ใกล้วันเยาวชนแห่งชาติเข้ามาทุกที สี่ตาและสองหูของผมก็เริ่มออกจากป่าออกจากเถื่อนไปแสวงหาเยาวชน
ครับ
บนรถสองแถวพาหนะคู่ชีพของผมนั่นเอง
ลงจากรถแดงที่ป้ายข้างร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ ผมก็หนีบถุงพลาสติกหูขาดลงไปเตะฝุ่นกับไออุ่นน้ำท่อที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้เมือง หน้าฝนผมต้องระวังเป็นพิเศษเวลาเหยียบพื้นถนนคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐานตามเมืองใหญ่ๆในประเทศไทยแบบนี้ เท้าแตะพื้นโดยปลอดสิ่งสกปรกแล้วก็เดินดุ่มๆไปตามทางเท้า ผ่านสำนักงานแห่งหนึ่งของทหาร ซึ่งจะไม่เอ่ยกองกรมที่คุณอยากรู้ เพราะผมว่าไม่สำคัญ
ผมชอบลงป้ายนี้เพราะจะต้องเดินผ่านต้นหูกวางต้นใหญ่ที่สุดในอำเภอเมือง (สถิติของผมเอง) ผมเริ่มสังเกตการเติบโตของไม้ใหญ่ในเมืองนี้หลังจากอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ต้นไม่ใหญ่กับการพัฒนาเมือง หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจลุง ป้า น้า อา และปู่ ย่า ตา ยาย ต้นไม้ในเมืองดีขึ้น
พวกลูกหลานเหลนต้นไม้ในเมืองทุกวันนี้ อาจจะรอดยากถ้ารากได้รับแรงสั่นสะเทือนใต้พื้นราดยางหรือคอนกรีต
อาจจะแคะแกร็นไปสักพักแล้วหยุดโต เมื่อตอนมันตายนี่สิครับ ทรมานเหลือแสน ต้นแก่แดดแก่ลม ต้นที่ได้มลพิษไปเยอะ มันยืนใบสีเทามองไม่เห็นลายใบ เดาไม่ออกว่าเมื่อก่อนมันชื่อต้นอะไร
ป้ายต่อไปคือหน้าร้านหนังสือคนรวยที่อยู่ได้นานที่สุดในจังหวัดนี้ ร้านที่มีอาแปะอาม่านั่งขายหนังสือที่พวกเขาคงไม่ได้อ่านทุกเล่ม แต่มันมากทั้งเก่าใหม่ขายไม่ออก แกก็เอามาห่อพลาสติกลดราคาขายต่อ และแกก็ไม่ส่งคืนที่ไหน ผมพบหนังสือของผมหลายเล่มที่นี่ และชอบเข้าไปฆ่าเวลารอขึ้นรถสองแถวสีฟ้ากลับบ้าน วันนี้ได้แต่ชมหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมไม่กล้าแกะห่อพลาสติก เรื่อง สวนสำหรับเด็ก วันนี้อาแปะเจ้าของร้านแกคุมเข้ม คนไม่ค่อยมีเสียด้วยผมเลยได้ชมแต่ปกหน้าปกหลัง อ่านคำนิยม บรรยายสรรพคุณหนังสือ ผมดูรูปก็จินตนาการไปว่า ผมเดินย่ำต๊อกเข้าไปหานักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นนักธุรกิจเสียด้วย เข้าไปยื่นโครงการขอเงินสนับสนุน นักการเมืองคนนั้นยิ้มแย้ม ชมผมใหญ่เลย บอกว่าจะบริจาคให้โครงการสวนเด็กของผมสิบล้านพร้อมที่ดินที่จะสร้าง
ผมอมยิ้มกับฝันนั้น แล้ววางหนังสือลงเมื่ออาแปะเดินมาหยุดตรงหน้า
ผมขึ้นรถสีฟ้าคันที่จะพากลับบ้าน
ไม่เชิงถึงบ้าน
ต้องข้ามถนนเดินเข้าซอยไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตร คันนี้ไม่เคยแน่นก่อนบ่ายสามโมง ผมได้ที่นั่งเสมอ ข้างติดถนนด้านซ้าย
