2 / 13 *()* มาแร้นนนจ้า…

    ตอนเป็นวัยรุ่นวุ่นเลิฟ มองอะไรๆก็ใสไปหมด ถึงแม้ในความเป็นจริง ชีวิตจะขุ่นคลัก แต่ด้วยเป็นวัย (กวนส์) ทีน โลกที่หม่นจึงสดใสได้เพราะมีเพื่อนๆคอยเป็นพี่เลี้ยงบำเรอจิตใจ

    ย้อนมองไปเมื่อจบชั้นประถม 7 ตอนนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตเด็กวัย 12 ย่าง 13 อย่างฉันทีเดียว เพราะเพื่อนๆต่างหาทางไปเรียนต่อที่อื่นกันหมด ส่วนใหญ่ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนของรัฐ ที่อยู่ใกล้ๆแถบถิ่นสถานบ้านฉันนั่นแหละ

    ฉัน… ผู้ซึ่งกลัวพ่อเป็นอย่างมาก ต้องฝ่าความกลัวเข้าไปบอกพ่อว่า จะขอสอบเข้าโรงเรียนดังกล่าว เหตุผลคือ “ตามเพื่อน” ไม่ทราบพ่อคิดอย่างไร แต่ก็ให้ไปลองสอบดู ปรากฏว่าสอบได้ เลยได้เรียนที่นี่ พร้อมเพื่อนที่มาจากชั้นประถมด้วยกันอีกจำนวนพอสมควร ฉันอุ่นใจ…

    พอได้เข้าเรียน มศ.1 อยู่ห้อง 1 / 11

    ก่อนอื่น ขอสาธยายเพื่อความกระจ่าง โรงเรียนนี้ เป็นโรงเรียนสตรีของรัฐที่ดังมาก  แต่มีสาขาสอง โดยรับนักเรียนชายด้วย เนื่องจากตอนนั้นโรงเรียนนี้เป็นที่ฮิตมาก และเพิ่งเปิดกิจการมาไม่กี่ปี จึงมีอาคารเรียนไม่พอดีกับจำนวนนักเรียน

    ห้อง1 / 11 – 1 / 13 จึงต้องเรียนที่ “ศาลาวัด” ที่อยู่ติดโรงเรียน โดยที่ในบริเวณโรงเรียนเอง ก็มีห้องหลังคามุงจากและเต๊นท์ให้นักเรียนเรียนแก้ขัดอยู่หลายปี

    พวกที่เรียนศาลาวัด ต่างรู้สึกอนาจตัวเองมาก เวลาฝนมาที ไม่ต้องเรียนกัน เพราะฝนซัดสาดครึ่งห้อง แต่ก็สนุกดี ห้องที่ฉันเรียน 1 / 11 มีแต่หญิงล้วน วิชาที่จัดมาให้เรียนก็ตามกฏกระทรวงฯ แต่มีอยู่วิชาหนึ่ง ที่นักเรียนทั้งห้องได้รับความอนุเคราะห์จากคุณครูให้สอบผ่านทั้งห้องโดยไม่ต้องดูคะแนน นั่นก็คือ วิชาไฟฟ้า!

    พอถึงวิชานี้ทีไร นักเรียนทั้งห้อง พร้อมใจกันปั้นหน้าโง่ๆ ใส่ครู จนครูปลงและสงสาร เพราะสอนอะไรมัน มันก็เด๋อ เอ๋อ อ๋า ฉันสังเกตว่า ครูเองก็อนาถกับหลักสูตรที่ตัวเองต้องจำใจสอนอยู่เหมือนกัน ครูเลยไม่จริงจังเรื่องคะแนนมากนัก  

    รัฐบาลคงเล็งเห็นเรื่องความเสมอภาคทางเพศตั้งแต่ในยุคนั้น เพราะขณะที่นักเรียนหญิงปวดกบาลกับเรื่องไฟฟ้า นักเรียนชายโรงเรียนชายล้วนกลับเคร่งเครียด เอาเป็นเอาตายกับวิชา “เย็บปักถักร้อย”  *--*! (ฉันสืบทราบภายหลังจากสามีฉันเอง)

