เรื่อง คนเขียนป้าย
สมชายหลงใหลในกลิ่นสีและกาวแป้ง ทำให้เขาพยายามอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตายเพื่อสอบเข้าช่างศิลป์ให้ได้ อาจเป็นเพราะสมองทึบแล้วใฝ่สูงหรืออาจเพราะไม่เก่งพอไม่ทราบได้ เขาอยู่กับความผิดหวัง (เหมือนเพลงสายัณห์ สัญญา เมื่อเกือบยี่สิบที่แล้ว)อยู่ปีหนึ่งโดยไม่แตะพู่กันแต้มสีอีกเลย แต่เพราะกลิ่นสีและกาวแป้งมีมนต์ขลังสำหรับกลุ่มคนที่เรียกว่า อาร์ติส ในที่สุดเขาก็หันมาจับพู่กันอีกครั้ง เป้าหมายใหม่เพื่อการประกอบอาชีพเป็นนักเขียนป้าย ขณะนั่งเขียนป้าย ตวัดพู่กันไปบนแผ่นงาน คิดไปคิดมาก็หัวเราะตัวเองเมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน ๆ ขณะที่เพื่อนซึ่งเรียนแย่กว่าเขาสอบเข้าเรียนต่อได้ เขาเองต้องมานั่งรับจ้างทำป้าย วาดภาพประกอบให้กับโรงหนังหลังขดหลังแข็งเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย
เขาอยู่กับงาน กับเงิน กับชีวิต ชีวิตเขาก็เริ่มต่างจากเพื่อนที่เรียนหนังสือออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ห่างหาย เขาคิดถึงเพื่อน คิดถึงการเรียน และจดจำบรรยากาศของรั้วโรงเรียนได้เป็นอย่างดี การคิดถึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเป็นสุข และเป็นทุกข์ในขณะเดียวกัน
สมชายเปิดร้านทำป้ายเองจากเงินออม มีลูกมือฝึกงานสองคน รายได้พอมีเก็บได้เป็นกอบเป็นกำ ลูกค้าของเขามีทุกระดับชั้น ตั้งแต่ป้ายรายการอาหารติดรถเข็นจนถึงป้ายคัตเอาท์ใหญ่ ๆ ตามทางแยก รวมถึงงานอาร์ตที่ออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถจัดคอมโพซิชั่นได้ง่าย รวมถึงการจัดวางสีได้ตามที่ต้องการ ที่จริงเรื่องสีนี้เขาชอบมาก่อนจะมีความคิดที่จะสอบเข้าช่างศิลป์ เพราะสีมักถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างที่ต้องการ สีโทนร้อนให้ความอบอุ่น ร้อน จริงจัง ความรุนแรง และเจ็บปวด สีโทนเย็นจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นกันเอง งดงาม และความสุข แต่มีสีหนึ่งที่ไม่เป็นโทนร้อนไม่เป็นโทนเย็น มีค่ากลาง ๆ นั่นคือสีเหลือง สมชายชอบสีเหลืองมากกว่าสีอื่น อาจเพราะสีเหลืองเป็นสีที่เป็นกลาง ไม่รุนแรง ไม่สนุกจนเกินงาม ไม่ร้อนแรงจนเผาผลาญ อ่อนโยนแต่จริงจัง มีความเป็นกลางเหมือนทางสายกลาง เหมือนจีวรพระ ส่วนคอมโพสิชั่นจะบอกเรื่องราวในภาพที่ต้องการสื่อความหมาย
วันนี้สมชายมีร้าน มีลูกน้อง มีรถขับ มีเงินเก็บ แต่ก็ยังไม่แต่งงาน อายุย่างเข้าสี่สิบแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนบ้างานเป็นบ้าเป็นหลังจนไม่ลืมตามองผู้หญิงคนไหนเลย ไม่ใช่เพราะตั้งสเป๊คผู้หญิงไว้สูงจนหาไม่พบ แต่เพราะเขามีหญิงคนที่เขารักมากตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนบัดนี้ยังไม่อาจรักใครได้ เขาเองก็หวังอยากเจอเธออีกครั้ง ถึงตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะพบ ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร แต่งงานแล้วหรือทำอะไรอยู่ก็ตาม เพียงแค่ได้พบหน้าอีกสักครั้ง
