การตายอย่างสงบ (หมายเลข 7)

    ต้นเจอกับแพรวครั้งแรกที่ด้านหลังร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ขณะที่แพรวนั่งพิงพนังอยู่บนพื้นใกล้ๆ ประตู ต้นเดินออกมาจากในร้านผ่านด้านหลังของเธอไป  เขาออกมายืนสูดอากาศได้สองสามทีแล้วก็โก่งตัวอาเจียนเอาเหล้า เบียร์ และกับแกล้มออกมา  แพรวซึ่งคงกำลังนั่งทำอะไรอยู่เห็นแล้วรู้สึกสงสาร จึงเดินโซเซมาลูบหลังให้  เธอพาเขามานั่งข้างๆ ให้ได้พัก  ระหว่างนั้นเธอก็เอาเครื่องมือสูบเล็กๆ มาคาบไว้และจุดไฟแช็ค ตาของเธอลอยเมื่อเธอสูดเอาควันสีขาวนั้นเข้าไป
    "เคยหรือเปล่า?"
    "มันคืออะไรอ่ะ?"
    "ลองดูก็ได้"
    เขาเอื้อมมือจะไปรับ แต่เธอกลับชักมือเอาไว้ก่อน
    "ปากยังเปื้อนอ้วกอยู่เลย ไปบ้วนปากซะก่อนเถอะไป"
    "อ่อ. . . ขอโทษที"
    ต้นค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินเงอะงะไปที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ เขาเอาน้ำลูบหน้า บ้วนปาก แล้วก็เอาน้ำล้างหน้าอีกที  เขารู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไปอาเจียนเป็นครั้งที่สองในส้วม  เขาออกมาล้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก  เขาเดินออกไปตรงที่เดิม ก่อนจะพบว่าเธอหายไปแล้ว

    ในร้านมีคนพลุกพล่าน เขาเดินไปมาเพื่อหาเธอแต่ไม่พบ  เขากลับไปนั่งกับเพื่อน ไม่นานทุกคนก็เริ่มแยกย้าย  เขาเดินออกจากร้านแต่แล้วก็เดินย้อนกลับไปนั่งรอด้านหน้าร้าน ปล่อยให้เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันกลับไปก่อนโดยไม่ให้เหตุผล  เขารอจนกระทั่งร้านปิด ผู้คนแห้งหาย เธอก็ไม่ได้ปรากฏกายขึ้นมา  หรืออาจจะเป็นได้ที่เธอเดินออกไปแล้ว เดินผ่านตาของเขาด้วย เพียงแต่ว่าเขาจำเธอไม่ได้แล้ว

    เขาเรียกเธอว่าแพรว  เพราะว่าชื่อนี้ดูเพราะดี มันให้ความรู้สึกระยิบระยับ เคลื่อนไหวและงดงาม

    เวลาผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อยหลังจากคืนนั้น  วันและคืนหลอมกลายเป็นสิ่งเดียวกัน คือช่วงเวลาของการรอคอย  พระอาทิตย์ พระจันทร์ หมดความแตกต่าง เหลือเป็นแค่วัตถุกลมบนฟ้าเปื้อนเมฆ  ประกายตาของแพรวยังวนเวียนมาย้ำเตือน ทั้งๆ ที่ภาพของใบหน้าของเธอค่อยๆ ซีดจางลงไปตามเวลาที่หมุนผ่าน แต่ต้นเชื่อว่าถ้าได้พบเจออีกเพียงสักครั้ง เขาจะจำเธอได้แน่ๆ

    ทุกเย็นวันศุกร์เขายังคงแวะเวียนไปที่ร้านเดิม  แม้ว่าเพื่อนฝูงของเขาจะไม่มาที่นั่นแล้ว  เบียร์หนึ่งขวดกับอาหารแกล้มหนึ่งอย่าง  โต๊ะที่เดียวดาย  เขาเป็นดั่งจิ้งจอกเดียวดาย ไปไหนลำพัง  แต่ไม่ใช่เพราะว่าความทะนง แต่เป็นเพราะว่าเขายังไม่มีใครที่พร้อมจะมาเดินข้างๆ  เขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนักว่าเธอจะแวะหวนกลับมา  แต่ในค่ำคืนอย่างนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการปล่อยเวลาให้อยู่กับความฝัน

