แม้นมยุรินทร์ (บ่วงบัลลังก์ภาคพิเศษ) ตอนที่ 1

    พูดถึงนิยายเรื่องบ่วงบัลลังก์ที่เคยโพสต์ลงที่นี่เมื่อแสนนานกาลครั้งหนึ่ง ยังคงมีใครจำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
    เนื้อหาส่วนใหญ่ของ แม้นมยุรินทร์ เป็นเรื่องราวรุ่นพ่อแม่ของตัวเอกที่ถูกตัดออกจากนิยายค่ะ ขุดกรุเอามาปะหัว ปะท้าย ใส่ตอนจบใหม่ให้เป็นเรื่องราวขึ้นมา
    จะค่อยๆ ทยอยโพสต์ลงนะคะ ทั้งหมดมีสี่ตอนจบ

    และขอแจ้งคนอ่าน เงาฝันในม่านฝน วัสส์ขอหยุดแต่งนิยายเรื่องนั้นชั่วคราวค่ะ เพราะกำลังยุ่งๆเรื่องเตรียมตัวไปเรียนต่อ กว่าจะได้เขียนงานใหม่คงอีกหลายเดือน...อ่านผลงานประเภท ปัดฝุ่น ขัดกรุ รุสต็อก แก้ขัดไปพลางๆ ก่อนนะคะ
    อ่านแล้วมีความเห็นหรือไม่มียังไง โพสต์เข้ามาทักทาย บอกกันได้ค่ะ หรือเขียนอะไรงงๆ ลงไปก็ถามได้จะตอบให้ ขอบคุณค่า ^^

    *************

    คฤหาสน์หลังใหญ่กลางเมืองหลวงแห่งภูมินทรนครสว่างไสวด้วยแสงไฟที่ส่องลอดออกจากหน้าต่างกระจกบานสูง เสียงเพลงแว่วกังวาน ซ้อนไปด้วยเสียงอึกทึกครึกครื้นของผู้มาร่วมงานมากมาย สมกับที่เป็นงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของเสนาบดีมหาดไทย...ผู้ทรงอิทธิพลยิ่งในเสนาบดีสภา

    ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในเครื่องแบบเต็มยศของนายทหารราชองครักษ์ยศร้อยเอก...เด่นด้วยรูปโครงหน้าคมคาย ดวงตาคมเข้มจัด และริมฝีปากหยักงามได้รูปก้าวผ่านช่องประตูสูงเข้ามาในห้องโถงที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คน เขาเหลียวหน้า...คล้ายจะมองหาใครสักคนที่คุ้นเคย และเกือบจะเดินเลยลึกเข้าไปด้านใน ถ้าสาวน้อยผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบคนรับใช้จะไม่สาวเท้าเข้ามาดักหน้าเขาก่อนพร้อมกับเอ่ยคำต้อนรับนอบน้อม

    “คุณกฤษณะ มาแล้วหรือคะ เมื่อครู่ท่านนายพลถามหาคุณค่ะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน”

    กฤษณะพยักหน้าให้สาวน้อยผู้นั้น ดวงตาคมจัดยังแลเลยไปที่ผู้คนมากมายที่จับกลุ่มพูดคุยกันในงาน ชั่วครู่เขาจึงเอ่ยตอบอย่างไว้ตัว

    “ไปเรียนท่านก็แล้วกันว่าฉันมาแล้ว สักครู่จะไปพบ ขอตัวสังสรรค์กับเพื่อนๆก่อน ท่านอยู่กับท่านเสนาบดีมหาดไทยหรือ?”

    “ค่ะ ด้านในงานทางด้านโน้น ดิฉันจะไปเรียนท่านให้นะคะ”

    เด็กสาวก้มตัวต่ำและเลี่ยงออกไปอีกทาง ชายหนุ่มมองตามไปพลางครุ่นคิด เขามิใช่วัวลืมตีนหรอกนะ พื้นเพของเขากับแม่สาวน้อยคนนี้ก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมายนักหนา แต่ถ้าเขายินยอมรับความจริงและยอมสนทนากับหล่อนอย่างไม่แบ่งแยกชนชั้น เขาจะไปถึงจุดหมายที่มุ่งหวังได้อย่างไร หากเขาอยากขึ้นไปให้เกินกว่านี้ ก็คงต้องแสร้งทำเหมือนลืมอดีตนั้นให้หมดทุกประการ