ใครจะบอกว่าอาร์ติสเป็นคนขี้เพ้อฝันและอ่อนไหวก็ตาม เขาก็ยังเป็นสมชายคนเดิม สมชายจรดปลายเท้าเลยทีเดียว ผมเผ้ายาวและรุงรัง สวมกางเกงยีนส์เก่าๆ ที่เปรอะเปื้อนเกรอะกรังด้วยสี หากเขาไม่มีนาฬิกาเรือนทองบนข้อมือคนเห็นก็คงเข้าใจว่าคนเร่ร่อน แต่ในหัวใจของเขาไม่มีใครรู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร นอกจากภาพเก่าเก็บที่เขาเฝ้ามองทุกคืนก่อนนอน ภาพนั้นเป็นเพียงภาพที่ดรออิ้งด้วยดินสอ 2B อย่างสวยงาม มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า นุ่น เป็นภาพหญิงสาวคนรักที่เขาวาดเองกับมือ มันอยู่กับเขายี่สิบกว่าปีแล้ว เก่าเป็นสีเหลืองแม้จะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ในการเก็บรักษาก็ตามที
เธอจะยังคิดถึงฉันหรือเปล่า ป่านนี้เธออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เขาพูดกับตัวเองขณะแต่งตัวไปงานเลี้ยงบ้านเพื่อน พิศตัวเองในกระจก แต่งหนวดเล็กน้อย รวบผมไว้ด้านหลัง แล้วขับฮาเล่ย์คันงามออกจากบ้านไป
งานเลี้ยงจัดแต่งอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อเต็มบ้านและสนามหญ้า เวทีถูกจัดแต่งอย่างดี ม่านเวทีปักชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างสวยงาม เคยไปงานแต่งนับไม่ถ้วน อดคิดไม่ได้ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่ยังไม่ได้แต่งเหมือนคนอื่น เจ้าบ่าวเจ้าสาวอายุยี่สิบต้น ๆ จบการศึกษาและมีการงานทำมั่นคง เขาในฐานะแขกผู้มีเกียรติทางฝ่ายชายถ้ามองดี ๆ แล้วเขาเองมีฐานะเพียงคนรับจ้างในสายตาของสังคมเท่านั้นเอง อายุก็มาก การศึกษาก็ต่ำ รูปร่างหน้าตาก็ใช่หล่อเหลาเอาการพอจะดึงความสนใจของสาว ๆ ได้ พอไว้หนวดเคราตามแบบศิลปินผู้ชอบความอิสระ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนโจรเข้าทุกวัน ดูไร้ค่าเสียเหลือเกิน
.....หวัดดีพี่ หวัดดีน้า หวัดดีพ่อ หวัดดีลุง.... หลายคนแวะเข้ามาทักทาย แล้วก็ขอตัวไปสนุกกับกลุ่มเขาต่อ เขามองหาเจ้าของงาน พ่อเจ้าบ่าว ใช่หละเขาอยู่นั่น ชายวัยเดียวกันกับเขา สวมผ้าไหมราคาแพงอย่างลงตัวกับทองที่สวมเต็มคอ ข้อมือ และบางตำแหน่งของเสื้อ กำลังยกมือไหว้แขกประหลก ๆ อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความภูมิใจที่ลูกคนโตมีฝั่งมีฝา เขาเดินเข้าไปหา
เอ้ย ชาย มาเลย มาเลย เจ้าของงานเรียกอย่างกันเอง กับภรรยาของเพื่อนก็เพียงยิ้มให้ แล้วเจ้าของงานก็ปล่อยให้ภรรยารับแขก ปลีกตัวออกมาหามุมนั่งคุย
เอ้ยชาย ดีใจที่แกมา
งานแกต้องมาอยู่แล้ว เพื่อนฝูงแต่งลูกสักทีไม่มาก็ใจดำเกินไปหละวะ
เออ แล้วเมื่อไหร่แกจะแต่งสักทีวะ ข้ารอไปงานแต่งเอ็งจะแก่ตายแล้วนะโว้ย
พร้อมเมื่อไหร่จะบอก จะให้คำตอบแกเป็นคนแรก
แกพูดมาอย่างนี้กี่ครั้งแล้ววะ ข้าว่าแกพูดอย่างนี้มาสิบกว่าปีแล้วนะ เราแก่ ๆ กันแล้วนา อย่าทำเป็นเล่นไป
ยังหาเจ้าสาวไม่เจอ เจอแล้วไม่รู้เขาจะว่ายังไง
เออ ยังไงก็รีบ ๆ เข้าหละกัน อย่าให้ต้องตายก่อนนะโว้ยชาย
