทั้ง 7 เล่มของเขาได้ เอ่อ... พูดไปพูดมาผมหลงประเด็นแล้วละครับแฮๆ เน้นอีกทีว่าเรื่องที่แปลให้อ่านกันนี้ให้อ่านกันสนุกๆนะ ^____^ จากคุณ : ศล - [ 23 ก.ย. 46 08:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมก็พวกบ้า การข้ามเวลาเหมือนกัน หนังโปรดก็ backtothefuture แหละครับ มีนิยายที่ผมแต่งเกี่ยวกะการข้ามเวลาด้วยชื่อtimetripper อยู่ในห้องนี้แหละ จากคุณ : nmanz - [ 25 ก.ย. 46 14:48:02 A:158.108.2.2 X:158.108.12.23 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมว่าถ้าโลกวิทยาศาสตร์  สามารถสร้างแหล่งพลังงานมากกว่า 100 Mev จากทฤษฎีควอนตั้ม ที่มีในปัจจุบันนั้นกับพลังงานระดับแค่นี้ทำให้เราได้รู้จัก สิ่งที่เล็กลงไปกว่าอะตอม,อนุภาคโปรตรอน อิเลคตรอน จนถึงเล็กสุดขณะนี้คือ ควาร์ก  จากการรวมกันระหว่างทฤษฎีที่ว่าด้วยเสกลของคู่ต่าง คือใหญ่สุดระดับจักรวาล"สัมพัทธภาพทั่วไป" ,โน้มถ่วง,และว่าด้วยเล็กสุดคือ"ควอนตั้ม" ยังทำให้เราสืบค้นเข้าไปหาความลับของธรรมชาติหรือจักรวาล และจินตนาการในทางทฤษฎี ได้ไปไกล และสมบูรณ์กว่าสัมพัทธภาพทั่วไปพุดไว้ได้ขนาดนี้ ภายใต้ข้อจำกัดนี้ของโลกวิทยาศาสตร์ที่มีตอนนี้ แต่ถ้าเราสืบค้นเข้าไปโดยการที่เราสามารถสร้างแหล่งพลังที่มากกว่า 100Mev ที่ทฤษฎีควอนตั้มทำได้ตอนนี้จนเราพบสิ่งที่เล็กกว่าควาร์ก ซึ่งอาจจะเป็นอันเดียวกันกับสิ่งที่จะแสดงออกมาในด้านปรากฎการณ์ทางจิตหรือวิญญาน ที่โลกวิทยาศาตร์ยังหาคำอธิบายไม่ได้  แต่มีรายงานว่า จิตมาการตรวจสอบและพิสูจน์แล้วจากนักวิทยาสาสตร์รัสเซีย ว่ามีความเป็นพลังงานอรูป ชนิดหนึ่ง และปรากฎการทางจิตนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายๆควอนตั้มแต่อาจจะมีสภาวะแบบอนุภาคหน่วยที่เล็กลงไปอีก  และจิตนั้นยังพิเศษกว่าอนุภาคนั้นคือมีระดับการรับรู้ในแบบมนุษย์ จากข้อจำกัดหลายอย่างในเสกลระดับจักรวาล และความเร็วระดับแสง(วัตถุจะมีขนาดเป็น0) จึงมีข้อจำกัดว่ามันเป็นไปได้แค่ในทางทฤษฎี เท่านั้นสำหรับยานสำรวจจักรวาล  หรือไม่ว่าจะรวมหลายๆทฤษฎี ที่จะทำให้เกิดแหล่งพลังงานหลักๆสี่อย่าง คือ นิวเคลียร์แบบเข้ม ,อ่อน,แรงโน้มถ่วง,แม่เหล็กไฟฟ้า  มาอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆหรือจุดกำเหนิดจักรวาล  นั้นก็ยังไม่อาจจะเป็นทฤษฎีที่สมบูรณ์ได้ ยังมีข้อขัดแย้งในหลายอย่าง  เพราะมันเป็นแค่ในทฤษฎี แต่ผมเห็นว่าสิ่งที่น่าจะเป็นการเปิดมิติใหม่ของโลกวิทยาศาสตร์หรือเป็นก้าวต่อไป ได้นั้นผมเห็นว่าน่าจะเป็น ปรากฎการณ์ของพลังงานทาง"จิต"(ถ้าการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเป็นจริง)  เพราะแม้แต่พลังงานรุปแบบอื่นๆ เเช่นแรงโน้มถ่วงนั้น  ในเสกลระดับเล็กๆนั้นมันแทบจะตรวจจับ,วัดค่าไม่ได้เลย ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันน่าจะมีคุณสมบัติแบบคู่ต่าง (โน้มถ่วงนั้นต้องเสกลระดับจักรวาลหรือสะสารที่มีมวลมากๆ) ซึ่งต่างจากควอนตั้ม นิวตรอนตัวป่วนในเสกลระดับอนุภาคเล็กๆ เท่านั้น  แต่ให้พลังงานระดับ ฟิชชั่นนิวเคลียร์ได้  ผมว่าปรากฎการทางจิต ก็น่าจะคล้ายๆกัน ดังนั้นการที่จะให้ปรากฏการณ์ทางจิตมีผลทางพลังงานให้มากขึ้น