แม้นมยุรินทร์ ตอนที่ 4 (จบ)

    กฤษณะเดินผ่านเข้าในประตูคอกม้าในสนามฝึกอย่างไม่สู้สนใจสิ่งรอบกายนัก แต่ทว่าเขาก็ต้องชะงักและกวาดตาไปโดยรอบอย่างเร็วเมื่อเห็นว่าม้าคู่ใจไม่อยู่และเด็กหนุ่มร่างผอมบางที่เคยดูแลคอกก็หายหน้าไป ชายหนุ่มก้าวพรวดๆออกมาเมื่อไม่เห็นใคร มุ่งหน้าไปยังลานฝึก สวนกับนายทหารยศร้อยตรีผู้หนึ่งที่เคยคุ้นกับเขาอยู่บ้างเดินจูงม้ากลับเข้ามา ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นเขาก็ทำความเคารพ กฤษณะจึงออกปากถาม

    “เจ้าเห็นบ้างหรือไม่ว่าเด็กดูแลคอกหายไปไหน ฉันหาสตาร์ไลท์ไม่เจอ”

    นายร้อยตรีหน้าอ่อนเยาว์ผู้นั้นทำหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นครู่จึงเอ่ยตอบ

    “ม้าของคุณกฤษณะหรือครับ? คงเป็นตัวที่คุณทิตตมณีขี่อยู่ นี่ใครๆก็พากันออกไปดู เห็นทึ่งกันนัก คงไม่มีผู้ใดคิดหรอกนะครับว่าสตรีงามเพียงนี้จะเก่งกล้าถึงเพียงนั้น”

    “ก็เขาก็ลือกันมากอยู่ไม่ใช่หรือ”

    กฤษณะปรามเรียบๆ ส่งผลให้อีกฝ่ายหัวเราะเก้อๆ

    “ก็จริงอยู่หรอกครับ แต่คุณทิตตมณีงามจนเกินคาด แค่เห็นหน้าก็พากันลืมกิตติศัพท์จนหมด”

    “เอาเถิด ขอบใจนะ”

    ชายหนุ่มตัดบทอีกครั้ง เขายิ้มนิดหนึ่งก่อนจะก้าวออกไปสู่ที่โล่งแจ้งที่มีแต่ผู้คนมุงกันอยู่ริมรั้วไม้ตีห่างๆ ดังคำบอกเล่า...เด็กดูแลคอกก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

    กลางสนามฝึก หญิงสาวผมยาวดำขลับราวเส้นไหมกำลังควบม้าสีน้ำตาลแดงตัวเปรียวอย่างคล่องแคล่ว

    เสี้ยวหน้าและเส้นผมของหล่อนต้องแสงจ้าเสียจนไม่อาจมองเห็นได้ชัดตา เห็นเพียงโครงร่างแบบบางและท่วงท่ารวดเร็วสง่างาม มือเล็กเรียวในถุงมือหนังสีดำกระตุกรั้งบังเหียนนิดหนึ่งอย่างชำนาญ และม้านั้นก็เปลี่ยนชะลอความเร็วลงจนกลายเป็นการเยื้องย่างเหยาะๆเลียบไปทางริมรั้วอีกฝั่ง

    ใครบางคนหันมาทักกฤษณะ เขาจึงเอ่ยทักตอบ ม้าตัวที่ทิตตมณีขี่อยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มมันก็หันหัวมาและชักเท้ากลับมาตามทางเดิม ทำให้ร่างอ้อนแอ้นนั้นผินมาทางเขา ทีท่าของหล่อนดูแปลกใจระคนสงสัย กฤษณะสืบเท้าเข้าไปใกล้รั้ว เมื่อสตาร์ไลท์มาถึงเขาจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะมันอย่างทักทาย ยังไม่ทันเงยหน้ามองผู้ขี่ทิตตมณีก็หย่อนตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วไม่ผิดกับผู้ชาย มือยังไม่คลายสายบังเหียนเมื่อหล่อนตวัดตามองจ้องสบตาเขาอย่างไม่รู้สึกเกรงแม้เพียงนิด เสียงหลุดจากปากทันทีบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เคยลังเลที่จะต่อโต้คารมกับใคร