    กฤษณะแน่ใจ...ว่าในด้านความสามารถ เขามีความกล้า มีมันสมอง มีความฉลาดเฉียบแหลมที่ไม่เป็นรองผู้ใดในภูมินทรนคร แต่จุดอ่อนที่เขาต้องยอมรับอย่างเจ็บปวดในใจตลอดมาก็คือเขาไม่มีเงิน ไม่มีชาติตระกูลเก่าแก่อย่างใครๆ และนั่นก็ทำให้เขาไม่มีฐานที่จะหนุนส่งเขาให้โดดเด่นสูงส่ง มียศตำแหน่งได้อย่างง่ายๆเหมือนบางคน

    เขาเป็นเพียงลูกชายของพ่อค้าธรรมดาๆที่ทำการค้าอยู่ใกล้ชายแดนด้านตะวันตก...ติดกับรัชชนคร มารดาของเขาเองก็เป็นเพียงอดีตนางข้าหลวงของนางจอมเจ้า(ตำแหน่งสมมติ เท่ากับ เจ้าจอม)ระดับหางแถวผู้หนึ่ง นางจอมเจ้าผู้ที่แทบจะถูกลืมทิ้งไว้นอกสารบบ ไม่มีส่วนร่วม ไม่มีบทบาทใดๆกับวงสังคมในภูมินทรนคร มิหนำซ้ำมารดาของเขายังมิใช่คนโปรดปราน แม้จะเคยอยู่ในวังแต่ก็เก็บซุกตัวอยู่ก้นตำหนัก ไม่สนิทชิดชอบกับใครนักหนา หากจะว่าไปตามจริง เด็กบ้านนอกอย่างกฤษณะแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะเงยหน้าขึ้นมาทัดเทียมใครๆที่อยู่ในสังคมระดับขุนนางมาตั้งแต่เกิด

    แต่กฤษณะไม่เคยยอมให้สิ่งใดมาดับโอกาสและความใฝ่ฝันของเขา จะว่าเขาเป็นคนดื้อแพ่งหัวรั้นก็คงจะได้ที่เขาไม่ยอมรับช่วงงานค้าขายของบิดาหากขืนเข้าสมัครรับราชการเป็นทหารเงียบๆ

    แม้จะรู้ว่าเขามีทั้งรูปสมบัติ ความคล่องแคล่วเฉียบแหลม และสติปัญญาเป็นทุนรอน หากชายหนุ่มก็ตระหนักดีว่าเท่านั้นไม่พอจะส่งเขาจากดินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างใจปรารถนา จากทหารธรรมดาๆที่มิได้มีความสลักสำคัญให้ผู้ใดจดจำ เขาเพียรเข้าออกรับใช้เหล่านายทหารผู้ที่อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาจนคนเหล่านั้นต่างพากันรักใคร่เอ็นดูเขาอย่างสุดจิตสุดใจ แต่อีกครึ่งหนึ่งเขาก็สู้อดทนทุ่มเทเพื่อกองทัพอย่างหนักไม่ผิดจากคนอื่นๆในรุ่นเดียวกัน

    ผลตอบแทนที่เขาได้รับดูจะงดงามสมความต้องการของเขาอยู่ไม่น้อย เพียงไม่นานกฤษณะก็ย้ายจากสังกัดชายแดนเข้ามาเป็นหนึ่งในนายทหารสังกัดกรมทหารราชองครักษ์ ตำแหน่งที่เพิ่มพูนขึ้นได้เร็วขนาดนี้เขายอมรับว่าครึ่งหนึ่งนั้นเกิดมาจากความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวมากกว่าความสามารถ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรในหน้าที่ให้บกพร่องจากการกระทำนั้น ตรงข้าม ทุกสิ่งที่เขารับผิดชอบเป็นไปอย่างเรียบร้อยจนเป็นที่รู้กันทั่วว่าชายหนุ่มมีการตัดสินใจที่แม่นยำจนน่าทึ่ง

    ด้วยปัจจัยหลายอย่างกฤษณะก็ได้รับการยอมรับเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงสมใจ หนึ่งในปัจจัยนั้นคืออนาคตที่ดูสดใสเพราะความสนิทสนมเป็นพิเศษกับเสนาบดีและนายพลสำคัญหลายคน ด้วยการยอมรับของบุคคลที่ทรงอิทธิพลสูงยิ่งในภูมินทร์เหล่านี้ อดีตของเขาแทบจะไม่มีใครใส่ใจ

    ...และนั่นทำให้เขาเข้ามายืนอยู่ในงานในฐานะทัดเทียมกับ ‘ลูกท่านหลานเธอ’ ทั้งหลายได้ในวันนี้...

