The Warrior ภาค Planet Guardian 2

       บทที่สอง การเดินทางและความจริง
    ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวใจกลางเมืองกรุงเทพฯนั้นยังมีหมู่บ้านสไตล์ฝรั่งชื่อไทเทิน ภายในหมู่บ้านนี้บ้านทุกหลังนั้นสร้างคล้ายกับเป็นเมืองของเทพทางยุโรป จะมีก็แต่บ้านของตระกูลประกายทศเทพ  ที่แตกต่างจากบ้านอื่นเพราะบ้านของตระกูลนี้ถูกสร้างคล้ายกับหอคอยยักษ์ทรงกระบอกสีแดง ดาดฟ้าของบ้านหลังนี้ยังมีที่จอดเฮลิคอปเตอร์ที่เคยถูกใช้เป็นประจำสมัยที่พ่อและแม่ของราวเทพมีชีวิตอยู่ ชั้นสิบของตึกนี้เป็นห้องส่วนตัวของทายาทรุ่นที่สิบของตระกูลนี้ชื่อราวเทพ และแน่นอนว่าเวลาเกือบๆตีสามอย่างนี้เขาต้องนอนยู่บนเตียงเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆที่อายุสิบสองขวบ แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะฝันร้าย
    ภายนอกหน้าต่างของห้องราวเทพนั้นมีฟ้าผ่าเป็นระยะและฝนตกกระหน่ำ และภายในห้องของราวเทพนั้นมืดสนิดและเงียบสงัด จะมีก็แต่เสียงของร่างรางเทพบิดตัวไปมาภายใต้ผ้าห่มของเขา หน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้เต็มไปด้วยเหงื่อ สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากการไปตากฝนข้างนอกและเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเนื่องจากเสียงฟ้าผ่า
    ราวเทพนั้นลุกขึ้นมาจากเตียง เขาหอบแฮ่กๆคล้ายกับเหนื่อยจากการวิ่งหนีใครมา เมื่อเขาหันหน้าไปดูนาฬิกาบนหัวนอนของเขาแล้วก็ลุกขึ้นมา

         ก๊อกๆๆ

    “คุณหนู เป็นอะไรครับ” เสียงผู้ชายตระโกนจากหลังประตู ซึ่งน่าจะเป็นคนใช้ของราวเทพ
    “ไม่เป็นไรครับ แค่ฝันร้ายครับ” ราวเทพตอบ
    ราวเทพเปิดประตูไม้ข้างๆเตียงของเขาแล้วเดินขึ้นบันได ระหว่างที่เขาเดินนั้นเขาได้เยียบกิ่งไม้  เสียงหักของไม้ แกรกๆ เป็นระยะๆ เมื่อเดินจนสุดทางเขาก็เปิดประตูอีกบานหนึ่งที่ป้ายประตูว่าห้ามเข้า ประตูนี้ดูเหมือนว่าปิดตายเป็นเวลานาน เขาหยิบสร้อยคอออกจากบ่าของเขา บนสายสร้อยของเขานั้นมีจี้ห้อยคอทรงกลมและกุญแจอันเล็กๆหนึ่งดอก ราวเทพใช้กุญแจที่อยู่บนสายสร้อยเปิดประตูที่อยู่ตรงหน้าของเขา เมื่อประตูตรงหน้าของเขาเปิดออก เขาเดินออกจากประตูไปประมาณ2-3ก้าวและหยุดอยู่ใต้ร่มหลังคาสังกะสี ราวเทพกวาดสายตามองรอบๆดาดฟ้า มีเศษสังกะสีและเหล็กที่ตั้งเรียงไม่เป็นระเบียบคล้ายกับเป็นเศษของเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกระเบิดเป็นเสี่ยงๆและเศษของมันกระจัดกระจายอยู่บนดาดฟ้านี้
    “มาจนถึงขนาดนี้แล้วไม่คิดจะออกไปเล่นน้ำฝนเหรอครับ”เสียงเด็กหนุ่มผู้ชายพูดจากข้างหลังของราวเทพ
    เมื่อราวเทพหันหลังกลับ ก็พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เด็กหนุ่มคนนี้เต้ยกว่าและผมบนศีรษะของเขาสั้นราวกับเป็นทรงนักเรียนเพียงแต่ผมด้านหน้าของเขายาวลงมาปิดหน้าผากและจรดถึงคิ้ว

    “ไม่เอาละ ไม่มีอารมณ์เล่น” ราวเทพตอบอย่างเบาๆคล้ายกับว่าเขาถูกถามด้วยคำถามโง่ๆแล้วเขาก็หันหลังให้กับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลัง “แกไปนอนซะ นี่มันไม่ใช่เวลาที่แกจะมาเล่นวิ่งไล่จับเรา”
    “พ่อของผมบอกว่าคุณหนู เออ ฝันร้าย”
    “หุบปากซะ แล้วก็เลิกเรียกคุณหนูซะที” ราวเทพตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงโกรธ “แม้แต่แกก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน” ราวเทพเดินออกจากใต้หลังคาสังกะสี
    “คุณหนู ผมคิดว่าคุณไม่ควรตากฝน”
    “หุปปาก แล้วออกไปซะ ที่นี้คนนอกไม่ควรเข้า” ราวเทพตวาดด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม
    “ดิโอ”
    “ไปซะ ไปนอนได้แล้วไม่ต้องห่วงเราหรอก ไทเลอร์” ราวเทพหันมามองหน้าไทเลอร์ แต่เพราะความมืดของดาดฟ้าทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถเห็นหน้ากับได้