    “คุณเป็นใครหรือ? คงคุ้นกับเจ้านี่ดีสินะ ดูมันดีใจเหลือเกินที่คุณมา”

    กฤษณะหันไปยิ้มทำให้หน้าคมเข้มนั้นกระจ่างตาชวนมองขึ้นมากนัก เสียงทุ้มเอ่ยตอบ

    “ใช่ ผมชื่อกฤษณะ คุณคงเป็นทิตตมณีสินะ เมื่อครู่เพิ่งพบท่านพ่อคุณที่บ้านท่านเสนาฯกลาโหม ท่านบอกว่าคุณมารอท่านที่นี่”

    “พันตรีกฤษณะที่ท่านพ่อเอ่ยถึงบ่อยๆกระมัง”

    รอยยิ้มน้อยๆค่อยๆฉายบนดวงหน้ารูปไข่งามแปลกตานั้น แววตาหล่อนระยับด้วยประกายเป็นมิตร กฤษณะจึงได้มีโอกาสมองดูหล่อนอย่างจริงจัง ทิตตมณีเป็นผู้หญิงร่างเล็กแบบบางประเปรียว ท่าทางไม่ใช่คนยอมคนนั้นทำให้หล่อนดูผิดแผกแตกต่างไปมากจากบรรดาหญิงสาวลูกผู้มีสกุลทั้งหลายที่เขาเคยพบมา  ชายหนุ่มต้องยอมรับว่าแม้จะไม่สวยสะดุดตาหรือไม่แช่มช้อยสง่างามอย่างที่ราชาวดีเป็น แต่ทิตตมณีก็ดูดีไม่น้อย ใบหน้านวลเรียวรีเด่นที่ดวงตาคมกริบและริมผีปากบางเฉียบ ร่างบางจนเกือบปลิวลมแต่ก็ได้ส่วน แต่ที่เด่นที่สุดคงเป็นท่วงทีการเคลื่อนไหวที่ดูเปรียวจนผิดตา หล่อนเอ่ยปากเล่าต่อ

    “ได้ยินว่าคุณมีความสามารถมาก บางคนถึงกับเก็งกันว่าคุณจะได้เป็นใหญ่ในกลาโหมต่อไปในอนาคต ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงเท็จอย่างไร ทว่าท่านพ่อก็ชื่นชมคุณมากเสียจนฉันอดเชื่อไม่ได้เลยเทียว”

    “ขยายกันเกินจริงไป”

    กฤษณะเปรยและหลุดปากออกมาอย่างไม่เจตนาด้วยปมเจ็บที่ฝังติดลึกในจิตใจ

    “ถ้าเป็นจริงก็คงดี แต่ผมน่ะหรือจะได้เป็นใหญ่? ชาติตระกูลใดๆก็มิได้มีกับเขาสักน้อย ไม่ใช่ลูกผู้ดีมีศักดิ์มีเงินอย่างวชิระเมื่อไรกัน...จึงจะได้เป็นใหญ่ง่ายๆ”

    ทิตตมณีชะงัก หล่อนเบือนหน้ามามองเขาอย่างเต็มตาก่อนจะเน้นคำ

    “คุณมีปัญหาอะไรกับวชิระ? เรื่องราชาวดีใช่หรือไม่?”

