Diary of a madman (เงาอสรพิษ 1 )

    เงาอสรพิษ1

    จิตแพทย์วัยกลางคนนึกถึงเจ้าของสมุดบันทึกเล่มที่อยู่ในมือ คนเขียนเป็นคนป่วยทางจิต รูปร่างผอมสูง ใบหน้าเรียวยาวตารี่เรียว จมูกแหลม ริมฝีปากบาง ตกสะเก็ดและแห้งเหมือนคนขาดน้ำ ผิวหนังเหลืองซีดๆ ทำให้นึกถึงสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขออย่างช่วยไม่ได้

    ห้องทำงานของจิตแพทย์อยู่ชั้นสองของอาคาร ไม่สูงเกินกว่าเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างจะพบใบสีเขียวและกิ่งสีขาวหม่นแกมน้ำตาลของต้นไม้ซึ่งขึ้นอยู่แถวนั้น สายตาหลังกรอบแว่นราคาแพงของหมอก็สามารถมองเห็นผืนฟ้าปนหมู่เมฆหลังเงาไม้ได้ชัดเจน

    อากาศตอนบ่ายค่อนข้างร้อนและอบอ้าว  แมลงสี่ห้าตัวบินวนไปมารอบๆโต๊ะทำความรำคาญให้ไม่มากก็น้อย จิตแพทย์พยายามละความสนใจ มองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านความเขียวชอุ่มของกลุ่มแมกไม้ เห็นกระรอกตัวน้อยวิ่งผ่านไปมาอย่างหาความหมายไม่ได้ ขณะที่นกน้อยสองสามตัวกระโดดโลดเต้นตามกิ่งไม้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาไม่ควรค่าใส่ใจอะไรมากมาย มันก็แค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

    รวมถึงเจ้างูสีเขียวตัวน้อย กำลังถูกกลืนกินด้วยงูสีเดียวกัน หากขนาดใหญ่กว่า ซึ่งกระหวัดรัดเกี่ยวบนกิ่งไม้ ฆาตกรรมหฤโหดเพื่อความอยู่รอดบนม่านสีเขียวสะบัดไหว หางเขียวๆ ของผู้ตกเป็นเหยื่อส่ายถี่เร็วไหวระริกจวบจนลับหายไปในปากกว้างกว้างลำตัวหลายเท่าอันเนื่องมาจากระบบขากรรไกรของสัตว์ประเภทเดียวกันแต่มีลำตัวใหญ่กว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้จิตแพทย์สนใจเท่าใดนัก อีกประการหนึ่งเขาไม่ใช่นักชีววิทยาที่จะมาสนใจกระบวนการล่าและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายแก่ๆของวันนั้น

    เขาจึงไม่เห็นอาการขู่ฟ่อขณะหันมามองของผู้ล่าซึ่งคล้ายเต็มไปด้วยความปรีเปรมหรรษา ขณะคลี่คายขดวงมรณะเลื้อยหายไปอย่างแช่มช้าในแมกไม้ใต้หน้าต่าง ซุ่มดูบรรดานกทั้งหลายซึ่งอาจกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป และต่อไป ...

    ความเป็นความตายดูไม่มีความหมายมากไปกว่าการล่าหรือฆ่าตามกฏธรรมชาติ


    ลายมือขยุกขยิกบนสมุดบันทึกประจำวันก็เกี่ยวกับงูเช่นกัน ตัวอักษรราวกับจะดิ้นได้และเลื้อยปราดออกมาจากหน้ากระดาษ  จิตแพทย์มีเวลาพลิกอ่านอย่างช้าๆและไม่รีบร้อน เพราะอีกนานกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน

    +++++

    พวกมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดใต้เตียง หมกตัวอยู่ในกองเสื้อผ้า แอบอยู่ในกระเป๋าเอกสาร แฝงตัวอยู่ในห้องนอน ใต้ผ้าห่ม ถึงจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นแต่ผมรู้ว่าพวกมันแอบมองอยู่อย่างมุ่งร้ายและเย้ยหยัน การเคลื่อนไหวของมันแผ่วเบาแต่ยังพอได้ยินเพราะต้องการให้ผมได้ยิน มันต้องการอย่างนั้นจริงๆ

    ทำไมพวกมันถึงตามจองล้างจองผลาญเหลือเกินก็ไม่รู้ ทั้งที่ผมเลิกทำงานเกี่ยวกับการส่งงูออกขายนอกประเทศอย่างผิดกฏหมายมานานแล้ว งูพวกนี้สมัยก่อนผมไม่เคยคิดแม้แต่จะกลัวมันเลย งูนับร้อยๆตัวเลื้อยพันกันบิดเป็นเกลียวเลื้อยไขว้สลับสอดประสานพันไปมายุ่บยั่บเคลื่อนไหวในกรงหุ้มตาข่ายเป็นภาพสวยงามและเต็มไปด้วยศิลปะ  ผิวหนังของพวกมันเย็นชืดหยุ่นเหนียวไม่เคยทำให้ผมนึกหวาดกลัวอะไรเลยยามสัมผัส ก็แน่ล่ะ ในเมื่อพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของการทำมาหาเลี้ยงชีพนี่นา จะกลัวมันทำไม