    ทั้งสองจ้องหน้ากันสักพักหนึ่งแล้วไทเลอร์กดสวิตส์ไฟ เมื่อแสงไฟจากรอบๆดาดฟ้าสาดส่องมาที่หน้าของราวเทพ ไทเลอร์สังเกตเห็นหน้าของราวเทพชัดๆ ไทเลอร์ดึงกับตะลึงเพราะที่เขาเห็นตรงหน้าคือหน้าของราวเทพที่กำลังร้องไห้

    “มาทำไมกัน ไปได้แล้วอย่าทำให้เราต้องลำบากเลย”
    “เออ คือผม เออ” ไทเลอร์ติดอ่างสักพัก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองราวเทพและพูดว่า “ดิโอ ฉันไม่ได้มาเพราะต้องการตามแกกลับแต่เรามาเพราะต้องการมาเป็นเพื่อน ถ้าแกคิดจะตากฝนละก็ขอตากเป็นพื่อนด้วยละกัน”

    ไทเลอร์เดินตรงเข้าไปหาราวเทพแล้วนั่งบนพื้นและเอนหลังพิงซากโลหะที่ตั้งอยู่ข้างหลังราวเทพ

    “มา นั่งตรงนี้สิ ถ้าแกคิดอยากจะอยู่ชมดาวหรือดูฝนตกละก็ เราก็จะนั่งเป็นเพื่อนด้วย”

    ราวเทพยิ้มเพราะดีใจที่เห็นเพื่อนสมัยเด็กกลับมาคุยกับเขาแบบคุ้นเคยอีกครั้งหลังจากที่แสดงกิริยาห่างเหินกัน แม้ว่าตัวเขาจะเปียกและหนาวเพราะฝน และเหนี่อยล้าเพราะการร้องไห้แต่เขาก็ไม่อยากแสดงท่าทางอันใดให้เพื่อนของเขาเห็นถึงความหนาวเห็บหรือเหนื่อยล้าที่เขาประสบ ราวเทพเดินตรงมาที่ไทเลอร์และนั่งข้างๆไทเลอร์

    “ดิโอ แกรู้ไหมว่าทุกคนเขาเป็นห่วงแก ตั้งแต่วันที่พ่อแม่แกตาย แกเก็บตัวอยู่คนเดียวไม่พูดไม่จากับใครเลย”
    “ไม่รู้สิ เราคิดว่าเราต้องการใครสักคนแต่ไม่มีใครเลยที่เข้าใจความรู้สึกเราเลย รวมทั้งพ่อแก พ่อแกเคยเป็นทั้งครูและพ่อบ้านของเรา เมื่อก่อนนี้เขาเคยใจดีกับเราและคุยกับเราและให้กำลังใจเราเวลาที่เราต้องการเป็นประจำแต่ตอนนี่สิ เขาไม่เคยเลยที่จะมาหาเรา เขาสนใจแต่เรื่องของงานของพ่อเรา”

    ราวเทพตวาดใส่ไทเลอร์ราวกับเป็นเรื่องที่ไทเลอร์เป็นต้นเหตุ แต่เพราะการที่เติบโตด้วยกันมาและความเป็นเพื่อนมานานทำให้ไทเลอร์รู้สึกสงสารและเขาถึงกับร้องไห้ออกมา และโผกอดราวเทพ

    “แม้แต่แกก็ไม่เข้าใจเราและพยายามแสดงตัวเป็นคนใช้ของเรา ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เรียกชื่อเล่นเรา เรียกเราว่าดิโอ ขอถามหน่อยเหอะ แกอยู่กับเรามานานแค่ไหนแล้ว”
    “ตั้งแต่เกิดมาฉันก็อยู่กับแก”
    “จำเรื่องสัญญาสำคัญที่ให้ไว้ตอนที่เราสองคนหนีออกจากบ้านได้ไหม”
    “จำได้สิ ตอนนั้นแกสัญญาฉัน เพราะแกเห็นว่าพ่อแกสั่งให้คนลงโทษฉันเพราะพวกเขาคิดว่าฉันพาแกหนีออกจากบ้าน แต่ว่าความจริงแล้วแกอยากจะหนีออกจากบ้านแล้วฉันเป็นห่วงเลยตามไปเป็นเพื่อน หลังจากนั้นสามวันแกก็ร้องไห้ไปบอกพ่อแกว่าแกบังคับฉันให้ฉันพาแกไป” ไทเลอร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
    “ใช่ แล้วตอนนั้นแกบอกว่าแกต้องการปกป้องเราเพราะแก..แก..แกติดว่าเราเป็นน้องชายคนหนึ่ง”
    “อืม ใช่แล้วละ”
    “ถ้าแกคิดอย่างนั้นจริงแกต้องบอกเราเกี่ยวกับตวามจริง”
    “ความจริงเหรอ ??? เช่น???”
    “ความจริงที่เราไม่รู้”
    “เช่น???”
    “ทำไมพ่อแม่เราถึงตาย”

