หัวใจสั่งให้มา ++ ตอนที่ 1 ++(เรื่องสั้น 9 ตอน จบ)

              แตงกวาหรือหทัยกาญจน์  ฉัตรสถาพรเป็นเด็กสาววัยสิบเจ็ดปี หน้าตาสดใส และออกจะสวยหวานด้วยเครื่องหน้าที่รับกัน ดวงตาเรียวสีน้ำตาลไม่เข้มจนดำเหมือนเพื่อนบางคน จมูกพอมีสันปากบางเรียวเป็นสีชมพูเข้ม คิ้วโก่งเหมือนที่ในวรรณคดีไทยชอบบรรยายว่า คิ้วโก่งเป็นคันศรนั่นแหละเสียแต่ขนคิ้วออกบางไปนิดนึง แตงเองไม่เคยชอบคิ้วของตัวเอง เมื่ออยู่โรงเรียนเธอจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ต่างจากที่บ้าน เพราะค่อนข้างจะเอาการเอางานกว่า ดังนั้นอาจารย์ ภารโรง หรือเพื่อนนักเรียนด้วยกันจะไม่มีใครแปลกใจสงสัยเลยถ้าปลายปีก่อนปิดภาคเรียนจะมีใบประกาศเกียรติคุณให้แก่นางสาวหทัยกาญจน์ ในฐานะนักเรียนมารยาทงาม หากแต่จะเป็นพี่ชาย บิดา ไม่เว้นแม้แต่มารดาของเธอต่างหากที่ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกและเก็บสิ่งนั้นมาล้อเลียน แต่แตงก็ไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเธอ จึงเชิดหน้ารับอย่างภูมิใจมากกว่าจะโวยวายจริงจังเอากับคนที่บ้าน นอกจากนิสัยดี เธอก็ต้องเรียนเก่งด้วยตามสูตรสำเร็จของเด็กดีทั่วไป แต่จะเก่งแค่ไหนก็ย่อมมีวันพลาด

    “แตงจะสมัครเป็นประธานนักเรียนจริงหรือ”

    “จริงสิอ้อย”

    “แข่งกับเด็กวิทย์น่ะนะ”

    “ฮื่อ..ก็อยากรู้นี่นาว่าเด็กพาณิชย์กับเด็กวิทย์ใครจะแน่กว่ากัน”

    “อย่าเลยแตง อ้อยว่านะแตงอยากทำงานตรงนั้นแตงไปสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มเขาดีกว่า”

    “โธ่..งั้นมันก็มีกลุ่มเดียวสิ การเลือกตั้งก็ไม่เกิด เก๊าะอดลุ้นกันพอดี น่า..หาอะไรทำให้ชีวิตมันมีรสชาดบ้าง เดี๋ยวเราให้อ้อยเป็นรองประธานเลยเอ้า..”      แตงหยอดลูกหวานกับเพื่อนสนิท

    “ตามใจ..เอาไงเอากัน”

              อาจารย์หลายท่านสนับสนุน เพราะเห็นแววของเธอ ซ้ำยังช่วยออกแนวความคิดการหาเสียง ติดป้ายประกาศ เป็นช่วงที่โรงเรียนคึกคักกันเป็นพิเศษอีกช่วงหนึ่ง เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักทายและสนทนากันด้วยเรื่องเลือกประธานนักเรียนคนใหม่หลังจากที่ไม่มีการเลือกตั้งมานานหลายปี จะมีก็แต่การที่คณะกรรมการชุดเก่ามอบหมายให้รุ่นน้องทำต่อไปเลยเป็นการขอร้องและบังคับไปในตัว  จากการสำรวจโพลมั่ว ๆ ของเพื่อนร่วมห้องอย่างไรเด็กวิทย์ก็มีภาษีดีกว่าหลายด้าน ไหนจะเรียนเก่งกว่า ไหนจะมีรองประธานหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะแตงได้ยินว่ารุ่นน้องหลายคนไม่ได้ชอบหล่อนหมดทุกคนเพราะสวยแล้วหยิ่ง พูดด้วยก็ไม่พูดด้วยทำนองนั้น