ก็ต้องตรงข้ามกับแรงนโน้มถ่วงคือต้องสืบค้นลงไประดับเล็กสุดคือระดับจิต(วิญญาน)หรือบางทีคุณสมบัติบางอย่างทางจิตอาจจะมี พลวัฒน์มากกว่าเจ้านิวตรอนตัวป่วนในการให้พลังงาน  จนแทนค่าในสมการ   e  =  mc^2 ได้แหล่งพลังงานที่สูงกว่า 100 Mev ตอนนี้ ที่โลกวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันทำได้ เพื่อลดข้อจำกัดหลายๆอย่างในทางทฤษฏีและที่สำคัญ ข้อจำกัดเรื่องความเร็ว แสง  หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายลงก็คือระดับจิตเท่านั้นที่จะสามารถ ทำการทดลองภาคปฏิบัติ ต่อการสำรวจอวกาศในเสกลระดับจักรวาลให้เป็นจริงได้ ไม่ใช่แค่ทฤษฎีอีกต่อไป รวมทั้งข้อพิสูจน์เรื่องกาลเวลา  ด้วยการรวมแหล่งพลังงานที่ห้า เข้าไป จากเดิมแค่สี่อันนั้นในทางทฤษฎีก้จะสร้างแหล่งพลังงานใด้ หลาย ล้านๆๆๆMev แล้วถ้ารวมพลังงานจิตที่ห้าเข้าไปหล่ะท  ผมขอตั้งข้อสังเกตส่วนตัวไว้แค่นี้แล้วกัน? จากคุณ : อะตอม - [ 25 ก.ย. 46 15:01:14 A:203.107.205.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33  หรือถ้าจะพูดหรือ หาคำตอบในทางปรัชญา หรือเมตาฟิสิกส์ ผมก้จะตอบกระทู้นี้ง่ายๆว่า   เวลาก็คือ  0 อยู่ที่ตัวแปรก็คือขนาดของรัศมีเส้นรอบกรรม(วง) ถ้าเล็กลงไปมากๆ ก็คือระดับจิตระดับอนุภาค ควาร์ก, โปรตอน,นิวตรอนฯลฯ จนถึงเสกลระดับโลก กาแล็กซี่ หรือแม้แต่จักรวาล แต่ทุกอย่างนั้นก็ยังต้องหมุนไปตามวัฏจักรของ แรงกระทำ(กรรม) ไม่ว่าจะกรรมชั่ว(วิวัฒนาการทำลายล้างทางลบ)ระดับหลุมดำ   หรือว่าจะสร้างสรรค์ด้วยวิวัฒนาการทางบวก จนมีสิ่งมีชีวิตได้แบบโลกของเรา ก็แตกต่างกันไปตามรัศมีเส้นรอบกรรม แต่ทุกอย่างก็ยังหมุนตามกรรมของการเกิดขึ้นดับไป(หลักอนัตตา)ของวงกลมวัฎจักรสงสารอันเดียวกันไม่ว่าจะขนาดเล็กสุดเท่าควาร์ก หรือโตสุดระดับจักรวาล หรือไม่ว่าจะหมุนทวนเข็ม(กลับไปสู่อดีต) หรือตามเข็ม(ไปอนาคต) หรือบางทีวงกลมบิดเบี้ยวไปตามแรงกระทำที่เบี้ยวบิดมากๆ รูปทรงกลมอาจจะโค้งรีจนแทบติดกันระหว่างทวนเข็มกับตามเข็ม หรือโค้งตามกฎแรงโน้มถ่วง(โน้มคอมาตีเข่าของกรรม) จนเราสามารถลากเส้นตัดผ่านมิติเวลาของกรรมที่อยู่คนละมิติกันมาเจอกัน  ด้วยพลังน้ำเต้า(รูหนอน)ของกรรม ก็คือคำตอบของกระทู้นี้  การเกิดขึ้นดับไปๆๆๆๆๆๆก็อาจจะอันเดียวกับการยุบตัวในรอบหมุนกลับของจักรวาล กลับเข้าสู่ภาวะไกล้ ชิงคิวริตี้(ภาวะการอัดแน่นของมวลสารจนกฎต่างทางวิทยาศาสตร์ นั้นหายไปรวมทั้งเวลา ก้จะคล้าย การหมุนของวงกลมวัฏจักรสงสาร มาที่ครบรอบ360 องศา ที่พัน ถ้าสมมุติลากเสันตัดผ่านวงกลมตรงนั้นเป็น 0องศา  หรือเอา360 องศาของกรรมมาคูณ กับ0 ก็คือสภาวะหลุดมาจากกรรม แต่ถ้าจะหมุนต่อรอบที่ 1001 ก็x1x2x3x4xอินฟินิตี้ลงไปสิ นี่คือคำตอบของกาลเวลา??? จากคุณ : อะตอม - [ 25 ก.ย. 46 15:35:11 A:203.107.205.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 อ้อ  เวลาก็คือ  0 จะอ่านว่า เวลาคือ ศูนย์ หรือจุด หรืออะตอม หรืออนุภาค หรือกาแล็กซี่หรือเอกภพ อันนี้ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่ครับบบบบบ(แบบพี่ปัญญา)ของความต่างในแต่ละอัตตาหรือรัศมีเส้นรอบกรรม??? จากคุณ : อะตอม - [ 25 ก.