แม้นมยุรินทร์ ตอนที่ 2

    “องค์นาถราชาเสด็จออกไปประทับชนบทคราวนี้คุณไม่ตามเสด็จไปถวายอารักขาด้วยหรือ? กฤษณะ”

    ราชาวดียื่นแก้วเครื่องดื่มให้เพื่อนหนุ่มที่มาเยี่ยมเยือนบ่อยจนสนิทสนมคุ้นเคยกันดี ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่นหรูหรา หล่อนเอ่ยถามเขาอย่างแปลกใจ หน้างามมีเค้าความฉงน

    “ฉันนึกว่าจะต้องไปเสียอีก เห็นว่าอยู่กรมทหารราชองครักษ์...”

    กฤษณะขยับยิ้มนิดหนึ่ง เขาหมุนแก้วในมือเล่น ก่อนจะตอบด้วยเสียงทุ้มเรียบที่มีเค้าความพึงใจปะปน

    “ปกติคงต้องไป แต่ท่านเสนาบดีกลาโหมท่านขอตัวผมไว้ช่วยราชการในกระทรวงมาได้สักสองเดือนแล้ว ถึงไม่ได้ย้ายสังกัดก็เหมือนย้าย ไม่ต้องเข้าไปทำการในสังกัดเดิมอีก”

    “น่าเสียดาย ไม่ได้ไปด้วยกัน”

    หญิงสาวปรารภ ดวงตางามคล้ายจะมีร่องรอยความผิดหวัง...ร่องรอยที่ทำให้เขาใจฟูขึ้นมาอย่างมากมาย

    “ฉันต้องตามไปกับขบวนของท่านพ่อ คงจะไม่มีใครอยู่บ้านเลย ในเขตพระราชฐานก็คงเงียบเหงาไปมาก”

    “ผมอยู่ก็เพื่อความก้าวหน้านั่นละ อยู่กระทรวงทำงานขึ้นตรงกับท่านเสนาบดีอย่างนี้มีโอกาสได้เลื่อนยศมากกว่าอยู่สังกัดกรมอย่างเดิม ถึงจะไม่ได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่สู้กระไรนัก ผลได้ผลเสียออกจะคุ้มอยู่มาก”

    หญิงสาวเหลือบแลมาทางเขาด้วยแววตาที่ยากจะอ่าน หล่อนปรารภขึ้นมาอีกด้วยน้ำเสียงหัวเราะๆ

    “คุณคงอยากจะก้าวหน้ามากกระมัง จะไปไกลถึงแค่ไหนกัน”

    “ก็ไกลที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะไกลได้”

    กฤษณะตอบไปตามตรง ในดวงตามีร่องรอยครุ่นคิด

    “ใครบ้างไม่อยากเป็นหนึ่ง ผมไม่ใช่คนแบบที่จะทนเป็นรองใครอยู่ได้ตลอดไป และก็ไม่อยากเป็นแค่หัวหน้าหน่วยงานกรมกองเล็กๆ ด้วย ผมถึงต้องก้าวให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อย...ก็ต้องเป็นคนที่มีความสำคัญในกระทรวง ไม่ใช่เล็กๆให้ใครใช้งาน”

    “อย่างนั้นหรือ”

    ราชาวดีไม่ได้เอ่ยอะไรต่อไปอีก หล่อนเงียบไปชั่วครู่...เงียบอย่างที่กฤษณะไม่อาจจะเข้าใจ

    ...ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา กฤษณะไม่เคยแสดงภาพให้หล่อนเห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากผู้ชายที่เฝ้ารักและภักดีต่อหล่อนอย่างสุดจิตสุดใจ หล่อนเห็นใจเขาในแง่นั้น แต่สำหรับภาพที่มีอยู่อีกด้าน ราชาวดีปฏิเสธไม่ได้ว่าในเบื้องลึกชายหนุ่มผู้นี้มีวิญญาณของความทะเยอทะยานไม่ยอมหยุดนิ่งซ่อนอยู่ภายใน

    เขาไม่เคยแสดงออกถึงความกระหายอยากมี...อยากเป็นจนออกนอกหน้า แต่ทุกย่างก้าวทุกสิ่งทุกอย่างของเขาไม่มีเลยที่จะไม่เป็นไปเพื่อที่จะได้ขึ้นไปสูงขึ้น...สูงขึ้น ทุกลมหายใจเข้าออกของเขาราวกับจะถูกอุทิศเพื่อความเป็นหนึ่งจนหมดสิ้น ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่นั่นเป็นคนละวิญญาณที่หล่อนมีและเป็น...