    ไทเลอร์ปล่อยมือออกจากราวเทพ เขากวาดสายตาไปรอบๆดาดฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครฟังเขา

    “ดิโอ แกรู้ไหมว่าชื่อแกแปลว่าอะไร ราวเทพ แปลว่าคนที่คล้ายเทพ ดืโอ ก็แปลว่าคล้ายเทพเป็นภาษากรีซ”
    “แล้วมันเกียวกับชื่อยังไง”
    “ถ้าแกไปที่อังกฤษพรุ่งนี้แก ก็จะรู้ความจริงเอง”
    “แกหมายความว่าไง”
    “พ่อฉันคงจะทำให้แกลำบากใจสินะ ที่แกต้องถูกส่งไปที่อังกฤษตอนนี้ ทั้งๆที่แกไม่ได้เตรียมใจ แต่..”ไทเลอร์นิ่งไปสักพัก “แต่ทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งเสียของพ่อแกก่อนที่พ่อแกจะตายไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว”
    “เราไม่เข้าใจ แกหมายความว่าแกกับพ่อแกรู้ว่าพ่อแม่เรากำลังจะตายเหรอ”
    “ใช่ แกจำได้ไหม ปีก่อนนะฉันถูกไปที่อังกฤษเพื่อไปเรียนภาษา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก ฉันไปเพื่อไปเรียนการต่อสู้ ตอนนั้นพ่อแกบอกว่าใกล้เวลาที่ฉันต้องปกป้องแกในฐานะองครักษ์คนหนึ่งของแก”
       ปังๆๆๆ
    เกิดเสียงปืนขึ้นจากทางบันไดข้างล่าง ซึ่งไทเลอร์มีสีหน้าวิตก เพราะเขารู้ว่าราวเทพหรือดิโอนั้นกำลังจะมีคนมาฆ่าก่อนที่เขาจะเดินทางไปอังกฤษ ไทเลอร์หยิบร็อกเก็ตที่แขวนอยู่บนสร้อยคอออกมาแล้วพูดพึมพำอะไรสักอย่างเป็นภาษาที่ราวเทพไม่รู้จัก และเขาก็หันมามองราวเทพด้วยสีหนาที่อ่อนโยนราวกับเขาจะไม่เห็นน้องชายของเขาอีก

    “ห้านาทีนี้ ฉันจะปกป้องแกไว้ด้วยชีวิตจนกว่าพวกเขาจะมา”

    ราวเทพยังคงไม่รู้เรื่องที่ไทเลอร์พูด เมื่อไทเลอร์หันหลังกลับแล้ววิ่งลงไปตามทางบันได ราวแทพก็พยายามวิ่งตามแต่ก็มีแสงปรากฏตรงหน้าทำให้เขาต้องหยุด แสงนั้นแยกอากาศออกจากกันคล้ายกับฝนังที่แยกออกจากกัน มีภาพคล้ายกับเมืองยุโรปปรากฏในรอยแยก มันคล้ายกับภาพสองภาพทับกัน เพียงแต่ว่าภาพด้านบนขาดเป็นรูโหว่จึงเห็นรูปของภาพด้านล่างปรากฏ มันคือรอยแยกของมิติ และแล้วก็มีแสงกลมๆออกมาและหยุดอยู่ตรงหน้าราวเทพ และเมื่อแสงค่อยๆหลี่ลง สิ่งที่อยู่ข้างหน้าเขาก็คือกลุ่มคนเกือบ10คนในชุดสีดำสลับสีขาวปรากฏ และพยายามดึงตัวของราวเทพไปที่รอยแยกมิติ ราวเทพพยายามสลัดสะบัดตัวออกและพยายามวิ่งออกจากพวกที่ออกจากรอยแยกของมิติเพื่อที่จะวิ่งตามไทเลอร์ แต่เขาก็ถูกชกที่ท้องและกระแทกที่ท้ายทอยจนสลบและถูกอุ้มแต่จะไปไหนนั้นเขาก็ไม่รู้ ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความงุนงงของลิขิตชีวิตเขา เขาอยากรู้ความจริงที่ถูกปิดซ่อนไว้ แต่เขาก็ไม่รู้ จะมีก็เพียงคำใบ้จากไทเลอร์คนที่สนิทกับเขามากราวกับเป็นพี่น้องก็ไม่ปาน แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีกับคำใบ้ที่เกี่ยวกับชื่อของเขา

    จากคุณ : Michael icq 17266114 (icq17266114) - [ 12 ก.ย. 46 21:41:52 ]