              ทั้งโรงเรียนจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มเด็กวิทย์ กลุ่มเด็กพาณิชย์ที่เข้าข้างและเชียร์แตงกันอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช และฝ่ายที่เป็นกลางเลือกก็เลือกไม่เลือกก็ไม่แปลก เหลือวันนี้เป็นวันสุดท้าย บ่ายสามโมงของวันนี้ก็จะมีการเลือกตั้งโดยการหย่อนบัตรคะแนนเหมือนการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไม่มีผิด แตงต้องขึ้นไปหาเสียงหลังจากมีกิจกรรมเคารพธงชาติตามปกติในวันนี้พร้อมกับอีกฝ่ายหนึ่ง มีการจัดตั้งเวทีชั่วคราวเล็ก ๆ สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลาอาจารย์ประกาศให้เบอร์หนึ่งพรรคของเด็กวิทย์ขึ้นไปพูดแล้ว แตงได้แต่ท่องนโมดับความตื่นเต้นทั้งมวล แล้วฟังเขาด้วยใจระทึก

    “สวัสดีครับ คณาจารย์และเพื่อนนักเรียนทุกคน”

    “เฮ.....”       มีเสียงโห่และเสียงปรบมือตอบรับเกรียวกราว

    “ผมเป็นตัวแทนของกลุ่มพลังวิทย์เบอร์หนึ่ง ขอแนะนำเพื่อนสมาชิกร่วมพรรคดังนี้ครับ เริ่มจากประธานนักเรียน...”      เธอแนะนำเพื่อนจนครบสิบคน มีเสียงปรบมือและผิวปากวี้ดวิ้วสลับกันเป็นระยะ ๆ เมื่อจบการแนะนำเขาก็กล่าวต่ออย่างมั่นใจ

    “ครับนโยบายของพรรคเราคือต้องฟื้นฟูสภาพของโรงเรียนให้ดีขึ้นและส่งเสริมกิจกรรมของโรงเรียนทุกอย่าง ถ้าเพื่อน ๆ และน้อง ๆ เลือกเบอร์หนึ่งรับรองไม่ผิดหวังแน่นอนแค่นี้ครับขอบคุณครับ”

    “จบไปแล้วครับสำหรับเบอร์หนึ่งพลังวิทย์ ต่อไปขอเชิญพรรคพาณิชย์สัมพันธ์ นำทีมโดยนางสาวหทัยกาญจน์  ฉัตรสถาพรเชิญครับ”   สิ้นเสียงอาจารย์พิธีกรก็มีเสียงปรบมือเกรียวกราวอีกครั้งแตงสูดหายใจเต็มปอดเรียกความมั่นใจให้ตนเองก่อนจะก้าวขึ้นบนเวทีหน้าเสาธง

    “เรียนคณาจารย์และสวัสดีพี่น้องชาวม่วงขาวทุกคนค่ะ”       ปลายเสียงออกจะสั่น  ๆ

    “เฮ...”        เสียงร้องเฮลั่นจนกลบเสียงปรบมือ ต่อเวลาให้เธอได้สูดลมหายใจลึก ๆ กลบอาการประหม่าได้ทันท่วงที

    “ดิฉันเป็นตัวแทนของกลุ่มพาณิชย์สัมพันธ์ค่ะ ขอแนะนำสมาชิกของโดยเริ่มที่คุณ...”       เธอเริ่มต้นแนะนำจนครบสิบคนเช่นเดียวกัน แล้วแตงก็เริ่มแจงนโยบายของพรรคต่อ

    “ก่อนอื่นเราจะเน้นความสะอาดค่ะ ทั้งบริเวณโรงอาหาร ห้องน้ำ และอาคารเรียนต่าง ๆ ข้อสองเรื่องปลอดภัย ตอนนี้หน้าโรงเรียนเราการจราจรพลุกพล่านขึ้นเราจึงจะขอความร่วมมือไปยังตำรวจจราจรให้มาช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียนและผู้ปกครองในตอนเช้าและตอนเย็นดีมั้ยคะ”

    “ดี..ดี..”

    “ค่ะ..คุณอาจจะเห็นว่าประธานหรือหัวหน้าพรรคเบอร์สองเนี่ยตัวเล็กไป บอกได้เลยค่ะว่าเล็กอย่างมีความสามารถไม่แพ้พริกขี้หนูเม็ดเล็ก ๆ แต่เผ็ดหรือกำลังนั่นแหละค่ะ    เมื่อวานนี้เป็นวันวาเลนไทม์ทุกคนคงได้รับความรักกันถ้วนทุกคน ไม่ว่าจะจากคุณพ่อ-คุณแม่ ครู-อาจารย์ หรือเพื่อนหนุ่ม-สาว  ถือได้ว่าเมื่อวานเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง และวันนี้คงจะสำคัญไม่แพ้กันเพราะอยากให้ทุกคนไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงที่มีเลือกคณะกรรมการมาช่วยพัฒนาโรงเรียนของเราให้เจริญและน่าอยู่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยค่ะ แล้วช่วยกันเลือกเบอร์สองให้เยอะ ๆ นะคะ เพราะว่า.. สตรีมีดวงตา เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่ มองโลกอย่างกว้างไกล มิใช่คอยชม้อยชวน เหมือนคำที่คุณจีระนันท์  พิตรปรีชาเขียนไว้เป็นกวีบทหนึ่ง”