    หล่อนไม่เคยคิดว่าด้วยวิญญาณที่ต่างกันนี้ เขากับหล่อนจะสามารถร่วมชีวิตกัน แต่หล่อนไม่อาจจะตัดไมตรีเขา...เมื่อมองเห็นความรักที่เขามอบให้หล่อนอย่างสุดหัวใจ!

    หญิงสาวยิ้มและเสพูดไปเรื่องอื่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาอย่างสงสัยและแปลกใจ

    “กำลังคิดถึงเรื่องสภาพแถวชายแดนรัชชนครน่ะ คุณเคยไปหรือเปล่ากฤษณะ ได้ยินว่าภูมิประเทศงามมากไม่ใช่หรือ?”

    ชายหนุ่มสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย ความทรงจำวูบไปถึงบ้านเกิดและบิดามารดา จริงสิ...เขาเองก็ควรไปพบท่าน...นับจากวันที่เขาดิ้นรนขอย้ายสังกัดเข้ามา เขาก็ห่างจากที่ราบลุ่มเขียวขจีแถบนั้นมาจนแทบจะลืมเลือนภาพงดงามนั้นไป

    “ก็งามอยู่ แต่จะสะดวกเหมือนในนี้ได้อย่างไรกัน”

    “ฉันก็ไม่ได้คาดหวังความสะดวกอันใดนี่นะ”

    ราชาวดีย้อน หล่อนหัวเราะเสียงใสในแบบที่เขาคุ้นเคย

    “อยากจะเห็นเหมือนกันว่าที่เขาว่าชนบทมันเป็นอย่างไร พวกเราเกิดในนี้ไม่ได้รู้หรอกว่าเขาอยู่กันจริงๆอย่างไร ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็คงดี”

    “อย่างคุณ...ออกไปก็คงไม่ได้อยู่ไม่ได้เห็นอย่างที่เขาเป็นกันจริงๆ”

    กฤษณะหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือขม

    “ออกไปอย่างนี้ก็คล้ายกับเรื่องสนุก คงไม่มีทางได้รู้...ว่าทำไมคนที่นั่นจึ่งต้องดิ้นรน จากบ้าน จากพ่อแม่... เพื่อเข้ามาแย่งชิงหาความเจริญกันข้างในนี้...”

    น้ำเสียงนั้นทำให้ราชาวดีต้องชะงักไปเป็นครู่ เขาพูดเหมือนคนที่เคยเจอสภาพจริง เจอเบื้องหลังที่ต้องดิ้นรนอย่างนั้นมาจริง... เป็นได้ไหมว่านี่คือพื้นหลังของเขา พื้นที่ทำให้เขาเปลี่ยนวิญญาณเป็นคนที่ไม่ยอมหยุดยอมเป็นรองผู้ใด

    เมื่อหล่อนพบกับเขา เขาเป็นคนในสังคมเดียวกับหล่อนแล้ว... แต่จะเป็นได้ไหม ว่าที่แท้เขาถีบตัวเองขึ้นมาไกลจากพื้นสังคมระดับล่าง...ระดับเดิมที่สกุลเขา...พ่อแม่เขาเคยอยู่มา...

    “คุณเคยเห็นอย่างนั้นหรือ?”

    คำถามที่ออกจากปากหล่อนทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักไปบ้าง หน้าคมคายเผือดไปอย่างเก็บระงับอาการไว้ไม่อยู่

    อาการนั้นทำให้หญิงสาวพอจะคะเนอะไรบางอย่างได้ สิ่งที่หล่อนคาด...น่าจะจริง ไม่ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไรก็ตาม

    กฤษณะเม้มปากเข้าน้อยๆ เขาควรจะบอกว่าไม่...ใช่ไหม? ในเมื่อทุกสิ่ง ทุกบทบาทที่เขาเล่นตลอดหลายปีมานี้ เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะตัดตัวเองออกจากสังคมเดิมที่เขาได้เดินจากมา สังคมที่หากเขายอมรับว่าเป็นของเขา ความเป็นหนึ่ง...เป็นคนในสังคมชั้นสูงอย่างที่เฝ้าใฝ่ฝันมาแต่เล็กก็คงเป็นแค่ความฝันที่ล่มสลายยามเมื่อตื่นจากนิทรา...