    กฤษณะรู้สึกเหมือนถูกเหล็กเผาไฟร้อนแดงนาบจี้ลงที่กลางหัวใจ...ชั้นแต่หล่อนยังรู้! สีหน้าที่ถูกเกลื่อนกลบด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่จางสีเลือดจนเผือดซีด หญิงสาวจ้องมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะละสายตาจากหน้าเขาและเปรยขึ้น

    “ราชาวดีเป็นคนงามมาก ทั้งงามทั้งพร้อม ควรอยู่ที่คุณจะรักเธอ แต่คุณคงไม่รู้หรอกกระมังว่าเธอเป็นคนแข็งและทะนงเพียงใด? หากราชาวดีเคยดีกับคุณ มันก็อาจไม่ได้แปลว่าเธอรักคุณ เธออาจมิได้แม้แต่ชอบคุณด้วยซ้ำ...”

    กฤษณะเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ที่ทิตตมณีพูดนั้นถูกทุกอย่าง! ทว่าเขารู้ช้าไป...มารู้เอาเมื่อเขาได้รับความบอบช้ำจากหล่อนมาจนยากจะเยียวยาเสียแล้ว เขากลั้นใจเอ่ยขึ้นช้าๆ

    “ไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้...ตั้งแต่ก่อนราชาวดีหมั้นกับวชิระ หากเธอเป็นชาย บางทีอาจได้เป็นทูต! ราชาวดีเก่งนักเรื่องแสร้งแสดงไมตรี!”

    “มหาดไทยมีหน้าที่จัดการบ้านเมืองทั้งหมด” ทิตตมณีเตือน

    “อย่าว่าเธอเลย ตระกูลเธอถูกปลูกฝังมาให้เป็นอย่างนั้น ต้องไม่แข็งจนหักจึงจะจัดการเรื่องคนหมู่มากได้ ราชาวดีก็คงไม่ได้มีเจตนาล่อลวงให้คุณรักเธอหรอก กฤษณะ เธอคงเพียงไม่อยากจะตัดไมตรีใครมากกว่า...”

    “แต่เธอก็ตัดไมตรีผมแล้ว...” กฤษณะหัวเราะเบาๆอย่างขมขื่นระคนเยาะหยันตัวเอง

    “ตลกอยู่น้อยหรือ? ไม่ยอมตัดไฟแต่ต้น...ปล่อยให้ลามไปใหญ่โตแล้วจึงมาทำลายกัน”

    “กฤษณะ...” หญิงสาวทอดเสียงหนัก หล่อนมองหน้าเขานิ่งก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างกึ่งเห็นใจกึ่งค้าน

    “คุณจะรู้สึกอย่างไรก็แล้วแต่เถิด ฉันเข้าใจและไม่ได้ห้าม แต่คุณไม่ควรแสดงออกถึงเรื่องนี้ ชังวชิระไม่ใช่เรื่องฉลาด... เขาทรงอำนาจในภูมินทรนครไม่แพ้องค์นาถราชา ฉันเห็นคุณเป็นมิตรจึงเตือน อย่าทำให้ผู้ใดสะดุดใจ!”

    กฤษณะถึงกับชะงักงันเงียบไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น ประโยคที่เขายึดเป็นถ้อยคำเตือนใจตนเองทุกคราที่ความเจ็บอันฝังแน่นกลับปะทุขึ้นมาอีกในภายหลัง และเป็นประโยคที่ทำให้เขาเห็นคุณค่าของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเหลียวมาสนใจมาก่อนหน้า ผู้หญิงที่ความฉลาดถูกกดเก็บไว้เพียงเพราะเพศและโอกาสไม่เอื้อให้เปิดทางแก่หล่อน ผู้หญิงคนที่เขารักในเวลาต่อมา...รัก...ยิ่งกว่าที่เคยรักใคร...

    จากวันนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและทิตตมณีค่อยๆสานตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทว่าแน่นแฟ้นมั่นคงขึ้นตามลำดับ ความก้าวหน้าในทางหน้าที่การงานของเขาก็รุกคืบขึ้นอย่างเงียบๆและเร็วไม่แพ้กัน ส่วนหนึ่งกฤษณะรู้ว่าเป็นเพราะคำแนะนำของทิตตมณี หล่อนช่วยให้เขาปรับปรุงส่วนที่พร่องและท่าทีที่ผิดพลาดอย่างไม่เคยรังเกียจหรือเกี่ยงงอนใดๆ เขารู้...ว่าหล่อนเองก็มีใจให้เขาเช่นกัน...