ย. 46 15:47:08 A:203.107.205.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 - ถึงคุณ อะตอม และอีกหลายๆคนนะครับ คำว่า "ไปได้แค่ในทางทฤษฎี" และ "เป็นแค่ทฤษฎี" ควรใช้อย่างระวังนะครับ แยกแยะให้ดีระหว่าง ทฤษฎี กับจินตนาการ นะครับ - เครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Colider สามารถชนอนุภาค proton ที่ 14 Tev (1 TeV = 1พันล้าน eV = 1000 MeV) จะเปิดใช้งานในปี 2007 นี้แล้วครับ เครื่องเร่งอนุภาค นั้น ให้พลังงานแก่อนุภาคเล็กๆ ด้วยสนามแม่เหล็ก จนมีพลังงานสูงๆ ไม่ได้ใช้วิธีการเปลี่ยนสสารเป็นพลังงานนะครับ อีกอย่างคือ เครื่องเร่งอนุภาคไม่ใช่ "แหล่งพลังงาน" นะครับ อย่าเข้าใจผิดว่ามันเป็นเครื่องกำเนิดพลังงาน จากคุณ : Relativistic AphiVIS - [ 25 ก.ย. 46 16:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ nmanz ~ ผมก็ชอบ Back to the future ครับ สนุกดี ^_^ คุณ อะตอม และ Relativistic AphiVIS ~ ขอบคุณคุณอะตอมสำหรับข้อคิดเห็นนะครับ แต่ผมก็เห็นด้วยอย่างที่ Relativistic AphiVIS ว่าไว้คือ เราต้อง "แยก" ให้ออกระหว่าง ฟิสิกส์ทฤษฎี กับ จินตนาการ (เรื่องที่แปลนี้จัดเป็นการนำเอาฟิสิกส์ทฤษฎีมาเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆของอาจารย์คากุ) สำหรับเรื่องเครื่องเร่งอนุภาค LHC Machine ลองอ่านเพิ่มเติมที่ http://lhc-new-homepage.web.cern.ch/lhc-new-homepage/ เอาเองละกันนะครับ แต่เอ Tera นี่มัน 10 ยกกำลัง 12 มะช่ายหรือ (แหะๆ ความจำหายอีกแล้วเรา) ฉะนั้นมันต้องเป็น 1ล้านล้าน สิ :P (จริงๆเราไม่น่าจะถก Metaphysics กับ Theoritical Physics กันในห้องนี้เท่าไร เดี๋ยวมันผิด concept ถนนนักเขียน-นักแปล หมด... แต่เอาสักหน่อยละกัน) คือจากที่คุณ Relativistic AphiVIS ยก LHC มาแจ้งให้คุณอะตอมรู้นั้น เสริมสักนิดว่าเจ้า LHC นี่แหละ (สร้างที่ CERN มั้งครับ - โอ้ยความจำผมแย่) ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะสร้าง "หลุมดำ" ขนาดจิ๋วได้ ลองดูรายละเอียดเล่นๆใน http://www.student.lu.se/~fys00npi/bh (เนื้อหาเก่าไปนิดนะครับ แต่ก็ถือว่าใหม่อยู่สำหรับบ้านเมืองเรา มั้ง) ในความเห็นที่ 32-34 ของคุณอะตอมสารภาพตรงๆว่าอ่านแล้วงง (ตั้งใจเขียนให้อ่านแล้วงงป่าวเนี่ย) จากคุณ : ศล - [ 26 ก.ย. 46 09:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณคุณRelativistic AphiVIS  ครับ ที่กรุณาทักท้วงมา  เพราะผมเป็นคนที่คิดอะไรเขียนอะไร?ไม่ค่อยจะอ่านฉลากยา หรือกางตำราตอบ หรือแกะมาม่าไวไวควิกใส่ซอง  เพราะบางทีการขุดเผือกขุดมันของผม (คิดด้วยปฎิกิริยาตอบสนองกับความน่าสนใจน่าคุยของเนื้อหาสาระตรงนั้นตอนนั้นเลย) มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะถูกต้องอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ  ผมอาจจะมักง่ายนิสัยเสียเกินไปในการให้รายละเอียดตรงนี้(เพราะเวทีแบบนี้ที่ไม่ใช่ห้องรายงานการวิจัยเพื่อผลิตนวัตกรรมชิ้นสำคัญด้วยทุนวิจัยหลายพันล้านบาท)  หรือต้องตรวจทานความถูกต้องตามหลักวิชาการแบบนั้น