    แต่ไม่ใช่ตอนนี้  เหตุการณ์อันผิดปกติเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง

    ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเหมือนมีอะไรบางอย่างทาบผ่านลำคอ มันกำลังเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างช้าๆและเงียบเชียบ ราวกับอาการโอบกอดสัมผัสลูบไล้แผ่วเบาอย่างมีความหมายของคนรัก  แต่เมื่อประสาทตารับรู้ก็ทำให้ประสาทชาดิก นอนนิ่งไปชั่วขณะอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

    นั่นเป็นงูตัวยาวเฟื้อยตัวลายพร้อยด้วยวงสีดำสลับเหลืองตลอดความยาว เลื้อยพาดผ่านร่างไปอย่างแช่มช้า กลิ่นสาปสาง-ฉุนและเหม็นเขียวชนิดหนึ่งลอยจางๆอยู่ในอากาศ  มันวกหัวกลับมาชูคอขึ้นจ้องหน้าห่างออกไปจากใบหน้าของผมประมาณสองฟุตใ นขณะที่ลำตัวของมันบางส่วนขดพาดอยู่บนลำคอของผมซึ่งยังมึนงงเกินกว่าจะจัดการอะไรได้ จมูกได้กลิ่นที่แสนคุ้นเคยเหลือเกิน กลิ่นของเหล่าอสรพิษร้าย......

     เราต่างจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ลิ้นของมันแลบไหวไปมาวูบวาบรวดเร็วราวประกายสายฟ้ากลางกลุ่มเมฆคะนองฝนซึ่งคำรณคำรามยามผิดฤดู

    งูสามเหลี่ยมตัวเขื่อง

    คุณเคยมองตางูไหม ผมคิดว่าผมเคยมองตาของพวกมัน แต่ไม่เคยมองใกล้และตั้งใจแบบนี้มาก่อน นัยน์ตาของมันเร้นลับแน่วนิ่งอย่างประหลาด หากด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้ น่าแปลกที่มันไม่ยอมง้างหัวฉกลงมาสักที แต่นั่นก็ดีแล้ว เพราะในระยะขนาดนี้ไม่มีทางหลบหลีกได้ทันแน่

    และด้วยความคุ้นเคยในระดับหมองูมือฉกาจ  ผมคว้าลำคอของมันไว้อย่างรวดเร็ว บีบอย่างแรง ในตำแหน่งที่หมองูผู้เชี่ยวชาญรู้ดีว่าทำให้พวกมันไม่สามารถก้มหัวลงมาฉกกัดได้  ลุกขึ้นจากเตียงลากมันไปยังหน้าต่างซึ่งเปิดอ้ารับลมอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน

    “แกแน่มาก..”  ผมคำรามใส่หน้ามันในขณะที่ลำตัวลายพร้อยยาวกว่าสองเมตรเศษๆ ของเจ้างูร้ายพยายามบิดเกลียวพันไปตามข้อมือและหัวไหล่อย่างน่าขยะแขยง  เกล็ดของมันทำให้รู้สึกสากๆคันๆพิกล แต่ความโกรธแค้นมากเกินกว่าจะแยแส  บังอาจมาหยามหยันถึงที่นอน เจ้าเลือดเลือดเย็นชั้นต่ำ..

    “คิดหรือว่าฉันจะกลัว  แกเล่นอยู่กับใครน่าจะสำนึกหัวกะโหลก…”

    อัดหัวของเจ้างูร้ายเข้ากับขอบหน้าต่างอย่างแรงหลายครั้งด้วยพลังแห่งความโกรธเกรี้ยว อัดจนศีรษะของมันแหลกคามือ ลำตัวของมันกระตุกพลิกบิดม้วนไปมาทั้งตายไปแล้วเหมือนปลาไหลถูกย่างไฟสดๆอย่างไรอย่างนั้น นานกว่าอาการกระตุกและบิดเกลียวของมันจะบรรเทาเบาบาง  แต่ยังมีอาการกระตุกอยู่บ้างพอปรากฏให้เห็น

    ลำตัวของมันพันแขนของผมอย่างแนบแน่นเหมือนเชือกพันธนาการตรึงรัดอย่างอาฆาตแค้นจนแกะไม่ออก  สุดท้ายต้องเดินลงไปห้องครัว ใช้มีดหั่นเนื้อค่อยงัดแซะเชือดเฉือนอย่างใจเย็นซึ่งต้องใช้แรงและความพยายามพอสมควร  มันขาดออกเป็นท่อนๆ  ถ้าหากเป็นงูเห่าหรืองูสิงก็อยากจะโยนมันลงกระทะร้อนๆ แต่งูชนิดนี้ผมไม่เคยกิน