    ไม่นานเขาก็แต่งงานกับทิตตมณี ในเวลานั้นราชาวดีได้ให้กำเนิดบุตรชายคนเดียวกับวชิระ เด็กชายผู้นั้น ถูกคาดหวังให้เป็นอนาคตอันงดงามของอัครศาสตร์ด้วยแววฉลาดเฉลียวที่แสดงออกตั้งแต่ครั้งยังเล็กๆ จะมีความผิดพลาดอยู่อย่างเดียวก็คือราชาวดีได้ล้มเจ็บลงหลังจากคลอดบุตรชายเป็นต้นมา และหล่อนก็อยู่ต่อมาได้อีกเพียงปีเดียวก่อนจะเสียชีวิตลงด้วยวัยที่ยังเยาว์จนน่าใจหาย

    ความตายของหล่อนยังความโศกเศร้าให้แก่วชิระเป็นอันมาก ทว่าชายหนุ่มก็ฉลาดพอที่จะไม่เอาความเศร้านั้นไปทับถมเป็นความผิดของใคร ตรงกันข้าม เขาเฝ้าฟูมฟักบุตรชายอย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง กฤษณะเองก็เฝ้าดูภาพนั้นอย่างเงียบเชียบ เขามิได้แสดงออกถึงความชังให้ผู้ใด ‘สะดุดใจ’ แต่อย่างใด...

    เหตุผลอีกอย่างที่ชายหนุ่มสะกดใจไว้ได้ก็คือบุตรสาวคนเดียวที่ทิตตมณีให้กำเนิดในปีถัดมา เด็กหญิงได้ชื่อว่านายิกา...หญิงผู้เป็นหัวหน้า... นายิกาเติบโตขึ้นมาโดยพร้อมทั้งพ่อและแม่...เป็นเด็กฉลาด ร่าเริง ปราดเปรียว ทะนง และไม่ยอมคน ครอบครัวเขายามนั้นงดงามสมบูรณ์อย่างน่าอิจฉา กฤษณะเกือบจะสลัดสนิมที่เกาะกินใจเขาในเรื่องราชาวดีมาเนิ่นนานทิ้งไปได้ด้วยซ้ำ...เพราะความรักที่เขามีต่อทิตตมณีนั้นมากพอที่เขาจะไม่อาจทำสิ่งใดที่จะทำให้หล่อนต้องระคายใจ หากโชคชะตาจะไม่เล่นตลกกับเขา...

    วันหนึ่งในฤดูร้อนเมื่อนายิกาอายุได้ห้าปี ทิตตมณีออกไปขี่ม้าเล่นเช่นที่เคย หากที่ผิดไปจากครั้งที่แล้วๆมาก็คือหล่อนไม่ได้กลับมาอีกเลย สตาร์ไลท์สะดุดเครื่องกีดขวางและส่งผลให้ร่างของทิตตมณีพุ่งลงกระแทกกับพื้น ความบอบช้ำที่หนักหนาที่สุดก็คือศีรษะหล่อนกระแทกลงกับหิน หล่อนหมดสติลงทันทีและไม่ได้รับรู้อะไรอีก...ไม่ได้รับรู้ความเร่าร้อนทุกข์ทนเจียนจะคลั่งของเขา

    แพทย์ประคองชีวิตหล่อนไว้ได้เพียงสามวัน อุบัติเหตุครั้งนั้นก็พรากหล่อนไปจากชีวิตของกฤษณะ และดวงมณีที่ส่องสว่างให้ชีวิตของเขาก็วูบดับมืดมิดลงตลอดกาล...

    จากคุณ : วัสส์ - [ 26 ก.ย. 46 21:41:31 ]