ผมพูดเอาสนุกสาระบ้างตามเวทีที่ไม่ได้คาดหวังอะไร? ส่วนคำว่าแหล่งพลังงานกับ  การเร่งอนุภาคนั้น  ผมต้องน้อมรับไว้ว่าผมพูดไว้กำกวมไม่ชัดเจนจริง ก็ตามเหตุผลที่ผมชี้แจงไปและคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายสิ่งที่ซับซ้อนนั้นเป็นคำพูดสั้นๆ เพื่อจุดประสงค์แค่คุยกันสนุกๆในเน็ต  และต้องขอบคุณ ๆ ศล ที่ช่วยทำลิ้งค์แหล่งข้อมูล ที่เป็นฉลากยาบอกขั้นตอนรายละเอียดที่ถูกต้องไว้สำหรับคนที่ต้องการเจาะลึกลงไปมากกว่านั้น และกันการสับสนจากความไม่ชัดเจนของผม ส่วนข้อความที่ 32-34 นั้นลองอ่านดีๆอีกทีแล้วกัน  ถ้ายังไม่เข้าใจ บางทีผมอาจจะสังเคราะห์ฉบับสมบูรณ์(สำหรับคุณ) มาบอกใหม่เผื่อว่ามันจะทำให้คุณเข้าใจใด้ง่ายกว่านี้ จากคุณ : อะตอม - [ 26 ก.ย. 46 13:19:18 A:202.5.92.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 อ้ออีกนิดครับคุณRelativistic AphiVIS กับคำทักท้วงนี้ ""เครื่องเร่งอนุภาค นั้น ให้พลังงานแก่อนุภาคเล็กๆ ด้วยสนามแม่เหล็ก จนมีพลังงานสูงๆ ไม่ได้ใช้วิธีการเปลี่ยนสสารเป็นพลังงานนะครับ"   ของคุณผมไม่ได้เข้าใจหรือหมายความแบบนั้นแต่ยอมรับว่าผมพูดกำกวมไม่ชัดเจน ขาดการเรียบเรียงเป็นคำพูดที่ถูกต้อง  แต่ยังงัยก็ต้องขอบคุณครับ   จากคุณ : อะตอม - [ 26 ก.ย. 46 13:39:19 A:202.5.92.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 สุดยอดเลยเนี่ย เรียน pure physics กันรึป่าวครับ อยากรู้ เพราะผมว่าผมเรียนพื้นฐานมาพอควรแล้วนะ ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย คิดว่าระดับพวกพี่นี่น่าจะเป็นอาจารย์หรือไม่ก็เรียนสาขานี้โดยตรงแล้ว สำนวนเปรียบเทียบได้ดีครับ แต่ผมว่านะเวลาเรียนไม่ได้สนุกอย่างนี้เลยอ่ะครับ แง้ สมการย่งเป็นยุงตีกันไปหมด โดยเฉพาะ  ชโรดิงเจอร์  มึนไปพักใหญ่เลย กว่าจะเข้าใจ เอ่อ พี่ทำรวม link ไว้ได้ป่าว ผมอ่านนานๆ แล้วงงอ่ะ จริงๆนะ ประมาณว่าของ ศ.kaku stephen hawking ไรเนี่ย จะให้ค้นเรื่องไรมาเพื่อจะเปิดอ่านให้สัมพันธ์กันฮะ ขอบคุณไว้ตรงนี้ครับ ปล.'จารผมบอกว่าเรายังเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ให้มีความเร็วเหนือแสงไม่ได้ ฉะนั้นเราเลยข้ามกาลเวลาไม่ได้ครับ อันนี้ถูกป่าวครับ แล้วอีกอย่างการที่เราจะทำให้เครื่องไทม์แมชชีน(ไอ้ที่เป็นใบพัดนั่นน่ะ)พัดด้วยความเร็วสูงจนตัดอากาศมันจะทำให้เกิดภาวะอะไรครับ หลุมอากาศที่แปรเปลี่ยนมาเป็นหลุมกาลเวลาเหรอฮะ งงแล้วอีกเนี่ย สุดท้ายพี่ดูเรื่องการวิวัฒนาการที่เรื่องมันบอกป่าว "8 แสนปีแห่งวิวัฒนาการ" น่ะครับ ผมติดใจคำพูดนี้มากเลยล่ะ งงด้วยความจริงน่ะ ผมว่าถ้าเป็นอย่างที่ มอล็อคพูดนะ มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลับมาอธิบายกะเราแล้ว เพราะคิดว่าทุกอย่างมันสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว คำพูดสุดท้ายที่จะพูดคือ [b]กฎแห่งจักวาล[/b] จากคุณ : B2S - [ 26 ก.ย. 46 18:12:16 A:202.28.169.165 X:unknown ]