    สัตว์อสรพิษตัวนี้ทำบ้านเลอะเทอะ แต่เช้าเลย น่าแค้นใจจริงๆ

    นั่นเป็นวันแรกที่มีโอกาสพิจารณางูซึ่งตายใหม่ๆ ดูอย่างไม่ค่อยตั้งใจนักก่อนจะนำมันไปทิ้งถังขยะหน้าบ้าน

    และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกหวาดกลัวและขยะแขยง  ผิวหนังของมันแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ถ้าดูให้ดียังมีการขยับเคลื่อนไหวไปมาราวกับคลื่นลมในทะเลหากเชื่องช้ากว่า ผิวหนังของมันก็หยุ่นเหนียวน่าเกลียดที่สุด ลวดลายบนผิวหนังบิดไปมาชวนขนลุกกระตุกไหว การพิจารณาอะไรที่ถี่ถ้วนละเอียดมากเกินไปก็ไม่ดี

    ความขยะแขยงครั้งแรกที่มีต่อสัตว์พวกนี้พุ่งพรวดเข้ามาในจิตใจจนตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน  รีบทิ้งซากอันน่าขนลุกขนพองนั่นลงในถังขยะ ให้ตายเถอะ..ทำไมสมัยก่อนถึงจับมันได้อย่างไม่สะทกสะท้านนะ..ไอ้สัตว์น่าขยะแขยงแบบนี้  มุมมองที่มีต่ออสรพิษทุกเผ่าพันธุ์เปลี่ยนไปตั้งแต่บัดนั้น มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่เข้าใจตัวเอง

    ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เท้าไปเหยียบอะไรบางอย่างคล้ายเชือกเส้นใหญ่หากนิ่มและเคลื่อนไหวได้ ผมกระโดดกลับหลัง.. นั่นงูสีคล้ำตัวหนึ่งเลื้อยปราดๆเข้าไปในเขตบ้าน ลำตัวยาวเหยียดสะบัดปราดส่ายไปมาตามสนามหญ้าอันอ่อนนุ่มสวยงามอย่างอหังการ์ ก่อนละลับหายไปกับมุมของตัวบ้าน

    ผมโกรธจนตัวสั่น ทั้งโกรธทั้งขยะแหยง มันคงต่างจากการที่คุณเผลอเหยียบลงไปบนร่างของตัวทาก กิ้งกือ ไส้เดือน หรือสัตว์ที่น่าสยองแหยงพวกนั้น และนี่มันรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้ามันจะเข้ามาต้องเป็นผมลากคอพวกมันเข้ามาไม่ใช่มาแบบพละการแบบนี้ พวกมันถือดีอย่างไร

    คว้าท่อนไม้ได้ท่อนหนึ่ง ก้าวตามไปในทิศทางซึ่งมันหายลับไป มันจะมาหลบอยู่ในบ้านแล้วคอยหัวเราะเยาะเจ้าของบ้านไม่ได้

    ด้านหลังเป็นห้องครัว ถัดออกไปสามสี่เมตรเป็นรั้วบ้านซึ่งมีเศษโต๊ะเก้าอี้เก่าๆวางทับกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ รวมทั้งมัดกระดาษเก่าๆซึ่งไม่ใช้แล้ววางอยู่เต็ม ประตูหลังครัวปิดอยู่ ช่องว่างเพียงนิดเดียวระหว่างบานประตูกับพื้นไม่ใหญ่พอที่สัตว์ตัวขนาดนั้นจะแทรกไปได้ เดาเอาว่างมันคงหลบอยู่ในขยะหลังบ้าน เลยรั้วบ้านออกไปเป็นพื้นที่ว่างเปล่าและมีน้ำขังอยู่ภายใต้วัชพืชท่วมสูง  แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่างูตัวนั้นจะฉลาดพอที่จะเลื้อยข้ามรั้วออกไป ถ้าผมเป็นงูก็คงจะเลือกหลบอยู่ในกองขยะนั้นมากกว่าที่อื่น

    ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปรื้อดูกองขยะพวกนั้น มันเสี่ยงต่อการถูกมันฉกกัดเอาง่ายๆ

    ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันนึกได้ว่าใต้บันใดเก็บกระป๋องทินเนอร์ซึ่งใช้สำหรับผสมยูรีเทนสำหรับทาพื้นบ้านอยู่กระป๋องหนึ่งอันเกิดจากการประมาณการของพวกช่างทาสีบ้านผิดผลาด สมัยสร้างบ้านหลังนี้ใหม่ๆซึ่งก็เป็นเวลาปีเศษแล้ว แต่มันน่าจะใช้งานได้ และสามารถราดลงบนกองไม้เผาเจ้าอสรพิษร้ายให้ตายทั้งเป็นในกองเพลิง แค่หลับตาก็พอมองเห็นภาพลำตัวยาวเหยียดขดไหวไปมาอย่างเจ็บปวดท่ามกลางเปลวเพลิงนรก


    ++++

    +++++

     
     

    จากคุณ : Psycho man - [ 19 ก.ย. 46 21:51:33 ]