เขาคนนั้น กับฉันที่เพิ่งรู้จักคำว่า รัก
โดย >>> ต้นหญ้าเอื้อมฟ้า <<<
ตอนที่ 3 : ~ เพื่อน ข้างกาย ~
เอยมองดูรอบ ๆ ห้องสมุดที่เปล่าเปลี่ยวแห่งนั้น แล้วก็อดคะนึงถึงอดีตไม่ได้ ใบหน้าอันสดใสของผู้เป็นพ่อ ตอนเห่อลูกสาวใหม่ ๆ ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ยามเมื่อจ้องมองไปยังโซฟาสีเขียวเก่าแก่ขาดรุ่งริ่งที่อยู่ถัดไปนั่น เธอจะเริ่มหัดเขียนคำว่า พ่อ และ แม่ ได้ก็ได้กำลังใจจากผู้มีพระคุณทั้งสองที่เฝ้ามองเธอเล่นกับดินสอเมื่อตอนเด็ก ๆ ครั้งนั้น ถึงป่านนี้
เธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวเดิมพร้อมกับไดอารี่เล่มเดิมที่วางอยู่ตรงหน้า
และแล้ว เวลาก็เดินผ่านไปอีก ยี่สิบสี่ ชั่วโมง
มาถึงวันอาทิตย์เสียที จากเมื่อวันวาน
วันเสาร์ ผ่านไปเป็นวันอาทิตย์ ในห้องหนังสือห้องเดิม เด็กสาวคนเดิมที่นั่งอยู่ในห้อง เพียงแต่เธอคนเดิมนั้นถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ เวลาเดิมที่ บ่ายโมงกว่า ๆ แต่ไดอารี่เล่มเดิมไม่ได้วางอยู่ตรงหน้า เธอเอื้อมมือไปหยิบสมุดเรียนเล่มหนาเล่มหนึ่ง กับหนังสือที่เมื่อเห็นปกแล้วก็ต้องบอกได้ว่า มันเป็นหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ ออกมา หน้าปกของสมุดเล่มนั้น บ่งบอกถึงชื่อจริงของเธอได้เป็นอย่างดี
ชื่อ นามสกุล : ด.ญ. ภัทฑินันท์ ลวินนา
ชั้น : ม. 3/1 เลขที่ : 37
วิชา : คณิตศาสตร์ (ค. 011)
คาดว่าเธอคงจะตั้งใจทำการบ้านจากวันศุกร์ที่คั่งค้างไว้ต่อให้เสร็จ มือข้างซ้าย ขยับเปิดสมุดไปยังหน้าที่มีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ คั่นอยู่ ส่วนข้างขวาก็ควานหากล่องเครื่องเขียนตามลิ้นชัก เมื่อได้อุปกรณ์ครบ เธอก็รีบทำการบ้านให้เสร็จ เพราะตอนนี้อยู่กับแม่ก็เหมือนอยู่ตามลำพัง มันไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เธอเป็นทั้งนักเรียนทั้งแม่บ้านในขณะเดียวกัน กว่าเธอจะเสร็จงานจากโต๊ะตรงนั้นก็อีกประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ต่อมา หน้าที่ต่อไปก็จัดการกับเสื้อผ้าที่กองอยู่ในตะกร้า จับมันเข้าเครื่อง จากนั้นก็หน้าที่ของเครื่องซักผ้านั่นล่ะ ระหว่างรอนั้นเธอก็ได้ใช้เวลากับการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเสียแต่เนิ่น ๆ (ก็นั่นแหละ ว่าทำไม เธอจึงเรียนเก่งนัก ถึงจะไม่ใช่ที่ หนึ่งของห้องก็ตามที) เธอวุ่นอยู่กับงานทางนั้นเกือบหนึ่งชั่วโมง
เฮ้อ
