บนรถสองแถวสีแดง เวลาร้อนระอุ ของวันหนึ่งในฤดูฝนตกบ้างและตกทีละนานๆ
ผมนั่งรอผู้โดยสารคนอื่นๆที่คนขับคาดหวังว่าจะมีตามมาสมทบ เพื่อที่เขาจะได้ออกรถอย่างมีกำลังใจ ถ้ามีอีกสองก็เพิ่มขึ้นสิบบาท สามคนสิบห้าบาท สี่คน ห้าคน หกคน... ผมนั่งจินตนาการภาพบรรยากาศผู้โดยสารนั่งเต็มที่นั่งสองข้าง
ลมอุ่นพัดเอื่อยๆ บนฟ้ามีก้อนเมฆเทากลุ่มใหญ่เห็นลิบๆว่าจะมาถึงในไม่กี่ชั่วโมง อย่าเดาเลยดีกว่า ผมคิด
สักพักมีรถมอเตอร์ไซค์นักศึกษาสองคัน ตามกันมาจอด หลังรถสองแถวที่ผมนั่งอยู่ คนซ้อนท้ายก้าวลงทมัดแทมงในชุดนักศึกษา รองเท้าผ้าใบเก่าๆ...ผู้หญิงทั้งคู่...
"ขอบใจนะเพื่อน" สาวน้อยผมยาวหน้าขาวไม่โบ๊ะส่งยิ้มให้หนุ่มน้อย
"พรุ่งนี้อย่าลืมตื่นรอมารับนะ จะโทร.บอก" สาวที่สองผมสั้นหยักเป็นลอนฟูเหมือนผมไม่เคยเจอครีมนวดผมมาสักสองสามเดือนเป็นอย่างต่ำ
รถยวบตามแรงกดน้ำหนัก พวกหล่อนก้าวขึ้นมานั่งตรงข้ามกัน ผมอยู่ฝั่งคนหน้าไม่โบ๊ะผมเหยียดยาว เขยิบเข้าชิดในเว้นระยะห่างให้สุภาพสตรี ตามมารยาท
สองสาวเริ่มส่งภาษาถิ่นกัน
เสียงคุยดังจนผมคิดว่าตัวเองอยู่ในวงสนทนาด้วย สองสาวเหมือนไม่สนใจที่มีคนนอกนั่งอยู่ตรงนั้น
พยายามทำเป็นไม่สนใจ
รถค่อยคลานออกจากที่จอดใต้ต้นอินทนิล
ลมอุ่นแต่ไม่แห้งผากเหมือนหน้าร้อน เสียงพัดอื้ออึงทำให้สองสาวต้องคุยเสียงดังขึ้น ผมสนใจวิวข้างทางด้วยตอนนี้ ฤดูนี้ เดือนนี้ต้นข้าวสวยที่สุด...มีเสียงแจ้วๆของสองสาวคุยกันเป็นแบคกราวน์ให้ภาพข้างทาง เขียวสด น้ำใส บ้านคนไม่มีปลูกใกล้ช่วงถนนสายนี้เลย มีร้านค้าเอนกประสงค์ ตามหลักกิโล บ้านคนจะหนาแน่นขึ้นอีก ต่อไปสักประมาณห้ากิโลเมตร ผมมีเวลาสิบนาทีชื่นชมเขียวสดของต้นข้าวในนา
"ข้าวนอกนา" สาวไม่โบ๊ะเปรยเสียงดังแล้วเว้นวรรค
"เฮ้ย นั่นไม่ใช่ข้าวนอกนาธรรมดา รุ้ไหมทำไมมันขึ้นตรงนั้น" สาวหยิกถามน่าสนใจ ผมคิด
"มันก็ขึ้นของมันเอง ข้าวบังเอิญละมัง" สาวเดา หยอดให้เพื่อนรีบๆเฉลย
"เฮ้ย มันไม่ได้ขึ้นสะเปะสะปะนะเว้ย" สาวอยากให้เพือ่นลองใหม่
"กล้ามันพัฒนาตัวเอง มันอาจจะเป็นข้าวหอมมะลิพันธ์ที่ยังไม่จดลิขสิทธิ์ก้ได้" สาวตอบ คราวนี้เรียกเสียงขำจากทั้งผมและสาว
"มันมีหลักการขึ้น...หลักการก้คือชาวนาปลูกให้มันคลุมดิน กันหน้าดินพังทลายไง แถวนี้น้ำท่วมขัง คนถมที่ กลัวดินหายไหลไปกับน้ำลด เขาปลูกไว้นะ มันไม่ได้ขึ้นเอง" สาวยิ้มด้วยความภูมิใจที่ได้เฉลย
"อืมมม...เดาว่าน้องต้องเรียนเกษตรใช่ไหมครับ" ผมได้ทีขอร่วมวง
"ค่ะ" สองสาวตอบด้วยเสียงใสใจจริง
"เอกพืชสวนหรือพืชไร่ครับ" ผมอดไม่ได้ถามต่อ
"เปล่าค่ะ เอกฟู้ดเทคฯ" สาวหยิกตอบ
เธอหันไปคุยกันเรื่องอื่นต่อ ผมไม่สนใจถามต่อ รู้สึกว่าเป็นเวลาที่สองสาวอยากคุยกันลำพังมากกว่า
รถเพิ่มความเร็วขึ้น เสียงเตรื่องยนต์เบาลงเมื่อคนขับเพิ่มเกียร์ สองสาวก็ยังคุยกันต่อ ทุกเรื่องที่เป็นท้อปปิก ก็เรื่องสิ่งที่เห็นสองข้างทางนั่นแหละครับ แต่เธอจะมีวิธีโยงเข้ากับเรื่อง หรือคนที่รู้จักได้น่าฟังทีเดียว
พอถึงสี่แยกไปทางหลวงสายใหม่ สาวก็เปรยขึ้นอีก
"ดูต้นคูณเตี้ยต้นนั้นสิ" เธอเอ่ยและบุ้ยหน้าไปที่เกาะกลางถนน มีเด็กขายพวงมาลัยสามสี่คนนั่งบ้างยืนบ้าง พิงเสาบ้าง
"แคะแกร็นเพราะโดนพิงบ่อยไง ต้นอื่นไม่เป็น"
"เออสิ แบบนี้เขาเรียกคนทำลายธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว" พูดจบก็ตบด้วยเสียงหัวเราะลั่น เยี่ยงคนนิสัยเปิดเผย
ก๊ากกก...แอบขำ....ขำแบบว่าอดยิ้มอดสนุกด้วยไม่ได้จริงๆ
ถึงตลาดในเมือง สองสาวลงรถสองแถว ผุ้โดยสารรายใหม่ก้าวขึ้นมา นั่งเกือบเต็มรถ...แต่พวกเค้าไม่คุย...ผมรู้สึกใจหายยังไงไม่รุ้ เหมือนนางฟ้ามาโปรดแล้วหายตัววับไปหลังให้พร...ผมคิดแบบเด็กๆไปละมัง..อยากได้ก็ขอ ไม่ได้ก็เรียกร้อง เฮ้อ!
...
จบครับ.
จากคุณ :
คนมอ
- [
11 ก.ย. 46 12:42:14
A:202.28.51.76 X:unknown
]