    และแล้ว… อาการแผลงๆก็ส่อก่อ กำเนิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้ตั้งแต่เทอมแรกเลย กล่าวคือ เหล่านักเรียนห้อง 1 / 11 พร้อมใจกันจัดโต๊ะเรียนตั้งติดกันเป็นพรืด ไม่มีเว้นวรรค ติดกันทั้งข้างหน้าและข้างๆ กระจุกกันเป็นก้อน แน่นอน… ฉันยื่นความจำนงค์นั่งอยู่ตรงช่วงกลางๆ เวลาจะออกจากโต๊ะที ต้องปีนเก้าอี้ออกมา คุณครูเคืองเหมือนกัน และบอกให้ตั้งโต๊ะตามระเบียบ แต่ไม่มีใครทำตาม

    พอเทอมสอง ห้อง 1 / 11 ได้เลื่อนขั้นขยับ เข้าเรียนในเขตโรงเรียน นักเรียนห้องนี้ดูมีราศีขึ้นทันตา เมื่อได้เข้ามาเรียน “ในเต๊นท์!” ซึ่งอยู่ติดๆกับนักเรียนรุ่นพี่ ที่เขามีห้องเรียนดีดีเรียน แต่เอาวะ อย่างน้อยๆ ก็ได้เรียนในเขตโรงเรียน ดีกว่าเรียนที่ศาลาวัดเป็นไหนๆ ( Class ต่างกัน )

    นักเรียนรุ่นนี้มักถูกมองด้วยสายตาล้อเลียนเสมอ อาย แต่ทำไงได้ คราวนี้การจัดโต๊ะของห้องเรายังจัดติดกันเป็นพรืดเหมือนเดิม แต่มีครีเอท คือจัดเป็นรูปครึ่งวงกลม และแน่นอน ฉันจองที่นั่งตรงกลางๆ กลัวครูเข้าถึงตัว ครูก็บ่นไปสิ แต่นักเรียนห้องนี้ดื้อด้านมาก เฉย! เชื่อไหม ทั้งโรงเรียน ไม่มีใครเขาเป็นแบบอีเด็กห้องนี้ แล้วนี่เป็นนักเรียนใหม่ปีแรก ที่ขำก็คือ ครูถามว่า ทำไมจัดโต๊ะแบบนี้ มีนักเรียนคนหนึ่งบอกครูหน้าตาเฉยว่า “กันอาจารย์เข้าถึงตัวไงคะ” แจ๋ว!

    โรงเรียนนี้ นับว่าเป็นโรงเรียนรัฐที่หรรษามาก ช่วงพักเที่ยงจะมี วงดนตรีของนักเรียนมาขับกล่อมให้กินข้าวอร่อยขึ้น และวันดีดี ก็จะมีพี่ศิลปินศิษย์เก่า ที่ไปโด่งดังเป็นนักร้องมาขับกล่อมให้เบิกบานอุรา

    ในช่วงคาบเวลาเรียน ก็จะมีการจัดประกวดโน่น นี่ นั่น เช่น ประกวด โฟล์คซอง เดี่ยว กลุ่ม ประกวด ร้องเพลงไทยเดิม คือกิจกรรมเพรียบ ฉันและเหล่าคณะ นั่งเรียนเมื่อยๆ เบื่อๆ ก็ออกมาเดินสายชมการแสดงต่างๆอย่างเพลิดเพลิน ครูที่สอนอยู่ ถามว่า ไอ้ตรงกลางที่โว่ๆ มันหายไปไหน นักเรียนที่เรียนอยู่ก็บอกตามความเป็นจริง ครูก็ได้แต่ปลงกับไอ้พวกนี้ กิจกรรมหรรษาดำเนินต่อไปจนจบ มศ. 1 มาอย่างฉลุย ( ไม่รู้สอบผ่านได้ไง) ขึ้นชั้น มศ. 2 คราวนี้มันส์กว่าเดิม

    (โปรดติดตาม)

    จากคุณ : น้าสือสาว - [ 24 ก.ย. 46 15:57:36 ]