รถแล่นมาจนถึงป้ายตลาดสดแห่งที่สองของคนเมือง ป้ายนี้บางทีคนเรียกป้ายตามชื่อโรงเรียนประถมศึกษาข้างตลาด
ด้านหลัง
อ้อ
ผมลืมบอกว่าวันนี้วันอาทิตย์ ผมไม่คิดว่าจะเจอเด็กนักเรียนครับ
มีเด็กห้าคนแต่งชุดไปรเวท อายุรุ่นเดียวกันไม่เกินสิบเอ็ดขวบ ขึ้นรถว่างๆแต่ไม่ยอมนั่งสักคน ผมว่าธรรมชาตนักเรียน นักศึกษา ชอบห้อยโหน
พวกขามีหัวหน้ากลุ่มสองคน
สองคนนี้มีสิ่งสะดุดตาคือ สวมเสื้อกางเกงสีสด แบบทันสมัย และสะอาดเรียบร้อย
ผมอมยิ้มเอ็นดูพวกเขาเมื่อก้าวขึ้นมาครั้งแรก เด็กหัวเกรียนผอมโกร่ง พวกลูกน้องนุ่งกางเกงกากีเครื่องแบบของโรงเรียนรัฐบาลนั่นแหละ ท่อนบนเป็นเสื้อยืดคอกลม สีไม่สดใสมาก เรียบไม่สะดุดตาเท่าหัวหน้ากลุ่มสองคนนั่นที่คนสูงสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน กางเกงแรพสีส้มสด มีแถบสีเทาฟ้า และเชือกร่มห้อยพอดูเก๋ รองเท้าผ้าใบโชว์ข้อเท้าไม่สวมถุงเท้าเสียด้วย หัวหน้ารองอยู่ในเสื้อแดง กางเกงยีนส์สีซีดทรงกึ่งแร๊พ มีเสียงร้องเพลง เจ้าหัวหน้าสองคนเป็นต้นเสียง ให้ลูกน้องคอยรับคอยส่ง เพลงที่ร้องก็ฟังเหมือนเพลงเด็กแต่งเองทั่วไป ที่จะเล่นคำไปเรื่อย บางท่อนสองแง่สองง่ามพอให้คนฟังเสียวเล่นก็จะกักไว้ ทิ้งไว้ให้พิศวงว่าอะไรด้วยเสียงหัวเราะกิ๊วก๊าว ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามผม อายุก็วัยผม วัยทำงาน (รู้แล้วใช่ไหมว่าผมไม่ใช่นักศึกษา) มองสบตามา แววตาเอ็นดูเหมือนกัน เราต่างก็คงคิดพ้องกันว่า ดูสิ หนุ่มน้อยเขาดีใจจะได้ไปเที่ยวนอกบ้าน แต่สักพัก เราก็ลังเล เอ
ชักไม่ค่อยแน่ใจ
ผมเห็นว่ามีสิ่งที่ผิดสังเกตในเสียงและแววตาของหัวโจกทั้งสองคน เหมือนต้นไม้ออกอาการเมื่อได้ปุ๋ยผิดสูตร มันดูต๊องๆไร้แรงควบคุม ยายคนหนึ่งเตือนให้ยึดรถไว้ดีๆเดี๋ยวจะตก พ่อเจ้าประคุณแลบลิ้นปลิ้นตาตอบมา เมื่อถึงสี่แยก รถติดไปแดง เจ้าหัวโจกร้องตะโกนเสียงสั่นเพราะหัวเราะมากไปนั่นเอง เพราะมียายแก่ๆคนหนึ่งนั่งพักคานหาบอยู่ตรงนั้น ในมือมีจานขนมจีนกับส้มตำ ปากแกเคี้ยวหยับๆโชว์ฟันดำฟันหรอ เรียกความสนใจจนหัวโจกอดไม่ได้
เฮ้ยๆ แก่จะตายมานั่งฟันหรอกินส้มตำได้ไง จบด้วยเสียงหัวเราะและเพลงแต่งใหม่ บ้านก็ไม่มี แม่ก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี เงินก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่มี มีแต่
เสียงดังที่ท้ายรถ และความเคลื่อนไหวยึกยักของเด็กกลุ่มนี้ ทำเอารถคันหลังที่ตามมาติดๆชะลอ ทิ้งระยะห่างออกไป คงกลัวอุบัติเหตุเด็กตกรถแล้วอาจโดนรถข้างหลังทับได้ คนข้างถนน คนในร้านค้าเริ่มมองมาที่รถสองแถวสีฟ้า
ดูมหกรรมละครเด็ก
บรรยากาศในรถ