    เขาตื่นขึ้นเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาในร้าน  เขาลุกขึ้นเดินไปหาเธอ  โชคเป็นของเขาที่เธอมาคนเดียว  หรือว่าเธอจะมาคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว?  เขามิอาจทราบได้  แต่ตอนนี้เขาก็เดินเข้าไปทักเธอแล้ว  เธอทำหน้าสงสัยนิดหน่อย แต่ชั่วอึดใจเธอก็จำได้  มันออกจะน่าประหลาดที่เธอยังจำเขาได้  "ยังอ้วกอยู่อีกหรือเปล่า?"  เขายิ้มตอบแบบอายๆ  "เธอจำมันได้ยังไง"  "เธอเคยรู้หรือเปล่าล่ะ ว่าเธอลืมเรื่องบางอย่างเพราะอะไร?"  เขาส่ายหน้า "มันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ" เธอพูดแบบรำคาญนิดหน่อย "การที่ฉันจำได้ หรือการที่ฉันลืม มันก็สำคัญมากพอแล้ว. . . มากกว่าคำตอบของคำถามว่าทำไมของเธอเสียอีก"
    "มาคนเดียวเหรอ?" เขาถามด้วยความหวังว่าจะชวนเธอมานั่งโต๊ะเดียวกัน

    เขามองหน้าเธอขณะที่ดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่
    "มองอะไรเหรอ?"
    "มองหน้าเธอนั่นแหล่ะ"
    "ฉันน่ารักมากเลยเหรอ?"
    "เปล่า"
    เธอหัวเราะให้กับคำตอบของเขา  "นี่เธอเวลาคุยกับผู้หญิงเขาไม่พูดกันแบบนี้หรอก"
    เขายักไหล่และชวนคุยต่อ "มาที่นี่บ่อยมั๊ย"
    "ไม่หรอก โดยปกติไปที่อื่นอ่ะ"
    "เที่ยวบ่อยเหรอ?"
    "ทุกวันแหล่ะ"  เธอพูดเหมือนอย่างจะภูมิใจ
    "โหย"
    "ทำไมเหรอ เธอเองก็ท่าทางจะเที่ยวบ่อยไม่ใช่ย่อย"
    "ไม่หรอก"  

    คล้ายว่าจะไม่ใช่. . . ต้นถามกับตัวเองอีกครั้งว่าคนนี้หรือ ที่เขาเฝ้ารอคอยอยู่นาน  ที่เขาอุตสาห์แวะมาที่ร้านนี้ซ้ำไปซ้ำมา  วันนี้คล้ายไม่ใช่เธอคนเดิมคนนั้น  แต่เมื่อเขามองเธออีกครั้งเขาก็มั่นใจมากๆ ว่าไม่น่าจะเป็นคนอื่น

    ระหว่างที่คุย เธอหลบตาเขาครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้น เขาเหมือนจะเห็นประกายตาที่เขาโหยหา. . . มันตอกย้ำว่าที่จริงแล้ว เขากำลังค้นหาแววตาที่โศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ของเธอ
    "ท่าทางเธอเหมือนไม่ค่อยสบายใจ"
    "ถามดีนะ" เธอยิ้ม "ทุกคนมันก็มีเรื่องไม่สบายใจทั้งนั้นแหล่ะ ที่มานั่งกินเหล้าเบียร์อยู่อย่างนี้"  เมื่อตอบเสร็จเธอก็นั่งเงียบและหันไปมองวงดนตรีเล่น  เขานั่งเงียบเหมือนรอให้เธอพูด

    ขณะนั้นเหมือนเวลาจะเดินช้าเหลือเกิน

    เธอหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนจะบอกออกมาว่า "พ่อกำลังจะตาย" และหลบตาเขาไปมองที่เวที

    พ่อกำลังจะตาย แต่เธอมานั่งกินเบียร์อยู่อย่างนี้?  