ในที่สุดก็เสร็จซะทีนะ เธอเปรยออกมาอย่างอ่อนล้า เธอเดินกลับไปในห้องห้องเดิม พบกับเจ้าทิมมี่ ที่คิดว่าคงไม่มีอะไรทำ จู่ ๆ มันก็วิ่งออกจากกองเศษผ้ามาที่ขอบของชั้นหนังสือ มันยื่นเท้ามาแตะที่ขอบชั้นเล็กน้อย จะกลัวก็ว่ากลัว จะกล้าก็คิดว่ากล้า มันทำท่าจะกระโดดจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง ลังเลอยู่สักพัก ก็ต้องถอยหลังกลับ ไปยังฐานที่ตั้งเดิม เพราะที่นั้น มันสูงเกินกว่าเจ้ากระรอกตัวน้อย ๆ อย่างทิมมี่ จะฝ่าฟัน และอาจหาญกระโดดข้ามไป ภาพนั้น ทำให้ เอย ที่อ่อนแรงกับการทำงานทั้งหมด อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ และนั่นก็คงเป็นการหัวเราะครั้งแรกในรอบเดือนเลยล่ะ
รอยยิ้มแบบนี้ ในสภาพครอบครัวเช่นนี้ คงไม่แสดงออกมาให้เห็น(ประจักษ์แก่ตาของคุณ ๆ)ได้ง่ายนัก เธอทิ้งตัวลงบน โซฟา ที่อยู่ใกล้ ๆ เอนหลังอย่างสบาย เพียงแค่นั้นก็เป็นช่วงวินาทีเล็ก ๆ ที่เธออยากได้มาครอบครอง ตราบชั่วชีวิต เสียง กร๊อก แกร๊ก ของลูกบิดประตูที่มีใครบางคนไปขยับมัน แว่วเข้ามาในห้องหนังสือ อันแทบจะเย็นจะเยือก เพียงเพราะเวลาได้ล่วงเลยเข้ามาสู่ช่วงเย็นของวัน ประกอบกับลมหนาว ที่โชยผ่าน ม่านผืนบาง ๆ เข้ามา เสียงนั้นเรียกความสนใจของคนที่เอนหลังอย่างสบายอยู่ในห้องอันแสนสงบได้ไม่น้อย ด้วยความสนใจในความเป็นไปรอย ๆ บ้าน ชนะทุกอารมณ์ที่มีอยู่ทั้งหมด ทำให้เธอรีบลุกขึ้นไปที่ริมหน้าต่าง และได้แต่ยืนสังเกตการณ์อยู่ที่มุมห้อง
สิ่งที่เห็นก็เพียงแค่ แม่ของเธอในชุดออกงานกำลังเปิดประตูเพื่อจะออกไปข้างนอกเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย!
ทำให้เธอได้แต่ส่ายหัวเล็ก ๆ อยู่ที่มุมห้องเมื่อเห็นภาพตรงนั้น
เฮ้อ
ท่าทางจะออกไปสังสรรค์ กับพวก ไฮ โซ อีกแน่ กลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม ได้โอกาสเลยนั่งเล่นกับเจ้าทิมมี่จนเพลินเสียจนแทบจะลืมเวลาเสียด้วยซ้ำ
เจ้าทิมมี่ได้เรียนรู้ถึงนายของมันมากขึ้น ดู ๆ ไปแล้ว มันก็มีส่วนพิเศษกว่ากระรอกตัวอื่น ๆ ไม่น้อย ไม่ช่างแสนรู้ และฉลาดไม่ด้อยไปกว่า สุนัขเลย
เริ่มเย็นแล้ว
~ ติ๊ด - ติ๊ด ~ ~ ติ๊ด - ติ๊ด ~ เสียงนาฬิกาปลุกที่จอบอกเวลาอยู่ที่ช่วงเวลาดังขึ้น เข็มยาวชี้ที่เลข สิบสอง บนหน้าปัด ส่วนเข็มสั้นก็บอกถึงเวลาเคารพธงชาติรอบเย็น
เสียงหัวเราะคิก ๆ ลั่นไปทั่วห้องหนังสืออย่างบ้าจี้ เจ้าทิมมี่เริ่มซนเสียแล้วสิ มันเล่นวิ่งไปบนตัวของเด็กสาว วิ่งไปตามร่างอันบอบบางของเธอ เล่นเธอจักจี้หนักเข้าใหญ่ เธอคงจะมีความสุขมากที่ได้เจ้ากระรอกตัวน้อยตัวนี้มาเป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจ มันทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา มิหนำซ้ำยังเป็นสัตว์ที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะกลับคืนมาได้ในบางครั้งอีกด้วย