ความคิดเห็นที่ 40 ครับ 1 TeV = 1 ล้านล้าน eV อย่างที่คุณ ศล บอก ปล่อยไก่ไปตัวนึง ขอโทษทีครับ ตอบคุณ B2S >>เรายังเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ให้มีความเร็วเหนือแสงไม่ได้ - ที่จริงแล้ว อนุภาคใหญ่หรือเล็กแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถเร่งให้เร็วกว่าความเร็วแสงได้เลยครับ >>ฉะนั้นเราเลยข้ามกาลเวลาไม่ได้ ถึงทำความเร็วมากกว่าแสงได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าวัตถุนั้นจะเดินทางไปในอดีตได้ครับ >>เครื่องไทม์แมชชีน(ไอ้ที่เป็นใบพัดนั่นน่ะ) ????? จากคุณ : Relativistic AphiVIS - [ 27 ก.ย. 46 00:49:04 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณอะตอม ความเห็นที่ 37 ถ้าว่างๆก็ลองสังเคราะห์อย่างว่ามาให้ผมอ่านละกันครับ (แล้วผมจะหาเวลาว่างอ่านเอา)... ขอบคุณล่วงหน้านะครับ คุณ B2S หลังจากเรียน ม.ปลายแล้วไม่มีวิชาเรียนไหนของผมเป็นฟิสิกส์ หรือชื่อใกล้เคียงกับฟิสิกส์อีกเลยครับ (ยกเว้น Quantum Mechanic ที่ต้องเรียนเพราะเป็นฐานใน Semi-conductor Physics กับ Semi-conductor Devices) การศึกษาเรื่องพวกนี้ (ไม่ว่าจะเป็นสมการฟังก์ชั่นคลื่นของชโรดิงเจอร์ - มันก็คือกฎอนุรักษ์พลังงานนั่นแล) เราคงต้องยึดหลังอิทธิบาท 4 เป็นแกนนะครับ คือเริ่มจาก ฉันทะ ก่อน ถ้าเรามีฉันทะแล้วก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปครับ (แต่ถ้าฉันทะแล้วยังรู้สึกว่าไม่ไหวก็ต้องเพิ่มวิริยะความเพียร จิตตะความตั้งมั่น และวิมังสาหมั่นทบทวนตรวจทานสม่ำเสมอ ได้ครบตามนี้ทุกอย่างย่อมเป็นไปดังปรารถนา) เรื่องการเร่งอนุภาคความเร็วเหนือแสงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็เป็นไปตามคุณ Relativistic AphiVIS ว่าไว้ในความเห็นที่ 40 นั่นแหละครับ ลองคิดเล่นๆ ถ้ามีอะไรไวกว่าแสงจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นเพราะเรารับรู้การมีอยู่ของมันโดยอายตนะทั้ง 5 ย่อมไม่ได้ (หรือถ้าเรารับรู้ได้ เราก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งที่ไม่มีอยู่ - เพราะเราเห็นมันจากการที่แสงวิ่งไปกระทบมันแล้วสะท้อนเข้าตาเราไงครับ) ขอบคุณครับที่อ่านบทความแปล จากคุณ : ศล - [ 1 ต.ค. 46 07:56:37 A:203.185.132.123 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 การข้ามเวลาเป็นไปได้ ถ้าเราไม่เอาตัวของเราไปด้วย เพราะมีคนสามารถไปอดีตและไปอนาคตมาแล้ว (มากมาย) โดยเอาใจของเขาไปรู้อดีตที่เกิดขึ้น จนมาเป็นตัวเขาในปัจจุบัน จากคุณ : SLS - [ 4 ต.ค. 46 09:42:33 A:203.156.27.237 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ SLS พูดเหมือน อะไรน้า... มโนมยิทธิเลยนะครับ ^__^ จากคุณ : ศล - [ 6 ต.ค. 46 10:00:13 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณที่ตอบมาค่ะ ดิฉันชอบเรื่องฟิสิกส์แห่งเวลามาก เข้าใจเพราะเคยเรียนมาก่อนด้วย สนุกมากเลย มีคนเคยมาทดลองสูตรให้ดูด้วยว่าเวลามันเดินช้าได้ยังไงเมื่อเราอยู่ในสิ่งที่กำลังวิ่งด้วยความเร็ว แต่ก็ได้มาวิเคราะห์กันว่าคงจะไม่มียานพาหนะใดที่สามารถวิ่งได้เร็วกว่าแสงแล้ว นอกจากใจ  และได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องการกำเนิดโลกและจักรวาล วิวัฒนาการของมนุษย์ ในทางพระพุทธศาสนา สนุกเหมือนกันค่ะ พออ่านจบก็ทำให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะย้อนตัวเราเองกลับไปในอดีตหรือไปในอนาคต แต่เราสามารถไปดูได้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตที่เกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนอนาคตตัวของเราได้ แม้ว่าคน ๆ นั้นจะมองเห็นอนาคตของตัวเองแล้วก็ตาม.