    เขาบอกหล่อนไม่ได้...แต่เขาจะโกหกหล่อนได้อย่างไร? เขาไม่อาจหลอกลวงผู้หญิงคนเดียวที่เขาหลงรักหลงรอมานานขนาดนี้ได้ หล่อนเป็นความฝันที่สำคัญที่สุดของเขา และหล่อนก็ควรจะได้รับรู้ทุกสิ่งที่เขามีและเป็นไม่ว่าเรื่องใด

    การโกหกหล่อน ก็คงจะเหมือนกับการโกหกตัวเอง และคงเหมือนกับการทรยศความไว้วางใจของบุพการี เหมือนกับดูถูกความเป็นท่านที่เลี้ยงดูเขามา

    แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งหล่อนก็ยังไม่ใช่คนคนนั้น! เขาจะบอกหล่อนได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นการล่มสลายของหน้ากากทางสังคมของเขา...

    ควรหรือ? ที่เขาจะเอาความฝันทุกๆอย่างที่เพียรสร้างเพียรตะเกียกตะกายตามมานานนับปีมาสะดุดหยุดลงที่ทางตันเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว...คนที่ไม่เคยทำให้เขาแน่ใจแม้สักนิดว่าหล่อนคือคนที่จะอยู่ ณ ที่นั้นเพื่อเขา

    แน่นอน คำตอบที่เขาได้รับกลับมานั้นก็คือ...ไม่ควร

    กฤษณะกลั้นใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนเขาจะตอบด้วยเสียงที่มั่นคงอย่างน่าแปลก

    “ก็เพียงเคยเห็น...แต่ไม่เคยเจอ”

    “อย่างนั้นหรือ?”

    หญิงสาวย้อนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไรนัก ดวงตางามมีรอยผิดหวังเจืออยู่จางๆอย่างที่ยากจะเห็นได้หากไม่ตั้งใจสังเกตจริงๆ ทำไมเขาต้องโกหก?

    “ใช่...ผมเป็นคนชายแดน แต่ก็ยังมีโอกาสดีกว่าบางคน จึงได้มาถึงระดับนี้”

    เขาไม่ได้โกหก...เว้นแต่คำ...ไม่เคยเจอ! ชายหนุ่มเอ่ยต่อเมื่อเห็นแววคลางแคลงในดวงตากระจ่างที่เคยรื่นรมย์คู่นั้น ด้วยความจริง...อีกครึ่งหนึ่ง...

    “คุณก็คงรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในสกุลผู้ดีมาแต่เดิม ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับคุณ แต่อย่างไรก็ไม่ได้ลำบากลำบนถึงขั้นต้องดิ้นรนขนาดนั้น”

    ราชาวดีฝืนหัวเราะ แต่กังวานใสที่เคยมีบัดนี้เหือดหายราวผลึกแก้วผลึกเดิมนั้นร้าวรานไป

    “ฉันก็ยังไม่ได้บอกคุณสักคำว่าฉันคิดว่าคุณอยู่ในระดับใด”

    “อย่างนั้นหรือ?”

    เขาย้อนถามด้วยถ้อยคำล้อกัน หากทว่าสีหน้านั้นกลับขรึมและหมองลงจนผิดตา น้ำเสียงเกือบจะกร้าวบ่งบอกว่าเจ้าตัวจวนเจียนจะสิ้นความอดทน

    “ก็คงจะเป็นเพราะผมร้อนตัวไปเองกระมัง? คงเพราะรู้ตัว...ว่าไม่ใช่คนระดับที่เหมาะสมกับคุณ ถึงตอนนี้จะมีตำแหน่งพอจะเผยอขึ้นมาสู้หน้า แต่หากดูกันจริงๆ ใครเขาจะยอมรับคนไม่มีชาติตระกูลให้เป็นคู่ของบุตรีเสนาบดีมหาดไทย?”