    ชายหนุ่มสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เขาก้าวเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคนที่ยืนสนทนากันอยู่ หญิงสาวสองสามคนที่หันหน้ามาทางเขาออกปากทักอย่างดีใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร ส่งผลให้ทั้งกลุ่มหันมามอง แต่กฤษณะก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรด้วยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน เขาแย้มยิ้มและเอ่ยปากทักตอบ

    “ยินดีที่ได้พบคุณอีก ไม่ได้พบกันนานเทียวนะ”

    ผู้ถูกทักแย้มยิ้มใส

    “คุณเองกระมังคะที่ไม่ว่าง ไม่ได้ไปงานไหนเลยหรือคะพักนี้ ฉันไม่ค่อยได้พบคุณเลย”

    “ก็คงเช่นนั้น งานยุ่งอยู่มากครับ”

    เขาตอบตรงๆ แววตาคมระยับแลจับที่ดวงหน้าอีกฝ่ายก่อนจะแลเลยไปที่สตรีอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนห่างออกไปพอสมควรกับเด็กสาวหน้าแป้นที่ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะมีหน้าที่รับใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นอยู่ในชุดราตรียาวกรอมเท้าตัดด้วยผ้ามันระยับที่แม้ดูไกลๆก็น่าจะมีราคาแพงไม่ใช่น้อย บ่งบอกว่าไม่ใช่คนในวงสังคมเดียวกับผู้ที่หล่อนกำลังสนทนาด้วย ความต่างนั้นยังฉายชัดทางความงามสง่า ท่าทางเยื้องกรายนุ่มนวลและแผ่นหลังกับลำคองามระหงที่เชิดตรงอย่างมีราศี

    คู่สนทนาของเขามองตามสายตาไปบ้างและหล่อนก็หัวเราะเมื่อเห็นผู้ตกเป็นเป้าสายตา หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ

    “ไม่เห็นเคยทราบว่าคุณกฤษณะก็ติดใจราชาวดีกับเขาเหมือนกัน แต่ก็ไม่แปลก เธองามนักนี่คะ”

    “ราชาวดีหรือครับ?”

    กฤษณะย้อนถามด้วยน้ำเสียงฉงนทำให้หล่อนต้องออกอุทานด้วยความแปลกใจออกมาบ้าง

    “เอ๋! นี่คุณกฤษณะไม่เคยพบราชาวดีหรอกหรือคะนี่ เห็นมองนัก ฉันคิดว่ารู้จักกันแล้ว”

    “ยังหรอกครับ ยังไม่เคย คุณราชาวดีที่เป็นบุตรีเสนาบดีมหาดไทยนั่นหรือครับ”

    กฤษณะทอดเสียงอย่างนุ่มนวลเปี่ยมไมตรีจิต ทำให้หญิงสาวเผยยิ้มออกมาอย่างชอบใจ หล่อนเสนอ

    “ถ้าอย่างนั้นฉันจะแนะนำให้รู้จักไหมเล่าคะ น่าเสียดายหากจะไม่รู้จักกัน...ราชาวดีนั่นเธอได้ชื่อว่างามยากจะหาผู้ใดในภูมินทรนครมาเทียบเทียวนะคะ อัธยาศัยเธอก็งามอยู่มาก คุณควรจะได้รู้จักเอาไว้ หากอย่างไรวันหน้าวันหลังพบกันก็จะได้ทักทายปราศรัยกันบ้าง”

    “จะรบกวนคุณเกินไปหรือเปล่าครับ อีกอย่างดูท่าเธอก็กำลังวุ่นอยู่มิใช่น้อย”

    “คงสั่งงานคนของเธออยู่กระมังคะ งานครบรอบวันเกิดของท่านพ่อเธออย่างนี้เธอคงเกรงจะขาดตกบกพร่อง ราชาวดีน่ะรอบคอบเสมอละค่ะ มารยาทผู้ดีอะไรก็ไม่มีที่ติ ทั้งๆที่ไม่ได้เรียนวิชากุลสตรี ไม่ได้อบรมงานเรือน...งานเย็บปักประดิดประดอยอย่างพวกเรา เธอเรียนด้านรัฐศาสตร์นะคะ ได้ยินว่าช่วยงานท่านเสนาบดีอยู่ด้วย”

    “อย่างนั้นหรือครับ? น่าแปลก คงมีสตรีไม่กี่คนกระมังครับที่เรียนวิชาอย่างผู้ชายอย่างนั้น”

    “ก็เห็นอยู่ไม่กี่คนดอกค่ะ พ้นจากราชาวดีแล้วก็คงเป็นทิตตมณี นั่นยิ่งหนักกว่าราชาวดีไปอีกกระมังคะ”

    กฤษณะไม่ได้ใส่ใจกับนามนั้นนัก เขาหันไปมองทางทิศที่ราชาวดียืนอยู่เมื่อครู่อีกครั้ง แต่หล่อนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาเห็นร่างระหงนั้นก้าวลับเข้าไปในกลุ่มคนอีกทางด้วยท่วงท่าการเดินที่โดดเด่นสง่างาม ชายกระโปรงสีเหลือบมรกตยาวกรอมเท้ากรายกับพื้นคล้ายการกรายของแพนหางนกยูง