    “เฮ..เฮ..”       เสียงตอบรับกึกก้องพร้อม ๆ กับเสียงปรบมือ เสียงเป่าปากดังเปี้ยวป้าว ไม่แพ้กับที่ดังขณะที่หัวหน้าพรรคเบอร์หนึ่งขึ้นหาเสียงเมื่อกี้

    “ขอบคุณมากค่ะ”       เสียงปรบมือดังอีกครั้ง แตงกวาถอนหายใจอย่างโล่งอกมันเป็นการหาเสียงครั้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งในตอนบ่ายสามโมงของวันนี้ ลุ้นและก็ลุ้นขอให้ตัวเองได้ชนะคะแนน

              แต่..สุดท้ายเธอก็ชนะอย่างยับเยิน  ชนะใจตัวเองที่ยับเยินน่ะสิคะถามได้..แตงย่นจมูกให้เพื่อนที่พากันมาหัวเราะใส่หน้า

    “บอกให้ถอนตัวแต่แรกไม่เชื่อ”       พรนิภาหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทว่าเย้า ๆ

    “ไม่เป็นไรนี่..แพ้คะแนนแต่ชนะใจตัวเอง ที่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างยินดีได้”       แตงแย้งยิ้ม ๆ

    “รู้ว่าแพ้แล้วแข่งทำไม”       เสียงใครคนหนึ่งถามขึ้นมา

    “เผื่อฟลุคไง”       เสียงหัวเราะดังไม่เบาเลยแต่แตงก็ยังยิ้มรับ แต่เมื่อใครต่อใครพากันกลับบ้านแล้วเธอยังนั่งซึมอยู่ตรงม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นหูกวาง

    “ว่าไงจ้ะ คนเก่งของครู”       แตงหันไปหาต้นเสียงและส่งยิ้มเศร้า ๆ ให้

    “อาจารย์”       เสียงอาจารย์สาวนักศึกษาฝึกสอนจากรั้วมหาวิทยาเชียงใหม่นั่นเอง

    “ทำไมยังไม่กลับล่ะ จะมืดแล้วนะ”

    “บ้านอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ เดินแป๊ปเดียวก็ถึง”

    “เมื่อกี้ยังเห็นก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรอยู่ ทำการบ้านหรือจ้ะ เสร็จแล้วเหรอ”

    “อ๋อ..เขียนเรื่องสั้นค่ะ ความพ่ายแพ้ของคนช่างฝัน”

    “เกี่ยวกับเรื่องการเลือกประธานนักเรียนหรือ”        อาจารย์สาวทอดหางเสียงอ่อนโยน

    “ค่ะ หนูชอบเขียนหนังสือค่ะแม้จะไม่ได้ความสักเท่าไหร่ก็ตาม”

    “เหรอ..แล้วเคยส่งไปลงตามนิตยสารบ้างหรือเปล่า”

    “บ้างค่ะ..ส่งไปที่.....”      เธอเอ่ยชื่อนิตยสารที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศ

    “อืม..ครูก็อ่านอยู่นะเล่มนี้  เพื่อนครูก็เขียนส่งไปเหมือนกันแล้วเธอใช้นามปากกว่าอะไรล่ะ”

    “กู๊ดวิชค่ะ..แม่มดที่แสนดี”

    “โอ้โฮ! ไม่เบาเลยนะฝีมือมีงานได้ตีพิมพ์ออกบ่อยทั้งเรื่องสั้น ทั้งบทกวี”
    “อาจารย์อ่านด้วยหรือคะ”       แตงถามท่าทางกระตือรือล้นเต็มที่

    “จ้ะ เพื่อนครูยังอยากรู้จักเลย เค้าสงสัยน่ะว่าเด็กเส้นหรือไงถึงมีงานตีพิมพ์แทบทุกฉบับอย่างนี้”       แตงหน้าเสีย

    “แสดงว่างานของแตงไม่ดี แต่ได้ตีพิมพ์บ่อยหรือคะ”

    “เปล่าจ้ะ..ครูล้อเล่นน่ะ อย่าทำหน้าอย่างนั้นซีเขาอิจฉาต่างหากนี่ถ้ารู้ว่าเธอเป็นลูกศิษย์ครูอายุแค่สิบกว่าอย่างนี้คงจะกระอักอีกเพราะเค้าเขียนส่งไปตั้งหลายเรื่องเหมือนกันแต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์สักเรื่อง”       ผู้อ่อนวัยกว่ายิ้มออก

    “หทัยกาญจน์”

    “ขา”

    “ยังเสียใจอยู่มั๊ยกับการไม่ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียน”

    “ก็..”