    คงจะเป็นเพราะว่าเธอกังวลมาก  เขาเข้าใจสถานการณ์ของเธอได้ดี. . . การที่คนในครอบครัวกำลังเจ็บป่วย และเธอไม่สามารถจะทำอะไรได้คงเป็นความทุกข์อย่างสาหัส  ด้วยหวังจะปลดตัวเองออกจากโลกรอบข้างที่เต็มไปด้วยภาระบ้าง  เธอคงจะมาเที่ยวอย่างนี้เป็นครั้งคราว  เขามองดูเธอด้วยความเห็นอกเห็นใจที่มีอย่างล้นปรี่  เธอหันกลับมามองยังเขาอีกครั้ง  "แต่แปลกมะ ฉันออกจากบ้านมาเที่ยวอย่างนี้ทุกคืน"

    คำถามและคำแนะนำเชิงสั่งสอนผุดขึ้นเป็นพรายฟองในใจของต้น  เขารู้ว่าถ้าเขาพูดออกไปเธออาจจะเดินออกไปจากโต๊ะของเขา และอาจจะออกไปจากชีวิตของเขาเลยก็ได้  แต่เขาก็อดไว้ไม่ได้และพูดออกไปเบาๆ  "แล้วคุณพ่อไม่เป็นห่วงแย่เลยหรือ?"  

    เธอหันกลับมา  เขาคาดว่าเธอโกรธ เขาเดาเอาเองว่าในใจของเธอคงก่นด่าเขาอยู่ว่าเขาเป็นใครกันมาเที่ยวสั่งสอนคนอื่น คนที่แทบไม่รู้จักกันเลยได้  เธอส่ายหน้าและจิบเบียร์  "พ่อไม่รู้"  

    "พ่อไม่รู้" เธอย้ำอีกครั้ง "เพราะว่าตอนกลางวันฉันอยู่กับพ่อตลอดเวลา ดูแลท่านตลอดเวลา. . .  เป็นไงล่ะ?  เธอคงเลิกคิดว่าฉันเป็นคนไม่ดีแล้วสินะ"  เธอพูดและยิ้ม "ทุกคนก็อย่างนี้  ตัดสินกันก่อนที่จะได้รู้เรื่องทั้งหมด"
    "ขอโทษ"
    "ฉันไม่โกรธหรอก. . . ชินแล้วน่ะ"  เธอหัวเราะอีกครั้ง

    ต้นนั่งเงียบไปสักพัก  เขาค่อยศึกษาใบหน้าของแพรวที่อยู่เบื้องหน้า  เธอก็มีหน้าตาธรรมดา  ไม่ได้สวยสะดุดตาขนาดที่จะทำให้ใครเก็บไปฝันไปเพ้อได้