ผมรู้สึกว่า ผู้ใหญ่ทุกคนเกร็งไปหมดแล้ว ยายก็ยังไม่เลิกส่งเสียงแหบแห้งบอก ลูกๆ เข้ามานั่ง ระวังจะหล่น ยายพร่ำไปเถอะ เสียงยายน่ะ หัวโจกไม่ได้ยินหรอก
เพือ่นที่ทำตัวเป็นลูกน้องก็เริ่มเงียบ คล้ายๆจะเป็นอาการเดียวกับพวกผู้ใหญ่ สงสัยว่าไปกินอะไรมาถึงได้หัวเราะได้นันสต๊อปอย่างนี้ ผมไม่อยากคิดไกลอีกแล้ว สาวคนนั้นหันมาส่ายหน้าพูดกับผม
บอกไม่ได้หรอก พ่อแม่เขาคงไม่บอก เราจะบอกยังไง น่ากลัวจริงๆ
เสียงฮาปากดังขึ้นเรื่อยๆ หัวโจกหัวเราะติดๆกันจนมือเปลี้ยแทบจะหล่นตกท้ายรถ
ผมกดออดลงที่ป้ายปลายทาง บอกพ่อเจ้าประคุณด้วยเสียงเคารพว่า ขอทางหน่อยครับผม หน้ายิ้มตลอดทางยังไม่หุบหันมาและยอมหลบให้ หัวโจกหมายเลขสองก้าวลงไปยืนนอกรถ พอผมได้ทางก็รีบจ้ำไปให้ค่าโดยสารด้านหน้า รู้สึกโล่งอกพิลึกหลุดออกจากค่ายกักกันชั่วคราวมาได้ รถออกตัวไปผมมองเห็นว่าหัวโจกสองที่ตัวเล็ก เตี้ยกว่าหัวโจกหมายเลขหนึ่งยังซอยเท้าตามกระโดดขึ้นรถให้ได้ และหวุดหวิดจะโดนล้อหลังดูดเข้าไปอยู่แล้ว หน้าเขาซีดเหลือง ผมต้องรีบตะดกนบอกคนขับเสียงลั่น เด็กยังไม่ขึ้นๆ!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยิน ผมได้ยินเสียงกดออด ยายคนนั้นเองทียืดร่างผอมค่อมขึนเอื้อมมือไปกดออดให้ รถจึงกระตุกหยุดให้เด็กก้าวขึ้นไปได้ ผมเห็นว่าหัวโจกหมายเลขหนึ่งนั้นหยุดหัวเราะแล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นปกติ หัวโจกเบอร์หนึ่งก็ปลอบเพื่อนด้วยการตบดังป้าบที่ท้ายทอย
ม..ง! อะไร แค่นี้ก็ปอดแหกแล้วเหรอ และเสียงฮาก็ตามมาจากกลุ่มเพื่อน ตามด้วยเสียงเพลง
ความรู้สึกหดหู่กลับมาอีกแล้ว
ผมอยากลืมเรื่องนี้ ผมก็พยายามคิดถึงฉากสวยๆของวันนี้ปลอบใจตัวเอง
ผมเลยคิดถึงต้นหูกวางและกิ่งใบร่มรื่นของมัน
.
ต้นหูกวางนี่โชคดี มันยืนให้รั้วสำนักงานทหารสะกิดด้านข้างซ้ายขวาเท่านั้น มันรอดคมขวานคมเลื่อยมาได้ เพราะรั้วที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นเรียกว่า รั้วรุกขปรานี คือรั้วที่ยอมแหว่งยอมผิดส่วนเมื่อมีลำต้นไม้ใหญ่ขวาง ต้นหูกวางจึงเติบโตได้สะดวก โชคชั้นที่สองก็คือรถใหญ่ไม่ค่อยผ่านมาให้รากสะเทือนเพราะแคบและเป็นวันเวย์ เช่นเดียวกับจามจุรีในสถานศึกษาข้างๆหูกวาง ยืนเด่นเป็นสง่าทักทายกันเกรียวเมื่อลมพัด ยืนเด่นให้ร่มเงาคนเดินถนนมาไม่รู้กี่สิบปี แต่ต้นเล็กต้นน้อยที่เพิ่งเริ่มหยั่งรากบนฐานเมืองที่คอนกรีตคลุมไปมากกว่าครึ่งเมืองแล้วคงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ผมเป็นห่วงว่าต้นใหม่ต้นเล็กที่กล้ามีรากเบี้ยวเพราะเตรียมไม่ดี สักแต่ว่าจะปลูกให้มันโต รากจะแผ่ไปแค่ผิวดิน จุดยืนไม่มั่นไม่ลึกพอ
คงล้มตายสักวัน
-จบครับ-
จากคุณ :
คนมอ
- [
15 ก.ย. 46 12:52:06
A:202.28.51.76 X:unknown
]