    หล่อนคงไปพบบิดา...ชายหนุ่มคะเน ดูหล่อนไม่สนใจที่จะพูดคุยเรื่องต่างๆในวงสังคมกับเพื่อนๆนัก นั่นคงเป็นผลมาจากการเรียนที่แผกแตกต่างออกไปก็ได้ ขณะที่เพื่อนผู้หญิงของหล่อนมักได้รับการอบรมเข้มงวดเรื่องงานเรือนจากในบ้านหรือในรั้ววัง หล่อนได้รับความรู้ในสาขาที่แปลกออกไป สาขาที่ทำให้หล่อนสนใจเรื่องราวบ้านเมืองในมุมกว้างมากกว่าเรื่องส่วนบุคคลของใครๆ...

    “ไม่ทราบราชาวดีไปไหนเสียแล้ว ว่าจะแนะนำให้รู้จักคุณอยู่เทียวนะคะ”

    เสียงบ่นนั้นทำให้กฤษณะตื่นขึ้นจากความคิด เขาออกตัว

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไว้อย่างไรเดี๋ยวผมก็คงต้องไปพบท่านนายพลอยู่แล้ว ท่านถามหา เห็นว่ากำลังอยู่กับท่านเสนาบดีมหาดไทย อย่างไรท่านคงไม่ใจจืดขนาดไม่ยอมแนะนำให้รู้จักบุตรีท่าน”

    “ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีเวลาอยู่คุยกับพวกเรากระมังคะ คิดว่าวันนี้จะได้คุยกันเสียอีก ตั้งแต่คุณได้ตำแหน่งใหม่นี่มิค่อยมีเวลาเสียเลย เห็นจะต้องรีบไปพบคนนั้นคนนี้เสียทุกคราไป”

    หญิงสาวอีกคนที่รู้จักสนิทสนมกับเขาดีค่อนขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังอะไรนัก กฤษณะรับคำด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ

    “ก็อย่างที่ออกตัวไว้ก่อนแล้วอย่างไรเล่าครับ...งานยุ่ง อยากมาพบคุณเหมือนกันแต่หาเวลามิใคร่มีเลย ที่มาคราวนี้ได้ก็เพราะท่านนายพลท่านมาด้วย ไม่เช่นนั้นก็คงติดงานอยู่ที่กระทรวง”

    “ไม่มีใครว่าคุณได้หรอกค่ะ เราก็ทราบกันอยู่ว่าเรื่องทางกลาโหมพักนี้วุ่นวายมิใช่น้อยๆ”

    “ถึงอย่างนั้นก็เถิดครับ ผมก็ยังอยากมีเวลามากกว่านี้”

    ชายหนุ่มออกตัวด้วยสีหน้าเรียบๆที่แม้ไม่มีรอยยิ้มก็ยังดูคมงามอย่างยากจะหา เขาเอ่ยต่อ

    “ถ้าอย่างไรก็ต้องขอตัวก่อนนะครับ ผมแวะเข้ามาทักเฉยๆ ไว้โอกาสหน้าคงได้พบกันใหม่ วันนี้คงมีเวลาไม่มากพอที่จะกลับมาคุยกันอีก”

    กล่าวจบเขาก็หมุนตัวกลับ สาวเท้าไปยังทางเดียวกับที่เห็นราชาวดีเดินลับหายไปเมื่อครู่นี้ ความคิดของชายหนุ่มมิได้อยู่ในเรื่องงานอย่างที่ใครๆเข้าใจว่าเขากำลังคิดแม้แต่น้อย มันหมกมุ่นอยู่ในเรื่องราวของสาวงามผู้ที่เป็นธิดาของท่านเจ้าของงาน...

    ...ก็แม้เขาจะได้เคยพบใครๆที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกผู้ดี ได้ชื่อว่ามีโฉมงามหนักหนา แต่เขากลับไม่เคยพบใครที่งามจับตาได้สมคำร่ำลือถึงเพียงนี้มาก่อนเลย งามสง่าอ่อนละมุนจนถึงขนาดว่าถ้าใครมองเห็นแม้เพียงแวบแรกก็ต้องแลซ้ำอย่างไม่อยากเชื่อตา

    และความงามนั้นถ้าจะเทียบกับสิ่งใด ก็คงเทียบได้เพียงว่า...ความงามที่ล่มได้ทั้งสามโลกมันเป็นเช่นนี้เอง...

    จากคุณ : วัสส์ - [ 19 ก.ย. 46 17:53:32 ]