สมชายมอบของขวัญฝากไปให้เจ้าบ่าว หลังจากคุยกันอย่างออกรสตามประสาเพื่อนรักที่คบกันมาเกือบยี่สิบปีเจ้าของงานก็ขอตัวไปรับแขกช่วยภรรยาต่อ สมชายเองก็ไม่ถือสาอะไร คำพูดย่อมมีความหมายต่างกัน กระดกเหล้าสีอำพันในแก้วเข้าปากรวดเดียวแล้วออกไปเดินดูรอบ ๆ บริเวณงาน
เขาเดินเลาะแหวกแขกเหรื่อออกไปทางสนามหญ้า ขณะที่ความคิดเขาล่องลอยไปกับสิ่งต่าง ๆ อยู่นั้น เสียงตะโกนดังขึ้นมา
รถชนคน คนแตกตื่นเข้าไปมุงดู เขาเดินแหวกคนเข้าไปอย่างยากลำบาก เข้าไปได้หน่อยหนึ่งก็เข้าต่อไปไม่ได้อีก
หลีกห่าง ๆ หน่อยครับ ผู้ป่วยจะได้หายใจได้ ถอยหน่อยครับ ถอยหน่อย ใครคนหนึ่งท่าทางเหมือนหมอขอร้องเสียงดัง เขาย้ำอีกหลายครั้งด้วยถ้อยคำสุภาพอย่างเคย ทำให้ไทยมุงถอยห่างออกมาจนเห็นคนที่ถูกชนถูกวงล้อมหลวม ๆ ของคนมุง คนท่าทางเป็นหมอคนนั้นเข้าไปดูอาการพร้อมกับโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลแห่งหนึ่ง พอวางสายเขาก็ต่ออีกสายไปที่โรงพัก ท่าทางเขารู้จักการปฏิบัติต่อคนประสบอุบัติเหตุได้ดีถึงเพียงนี้ทำให้คนมุงปฏิบัติตามเขาอย่างว่าง่าย สักครู่ผู้หญิงที่ถูกรถชนก็ถูกนำส่งโรงพยาบาล
สมชายกลับบ้าน สั่งงานลูกน้องแล้วก็บึ่งไปโรงพยาบาล เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่ามาทำไม ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เขามา มาถึงโรงพยาบาล หญิงที่ถูกรถชนอยู่ในห้องไอซียู สักครู่หมอออกมาจากห้องไอซียู มองและหยุดถามเขาว่า
ขอโทษครับ หมอพูดอย่างสุภาพ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติของคนป่วยหรือเปล่าครับ
อะเอ่อ ขะ ขะ ครับ เขาตอบตะกุกตะกักขณะที่มองรอบข้างแล้วไม่เห็นใครที่พอจะมีท่าทางเป็นญาติผู้หญิงคนนั้นได้เลย
แสดงความเสียใจด้วยนะครับที่หมอจะบอกว่า เธอเสียแล้วครับ หมอบอกอย่างสุภาพและอารมณ์ราบเรียบเช่นเคย
แล้วในตัวเขามีอะไรติดตัวอยู่บ้างไหมครับ
มีสองสิ่งนี้ครับ ภาพถ่ายเก่า ๆ กับจดหมายฉบับหนึ่ง นอกนั้นไม่มีอะไรเลยครับ หมอบอกแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียว เขาขอจดหมายกับภาพถ่ายใบนั้นมาจากหมอ เขานั่งลงข้าง ๆ เตียงของเธอบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ค่อย ๆ ดูภาพใบนั้นอย่างเพ่งพิจ สะท้อนใจวูบเมื่อเห็นภาพเก่าของตัวเองที่ให้ นิ่ม ไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเพื่อเป็นที่ระลึก มองดูใบหน้าของหญิงผู้หมดลมหายใจบนเตียงคนไข้ เธอซีดและซูบ ผมเผ้ายาวรุงรัง แต่เค้าหน้าเป็น นิ่ม ที่เขารักสุดหัวใจ เขามองภาพลายเส้นบนผนังและเฝ้าภาวนาตลอดมาว่าอยากพบเธอสักครั้ง แล้วคำอธิษฐานก็เป็นจริง ได้พบเธอดังที่ปรารถนา แต่ก็แค่ได้เห็น แค่ได้เห็นจริง ๆ
สมชายคลี่จดหมายออกช้า ๆ ด้วยหัวใจใกล้สลาย ลายมือนี้เป็นลายมือเธอที่เขายังจำได้ไม่มีวันลืม ตัวหนังสือยุ่ง ๆ แต่ก็รู้ว่าเป็นความพยายามอย่างที่สุดแล้ว
ชายที่คิดถึงเสมอมา จดหมายฉบับนี้เขียนตอนฉันอายุยี่สิบห้า และไม่แน่ใจว่าเธอจะมีโอกาสได้อ่านมันไหม...