ว่าจะตายเมื่อไหร่ เชื่อไหมค่ะ นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานกับคนฝรั่งเศสและได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ต่อมาเธอได้หย่ากับสามี และเลี้ยงลูก 2 คน วันหนึ่งเมื่อลูกของเธอกลับมาจากโรงเรียนเห็นเธอนอนจมกองเลือด เพราะถูกแทง และรีบแจ้งทางตำรวจ ซึ่งคดีนี้ยังขึ้นศาลอยู่ แต่ก็พอรู้ว่าน่าจะเป็นใคร แต่ยังไม่สามารถเอาผิดผู้ต้องสงสัยได้ ทางครอบครัวจึงเขียนเรื่องนี้ถามไปว่า 1. แม่ทำกรรมอะไรทำไมจึงเสียชีวิตเร็ว (อายุประมาณ 40 กว่าปี) 2. ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ไหน จะต้องทำอย่างไรให้ท่านมีความสุข ก่อนตอบท่านได้ให้ธรรมะว่า สิ่งที่เราทำปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สามารถมาตัดรอน หรือมาช่วยชีวิตเราได้ ความจริงผู้ตายจะต้องตายตอนอายุ 70 ปีด้วยโรคมะเร็ง แต่กรรมปัจจุบันมาตัดรอนก่อน ในสมัยเธอยังสาว เป็นคนที่หน้าตาดี ทำให้เกิดผิดพลาด และได้ทำแท้ง เมื่อกระแสบุญเริ่มอ่อนตัวลงกรรมนี้จึงมาตัดรอน ตอนนี้ยังวนเวียนอยู่ที่บ้านคอยดูลูกเพราะเป็นห่วง ต้องรอให้อายุครบ 70 ปีในเมืองมนุษย์ จึงจะมีเจ้าหน้าที่มารับไปเกิดอีกที แต่สามารถไปเกิดก่อนได้ โดยให้ลูกบอกแม่ว่าอย่าเป็นห่วงความห่วงจะทำให้ท่านไม่ไปไหน และให้ทำสังฆทานทุก ๆ 7 วัน อุทิศบุญให้ผู้ตาย เมื่อหมดห่วงและมีบุญพอก็จะสามารถไปเกิดได้ตามกำลังบุญ ไม่ต้องรอถึงอายุ 70 ปีในเมืองมนุษย์ ท่านบอกว่าแต่ละคน มี Porgram ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่สิ่งที่กระทำปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลง Program นั้นได้ ดังนั้นให้เราทำแต่ความดี ความชั่วแม้เพียงนิดก็อย่าคิดทำ คุณเชื่อไหมว่า ญาติของผู้ตายร้องไห้เลย เพราะว่าเรื่องทำแท้งไม่เคยมีใครรู้นอกจากน้าและหมอที่ทำ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เล่าประกอบเท่านั้น จะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้นะค่ะ สรุปว่าวิทยาศาสตร์สามารถนำมาอธิบายปรากฎการณ์ในทางพระพุทธศาสนาได้ เพราะสิ่งที่เรารู้ในทางพระพุทธศาสนาคือผลที่ออกมา ซึ่งดิฉันเชื่อว่าถูกต้องเสมอ เพราะไม่เคยมีเรื่องใดที่ไม่ถูกเลยตั้งแต่ดิฉันได้อ่านมา แล้วเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาอธิบายได้ด้วย  อย่างเรื่องกำเนิดของมนุษย์ เรามารู้ว่ามนุษย์เกิดมายังไง เด็กในครรภ์ 2 เดือนมีลักษณะยังไง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้เมื่อ 2500 ปีมาแล้ว ซึ่งก็ถูกต้องตามหลักในทางวิทยาศาสตร์ที่เขาได้ใช้เครื่องมือไปดูกัน แต่พุทธศาสตร์บอกเลยไปกว่าทางกายภาพคือ มีการปฏิสนธิวิญญาณด้วย ถ้าไม่มีตรงนี้มนุษย์ก็เกิดไม่ได้ อย่างการกำเนิดของจักรวาลไม่ทราบว่าเคยได้อ่านไหมค่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่าจักรวาลมีอนันตจักรวาลเลยนะค่ะ มนุษย์เราเพิ่งมารู้เมื่อไม่กี่ปีนี้เองว่าจักรวาลมีเป็นมากมาย ใน 1 จักรวาลแบ่งออกเป็น 4 ทวีป แต่ละทวีปก็มีมนุษย์อยู่ (ทวีปในจักรวาลนะค่ะ) ซึ่งไม่มีใครสามารถข้ามไปเยี่ยมเยียนได้ แต่รายละเอียดความเป็นอยู่ขอยังไม่กล่าวนะค่ะ เพราะแค่อายุก็ไม่เท่ากันแล้วค่ะ วงจรในการเกิดดับของโลกแบ่งออกเป็น 4 ช่วง 1. โลกถูกทำลาย 2. จักรวาลว่างไม่มีอะไรเลยแม้แต่โลกหรือดวงอาทิตย์ 3. โลกและสิ่งต่าง ๆ เริ่มก่อตัว 4. มนุษย์และสัตว์ดำรงอยู่ มนุษย์เมื่อก่อนมีอายุยืนมากเลย ตัวโต แต่ในยุคเรากิเลสมนุษย์มาก ทำให้อายุสั้น ตัวเล็ก ในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ อายุมนุษย์เฉลี่ย 100 ปี หลังจากนั้น ทุก 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี ตอนนี้อายุมนุษย์เฉลี่ย ก็ 75 ปี ใครอายุ 75 ปี ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ถ้าเกินสัก 80 ปี ถือว่าอายุยืน ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 2500 ปี ก่อน อายุมนุษย์ 80 – 120 ปีก็ยังมี ปัจจุบัน 60-80 ก็ OK รับกันได้ เพราะเริ่มชิน เป็นวิวัฒนาการที่เราก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ตัวมนุษย์ก็เล็กลง ลองไปดูแค่ของใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือชุด ดาบ จะรู้สึกว่ามันใหญ่จัง เพราะมนุษย์ยิ่งอายุยืนตัวจะโต หลังจากนี้อายุมนุษย์จะลดลงไป จน 10 ปี แล้วจึงเริ่มกลับ พอมนุษย์เริ่มมีศีล เริ่ม ศีลข้อ 1 อายุมนุษย์ก็เพิ่มขึ้น จนถึงอสงไขยปี  พอมนุษย์ประมาทจากความดี  อายุมนุษย์ก็เริ่มลดลง จนอายุมนุษย์ ประมาณ 80,000 ปี ยุคนี้เองที่พระศรีอารย์ ลงมาเกิด ยุคนี้คนมีศีล สูงประมาณ 40 เมตร  ถ้าเราสามารถเอาตัวเราไปในอนาคตได้ เราอาจจะตกใจว่าเรากลายเป็นแมลงในยุคนั้นแล้วมั้ง พออายุมนุษย์ลดลงเรื่อง ๆ จน 10 ปีอีกครั้ง ครั้งนี้แหละที่โลกจะถูกทำลายแล้ว ดังนั้นถ้าใครมาบอกว่าโลกจะแตกดับในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็อย่าไปเชื่อนะค่ะ ถ้าใครเชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งที่ท่านตรัสเป็นความจริงเสมอ ถ้าใครไม่เชื่อไม่ได้นับถือก็ไม่ว่ากันค่ะ แค่เรื่องนี้เองก็ทำให้ดิฉันคิดว่าคงจะไม่มีใครสามารถไปอดีตหรืออนาคตได้ เพราะยุคแต่ละยุคมันแตกต่างกันมาก และดิฉันคิดว่าแค่เราสามารถไปดูตัวเองได้ ระลึกชาติได้ รู้อนาคตได้ ก็สุดยอดแล้วค่ะ มันจะทำให้เรารู้ว่าเราเกิดมาทำไม ก่อนมาเกิด เรามาจากไหน แล้วภพภูมิหลังความตายที่เขาพูดกันมันจริงหรือไม่ นรกสวรรค์เป็นยังไง คือชอบเรื่องมิติเวลาและพอศึกษาถึงจุดนึงก็รู้สึกว่า สิ่งที่เป็นไปไม่ได้คิดไปก็หาคำตอบที่สุดไม่ได้ แต่ถ้าสิ่งที่คนเคยทำได้ เลยรู้สึกสนใจพระพุทธศาสนาค่ะ เขียนมาตั้งแยะ อาจจะปล่อยไก่ไปหลายตัว เพราะหลายคนก็อาจจะเคยรู้มาแล้ว บางคนอาจจะคิดว่ามันไร้สาระก็ได้ แต่เรื่อง เวลานี้ เป็นจุดเชื่อมโยงเรื่อง เวลาในภพต่าง ๆ ได้ เลยรู้สึกทึ่งกับคนที่คิดเรื่องเวลานี้เหมือนกันค่ะ เช่น ถ้าไม่มีเรื่องนี้ ดิฉันคงจะสงสัยว่า ทำไมเวลาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 1 วัน = 100 ปีในเมืองมนุษย์ พระพุทธศาสนาจะบอกผล แต่ที่มาว่าเพราะอะไร เราคงต้องค่อย ๆ ศึกษาจากวิทยาศาสตร์ที่เข้าค้นพบกัน หรือฝึกใจของเราไปดูไปรู้เลยก็คงจะดีเหมือนกัน  น่าสนใจดีนะค่ะ หวังว่าคงจะไม่คิดว่าดิฉันนอกเรื่องนะค่ะ แค่อยากแสดงความคิดเห็นอีกมุมมองนึงเท่านั้นเองค่ะ คิดว่าอ่านเพลิน ๆ ละกันนะค่ะ ^O^ จากคุณ : SLS - [ 7 ต.