    “เป็นธรรมดานะจ้ะ อย่าคิดมากครูคิดว่านี่คงเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของหนู ครูจะเล่าเรื่องเพื่อนของครูให้ฟังนะคะ เพื่อนครูคนนี้เขาก็เป็นผู้หญิง เขาไฟแรงมากสมัครเข้าเป็นประธานนักศึกษาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง แต่เขาก็แพ้ เขาไม่ได้เสียใจอะไร กลับมุ่งมั่น ขวนขวาย และพบจุดบกพร่องของตนเอง พอปีสองเขาก็สมัครอีก เขาไม่ผิดหวังอีกแล้วครั้งนี้เพราะเขาได้ผ่านบทเรียนแรกมาแล้วและนำตรงนั้นมาเป็นครู เอาจุดบอดมาวิเคราะห์แก้ไข อย่างหนูนะอายุยังน้อย ถือเอาครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียนแล้ววันหนึ่งหวังว่าครูคงได้ข่าวว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของครูในวันนี้ได้เป็นประธานนักศึกษานะจ้ะ”

    “ขอบคุณค่ะ อาจารย์”       แตงยกมือไหว้อาจารย์สาวพร้อมกับรอยยิ้มผุดพราย

    “จะมืดแล้วกลับได้แล้วนะ”

    “ค่ะ..แล้วอาจารย์ล่ะคะ”

    “ครูพักอยู่บ้านพักข้างหลังโรงเรียนนี่เอง ว่าแต่เราเถอะจะกลับอย่างไร”

    “อาจจะเดินค่ะ  ถ้าคุณพ่อไม่มารับ”

    “จ้ะ ระวังตัวนะเกือบมืดแล้วอย่างนี้”

    “ขอบคุณค่ะ เห็นจะไม่เป็นไรเพราะแตงรู้จักตั้งแต่หน้าโรงเรียนถึงประตูบ้านแหละค่ะ”

    “จ้า..”       ต่างคนต่างสบตามกันแล้วเงียบไปอึดใจ

    “ไว้ว่าง ๆ เราคงได้คุยกันอีกนะ”

    “ค่ะ หนูลากลับบ้านเลยนะคะ”

    “จ้ะ”       แตงยิ้มตอบอาจารย์อีกครั้งแล้วออกเดินไปตามทางฟุตบาธที่ลาดยาวไปเกือบร้อยเมตรกว่าจะถึงประตูทางออกของโรงเรียน สองข้างทางครึ้มด้วยต้นหูกวางหัวโกร๋นเพราะกำลังอยู่ในช่วงผลัดใบ “ต้นไม้ผลัดใบเหลือแต่กิ่งเปลือยเปล่า ..หัวใจคนขี้เหงาน่าสงสารนักล่ะ” คิดถึงเจ้าของสำนวนนี้จริง ๆ ป่านนี้จะเดินทางท่องเที่ยวอยู่หนใดหนอ จะสุขสบายดี หรือจะคิดถึงเราบ้างหรือเปล่า เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เอาไว้ถึงบ้านนะคะคุณเพชรแล้วแตงจะเขียนไปเล่าถึงความรู้สึกในวันนี้ให้ฟัง

    “แตง”

    “คะ”       แตงเกือบสะดุดเมื่อถูกเรียกขณะกำลังเหม่อลอยเช่นนี้

    “พ่อ”

    “พ่อมารอรับแตง เห็นค่ำแล้วยังไม่ถึงบ้านซะทีแม่เขาก็บ่นจนพ่อต้องระเห็จมานี่แหละ”

    “ตกลงมาเพราะห่วงลูก หรือมาเพราะขี้เกียจฟังแม่บ่นกันแน่คะ”       เจ้าตัวดีถามกวน ๆ  ฝ่ายบิดาขี้เกียจจะต่อความยาวเลยเกี่ยวคอลูกสาวให้เดินไปที่รถแล้วทั้งสองก็ออกเดินทางโดยมอเตอร์ไซด์คู่ชีพของครอบครัว

                                                          aaaaaaaaaa

    แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 14:39:24

    แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 00:11:55

    จากคุณ : สีน้ำฟ้า - [ 13 ก.ย. 46 00:08:24 ]