(ได้อ่านสิจ๊ะ ฉันเองก็รอเธอมาตลอด และคิดถึงตลอดมา และไม่คิดด้วยซ้ำว่าเธอจะกล้ารักคนจนอย่างฉันเหมือนที่เธอพูดจริง ๆ)
...ฉันเฝ้ารอเธอกลับมาดังที่สัญญากันตอนเรียนอยู่มอสาม ฉันเองเรียนจบได้ทำงาน กราฟิคที่บริษัทแห่งหนึ่ง มีโอกาสหลายครั้งกับการแต่งงาน แต่ฉันไม่แต่งกับใครแม้ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะฉันมีเธออยู่ในใจตลอดมา ฉันรักเธอ คิดถึงเธอ และรอวันเธอกลับมาขอฉันแต่งงาน เธอเป็นคนที่ผิดสัญญา....
(...ให้อภัยฉันเถิดที่ไม่ได้ไปหาเธออีก ไม่ใช่เพราะฉันไม่รักษาสัญญา ไม่ใช่เพราะฉันไม่ได้รักเธอ ฉันรักเธอ คิดถึงเธอทุกลมหายใจ ฉันเพียงคิดว่าเวลาผ่านไปเธอคงลืมฉันเอง หวังเพียงเพราะให้เธอได้ในสิ่งดีที่สุด และฉันเองก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คนที่ดีที่สุด...)
...ถึงอย่างไรฉันก็ยังรักเธอ ไม่มีเธอฉันจะไม่มีใคร ฉันรู้ว่าเธอคิดมาก เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน ฉันจะตามหาเธอทุกหนแห่ง ฉันจะภาวนาว่าขอให้พบเธออีกสักครั้ง นิ่ม
อ่านจบเขาลุกยืน แล้วโอบกอดศพเธอร้องไห้
(...จะให้ฉันทำยังไง... ความรักไม่ใช่การดึงคนที่รักมาตกต่ำนี่นา ฉันยอมลำบากทุกอย่างเพื่ออนาคต เธอจะได้ไม่ลำบากเมื่อมาอยู่ด้วยกัน เมื่อฉันทำไม่ได้จึงต้องหลีกทางให้เธอได้พบกับคนอื่นที่ดีกว่า พร้อมกว่าทางฐานะทางการเงินและสังคม ฉันหวังจะให้เธอประณามฉันว่าเป็นคนเลว ฉันอยากให้เธอโกรธฉัน หวังให้ความโกรธผลักดันเธอไปสู่จุดหมายที่ดีกว่า ฉันอยากให้เธอเกลียดฉัน ทำไมไม่เกลียดฉันเล่า ? ทำไมไม่เกลียดฉัน)
สมชายรับศพเธอไปบำเพ็ญกุศล ศพของนิ่มตั้งบนศาลาเมรุอย่างเงียบเหงา รูปหน้าศพเป็นภาพลายเส้นแผ่นนั้น เขาเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วดึงกระดาษเก่า ๆ แผ่นหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก กระดาษแผ่นนั้นเขียนด้วยมือของเขาเองว่า วันเกิดนิ่ม....... เขาเก็บมานานแล้วหวังว่าจะมีโอกาสเขียนสุขสันต์วันเกิดบนกล่องของขวัญให้เธอสักครั้ง เขามีโอกาสเขียนจริง แต่เป็นการเขียนครั้งสุดท้ายที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็น เขาเป็นคนเขียนป้ายมาเกือบชั่วชีวิต แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาเขียนไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย สีเลอะด้วยหยดน้ำตา เขียนด้วยความท้อแท้ สิ้นหวัง และรู้สึกผิดจนสั่นเทาไปทั่วสรรพางค์กาย.
โดย
น้ำบ่อทราย
จากคุณ :
น้ำบ่อทราย (babybabe)
- [
20 ก.ย. 46 17:33:52
]