ค. 46 13:23:19 A:203.156.27.232 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับที่เล่าสู่กันฟัง ^_^ จากคุณ : ศล - [ 9 ต.ค. 46 08:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เวลาที่ดำเนินไปเช่นลูกบอลกลิ้งเราไม่สามารถกำหนดอย่างชัดเจนได้ว่าในช่วงที่ก่อนลูกบอลกลิ้งจะต้องย้อนเวลาไปนานเท่าไรเพราะกระแสเวลามันเล็กจะแทบจะบอกว่าเป็นเนื้อเดียวกันเลยก็ว่าได้ครับเช่น 3.0000010... ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะตามหลักคณิตศาสตร์ของเวลาคือไม่มีตำแหน่งทศนิยมสิ้นสุด และจาก paradox ที่ว่าคนจากอนาคตมาเตือนตัวเองในอดีตยิ่งตอกย้ำ paradox นี้เพราะว่าหากช่วงเวลาเลือกไปแม้แต่เศษเสี้ยววินาทีเดียวก็จะทำให้เกิดบุคคลซ้ำแล้วความไม่สมดุลของอนาคตได้ ดังนั้นความเป็นไปได้ตามทฤษฎีก็อาจจะมีแต่ว่าคนเราจะสามารถจำกัดความของเวลาว่าถ้าไม่ใช่เนื้อเดียวกันแล้วจะอธิบายกระแสเวลาอย่างไรและเราจะควบคุมห้วงเวลาไม่ให้เกิดความบิดพริ้วแม้แต่เศษเสี้ยววินาทีเดียวได้อย่างไร พลังงานที่ควบคุมคงมากพอที่จะทำลายล้างได้ทั้งโลกหรือระบบสุริยะเลยทีเดียว จากคุณ : Windows X - [ 22 พ.ย. 46 00:44:55 A:203.113.57.173 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านแล้วเข้าใจดีกว่าอ่านหนังสือเองค่ะ แต่ถ้าจะให้แจ่มแจ้งต้องบอกว่า แหม..ยากค่ะ เพราะอ่อนเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องท้าทายดี สำหรับการค้นคิดสิ่งใหม่ๆ (หรือเปล่า) เพราะศาสนาเราก็บอกว่า การเดินทางย้อนเวลานี่มีมานานแล้ว เช่นการระลึกชาติไง....(เกี่ยวกันหรือเปล่านี่) เพียงแต่อุปกรณ์พลังงานมันคนละอย่างกัน จากคุณ : ฮานาเล - [ 25 ม.ค. 47 14:19:53 A:203.155.123.252 X:203.155.123.254 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คำว่าเวลาไม่ใช่สิ่งที่เราจะเข้าใจง่ายๆ แม้ไอสไตร์ก็ยังไม่รู้ ได้แค่เดาๆ ..สมองของคนเราถูกสร้างมาเพื่อการเอาชีวิต เพื่อการอยู่รอดบนโลกเพียงเท่านั้น วิวัตธนาการธรรมชาติ ให้มาแค่นี้..จะให้เราควบคุมเวลาได้มันเป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่าเวลาเป็นเพียงนามธรรมไม่มีอยู่จริง..คนเรา รู้สึกไปเองว่ามีเวลา..ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว จากอดีตสู่อนาคตทุกสิ่งดำเนินไปตามเหตุและผล..เชื่อมกลายเป็นเรื่องราวไม่จบไม่สิ้น...นิรันดร เป็นนิทานของจักรวาล จากคุณ : radi jaidi - [ 30 พ.ย. 47 11:57:46 A:203.113.61.201 X:203.150.217.117 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อ่านแล้วสนุกมากๆค่ะ แหะๆ เรานี่out ซะจริงๆเชียว จากคุณ : quin toki - [ 15 ต.ค. 48 17:28:28 ]