โอ๊ย
พอแล้ว ทิมมี่ ฉันจักจี้นะ เธอพูดปนหัวเราะ
เห็นมั้ย หกโมงแล้ว หยุดเหอะน่า ว่าแล้วเจ้าตัวก็ประคองกระรอกน้อยแสนซนมาได้อยู่ในมือ แล้วก็นำมันไปไว้ดังที่อยู่ที่มันชักจะคุ้นเคยบ้างแล้วตามเดิม
เธอเดินออกจากห้องหนังสือไปยังห้องของแม่ หรือห้องที่แต่ก่อนแม่เคย Share ห้องร่วมใช้กับเธอด้วย ขนสัมภาระทุกชิ้นที่เป็นของเธอออกมา เสื้อผ้าต่าง ๆ เข้าใจว่าเธอคงคิดจะปักหลักอยู่ที่ห้องหนังสือขนาดกลางห้องนั้น จากนั้นก็หอบหิ้ว สมบัติ(ที่อาจจะล้ำค่า) ออกมา ลากมาบ้าง ถือบ้าง พาดไหล่มาบ้าง หากใครผ่านมาเห็นก็คงจะนึกภาพได้ไม่ตางไปจากพวก บ้าหอบฟาง!!!
จากที่เธอเคยใช้ห้องร่วมกับแม่ผู้ใจดี แต่วันนี้ เธอกลับต้องมาพักพิงห้องหนังสือในมุมบ้าน อาศัยในบ้านเดียวกับแม่ผู้โหดเหี้ยม ห้องนั้นเธอถือว่าเป็นห้องของเธอไปโดยปริยาย ตอนนี้ดูเหมือนจะมีกำแพงหนา ๆ กั้นทางเดินของเธอกับของแม่ไว้อยู่ ไม่ให้มาเจอะกัน ซึ่งฉันก็ได้แต่ภาวนาให้แม่ลูกคู่นี้เข้าใจกันและกันเสียที คุณ ๆ ก็คงไม่อยากให้เรื่องนี้เศร้าอีกต่อไปนะคะ เฮ้อ ทำไม สวรรค์ ช่างโหดร้ายทารุณกับเธอได้เพียงนี้นะ!
หลังกจากขนย้ายข้าวของมาไว้ที่ห้องใหม่ของเธอเองแล้ว เธอก็ไปหยิบผ้าเช็ดตัว จึงรุดเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำในฉับพลัน ไม่ถึง ยี่สิบห้า นาที ร่างเล็ก ในชุดสไตล์การนอน ของเธอก็ก้าวออกจากห้องน้ำมา เช็ดผมให้แห้งอยู่หลายครั้งระหว่างเดินมาที่ห้องหนังสือ
ความตั้งใจ(อันสูงส่ง) ของเธอในคืนนี้คือการอ่านหนังสือ วิชาประวัติศาสตร์ และ วิชา ภาษาไทยที่ค้างอยู่ให้จนจบ แต่หลังจากเอนหลังอ่านหนังสือได้ไป สัก สอง ชั่วโมง ความสลึมสลือ ก็ผลัดวนเวียนมาอยู่รอบ ๆ ขอบตา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เรี่ยวแรงที่มีก็หมดลง ทำให้ตอนนี้เหลือเพียง ภาพ เด็กสาวที่หลับอยู่บนโซฟาตัวเก่า ๆ กับหนังสือ สอง สาม เล่มที่วางอยู่บนร่างกันบอบบางนั้น (ซึ่งดูเหมือนหนังสือจะเปลี่ยนหน้าที่มาอ่านเธอเองสินะ) ใบหน้าที่เคยเป็นสีเครียดอยู่ทุกช่วงนาที ใบหน้าที่เคยดูหมองหม่นเมื่อไม่สบายใจ กลับกลายเป็นเพียงใบหน้าใส ๆ บริสุทธิ์ ของเด็กสาววัยรุ่นธรรมดาคนนึง เธอดูเป็นตัวของตัวเองที่สุดก็คงจะเป็นเวลานอนนี่สินะ
จากคุณ :
invisible_TJ
- [
27 ก.ย. 46 17:42:41
]