    ในช่วงที่บทสนทนาหยุดนานเป็นครั้งที่สอง "ทำไมเงียบไปล่ะ"  เธอถามขึ้น  "ไม่มีอะไรจะสอนฉันแล้วเหรอ?"
    "อ่อ" เขาคิดก่อนจะหลุดปากถามต่อไปว่า "แล้วแม่ล่ะ. . .  แม่ไม่เป็นห่วงหรือ?"
    "แม่ไม่มีสิทธิ์"  คำพูดของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์  "แม่ไม่มีสิทธิ์จะมาว่าอะไร. . . หรือจะขออะไรจากฉัน. . . เพราะว่าแต่ละวันแม่ไม่เคยแม้แต่จะดูแลพ่อ  แม่มัวแต่ไปวัดโน้นวัดนี้  แม่อ้างแต่ว่าไปบนบาน  แม่บอกว่าแม่ไม่มีหลัก  แม่เอาแต่บอกว่าแม่ต้องไปพึ่งพระ  ทั้งๆ ที่พ่อนอนจะตายอยู่ตรงนี้ แม่กลับไม่ดูแล ปล่อยให้ฉันนี่แหล่ะ เป็นคนเดียวที่อยู่ตลอดเวลา"
    "ดังนั้น เวลาตอนกลางคืนก็ควรจะเป็นของเธอ?"
    "ไม่ใช่เหรอ?  ฉันดรอปจากมหาวิทยาลัยมาเพื่อดูแลพ่อ  เวลากลางวันฉันให้พ่อ  แต่กลางคืน เวลาที่พ่อนอนหลับ ขอเป็นเวลาของฉันบ้างไม่ได้เหรอ?"
    "เธอพูดมันก็ถูก"
    "การดูแลคนป่วยน่ะ ไม่ธรรมดาเลยถ้าเธอรู้ว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาดีอย่างเดิมได้อีกแล้ว. . .  สภาพของพ่อก็มีแต่ทรงกับทรุด  อาการที่ดูเหมือนจะดีขึ้นก็เป็นแค่การที่ฉันหลอกตัวเอง หลอกและให้กำลังใจพ่อ  พ่อก็รู้ว่าฉันหลอกเขาอยู่  แต่ทำอย่างไรได้  ทุกคนก็ต่างจะทำให้คนอื่นๆ สบายใจที่สุดอยู่แล้ว. . .  แค่การทำหน้าสดใจ ทำท่าทางว่ามีกำลังใจ มันทำกันได้อยู่แล้ว แต่ข้างใน. . . ข้างในเธอรู้ไหม. . .  มันเปื่อยยุ่ยไปหมด"  เธอพูดไปส่ายหน้าไป

    ต้นนึกถึงภาพพ่อของแพรวนอนอยู่บนเตียง  เขาตื่นอยู่และรู้ว่าลูกสาวนั้นออกจากบ้านไปอีกแล้ว  มันเป็นอย่างนี้ทุกคืน  เขาไม่อาจข่มตาหลับลงได้จนกว่าจะได้ยินเสียงรถของลูกกลับมาเสียก่อน  มันคงไม่แย่อย่างนั้น

    "เธอถามฉันมามากแล้ว"  เธอเริ่มบทสนทนาขึ้นมาใหม่ "ฉันถามเธอบ้างแล้วกัน"
    ต้นพยักหน้า
    "เธอจะไปเต้นกับฉันได้ไหม?"

    ต้นตื่นขึ้นมาพร้อมกับการที่ความทรงจำเมื่อคืนมีสภาพแหลกเป็นเสี่ยงๆ  ภาพตอนที่เขาคุยกับเธอนั้นมองดูรางเลือน และเหมือนว่าภาพตอนที่เขาเล่าเรื่องให้เธอฟังเมื่อตอนเต้นจะคอยแทรกเข้ามาเรื่อยๆ  เขาปะติดปะต่ออะไรแทบจะไม่ได้  เขายังไม่ทราบเลยว่าชื่อจริงๆ ของเธอคืออะไร. . . ไม่สิ เขาถามเธอแล้ว. . . "เธอจะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ ตามแต่ใจของเธอ"
    "แพรว"
    "ไม่ได้หรอกชื่อนั้น  มันเชยไป. . . เอาเป็น พราวได้มั๊ย"
    "ได้สิ"
    ชื่อพราว. . . ก็เหมือนกับแพรว เพียงแต่ว่ามันถูกใช้น้อยกว่า  มีที่ทางเฉพาะเจาะจงกว่า  มันจะถูกใช้แต่ละครั้ง ต้องเป็นเพราะว่าคนเลือกได้บรรจงจัดคำนั้นวางลงไปเท่านั้น  เขาชอบชื่อใหม่ของเธอเหลือเกิน

    จากคุณ : ทัศนา - [ 22 ก.ย. 46 00:11:29 A:203.170.154.120 X: ]