    “คุณคิดอย่างนั้นหรือ? คิดจริงๆหรือว่าเรามองคนกันตื้นเพียงนั้น?”

    ราชาวดีออกอุทานด้วยน้ำเสียงผิดหวัง...น้ำเสียงที่ทำให้ความอดทนของเขาขาดผึง

    “ก็แล้วมันไม่จริงหรือไรกันเล่า? กล่าวว่ามิได้มองคนที่เปลือกที่ชาติตระกูลนั้นผู้ใดก็กล่าวได้ แต่จริงๆใครเล่าจะทำได้อย่างนั้น?”

    ถ้อยคำที่ย้อนมาทันควันนั้นทำให้หญิงสาวสวนออกไปบ้างด้วยเสียงเข้มอย่างคนที่ไม่เคยเป็นรองผู้ใด

    “คุณไม่ควรจะพูดออกมาเช่นนั้นเลย อย่างน้อยก็ฉันคนหนึ่ง...ไม่”

    กฤษณะหัวเราะเสียงขมอย่างที่หล่อนไม่เคยได้ยิน เขากล่าวเสียงสูงๆต่ำๆอย่างล้อเลียน

    “คุณจะคิดหรือไม่คิดมันก็ไม่สำคัญอันใดนัก ในเมื่อจริงๆคุณก็ไม่มีทางเข้าใจ คุณไม่เคยอยู่ต่ำคุณจะรู้อย่างนั้นหรือว่าความไม่มีอะไรเลยรสชาติมันเจ็บแสบขนาดไหน จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ผมไม่ขออยู่ตรงนั้น”

    “แล้วฉันห้ามอย่างนั้นหรือว่าไม่ให้คุณทะเยอทะยาน?”

    “ก็อาจจะไม่...”

    “ฉันเพียงแต่อยากให้คุณยอมรับความเป็นจริงเท่านั้น...”

    “ก็แล้วมันเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ?”

    อารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของกฤษณะกลับพลุ่งขึ้นมาอีก ประกายตาของเขาคมจัดราวกับมีดแล่เนื้อ

    “ถ้าหากผมยอมรับ คุณคิดว่าคนในสังคมนี้สักกี่คนที่จะยอมรับอย่างที่ผมเป็นอยู่ ยอมรับพื้นเพชาวบ้านนอกที่ไม่มีพื้นฐานมีภูมิรู้อะไร หาเรียนเอาจากนอกตำราทั้งนั้น คุณคิดว่าเพื่อนชาววังของคุณจะยอมรับไหม? คุณคิดว่าจะมีใครยอมให้ผมมีตำแหน่งสำคัญๆ อย่างเสนาบดีกลาโหมได้ไหม?”

    “ฉันไม่ได้คิดจะให้คุณยอมรับทั้งหมด”

    ราชาวดีขัดขึ้น...ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

    “แต่อย่างน้อย ก็ต้องยอมรับกับตัวเอง ยอมรับกับฉัน อย่างน้อย...ถ้าคิดจะเป็นเพื่อน ก็ไม่ต้องมาโกหกกัน!”

    น้ำเสียงเย็นเยียบที่กระแทกลงไปนั้นทำให้เขาค่อยรู้สึกตัว ชายหนุ่มถอนใจ เขาพึมพำ

    “ผมขอโทษ...”

    สีหน้าของราชาวดีค่อยดีขึ้น หล่อนฝืนหัวเราะ...แต่กังวานของแก้วใสบัดนี้แตกกระจายอย่างไม่อาจหวนคืน เหลือเพียงความนุ่มนวลที่ยังคงหุ้มอำพราง

    “ฉันก็ต้องขอโทษที่ยุ่งเรื่องของคุณจนเกินไป แต่อย่างไรถ้ายังอยากคบกันอยู่ เราก็ไม่ควรหลอกลวงกัน”

    “ผมรู้...” ชายหนุ่มพึมพำ ใบหน้าหม่น...

    ...แต่อย่างไรคุณก็คงยังไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจ!

    จากคุณ : วัสส์ - [ 21 ก.ย. 46 00:04:10 ]