ป้ายอันตราย!


    ไซออกมายืนคอยรถเมล์อยู่นานแล้ว   ยืนเหงา ๆ อยู่ลำพังคนเดียว  เหลือบมองป้ายรถประจำทางที่ยืนแข็งทื่ออยู่ริมฟุตบาทด้วยสายตาหม่นหมอง  ต้นไม้ใหญ่ยืนตระหง่านเคียงข้างเป็นเพื่อนเจ้าป้ายรถประจำทางอันนั้น   สุดชายคาตึกที่ปิดประตูเงียบเฉียบไปเป็นทุ่งโล่ง  มองเห็นป้ายโฆษณาอันใหญ่มหึมาอยู่ใกล้ๆ ถัดจากต้นไม้ใหญ่เล็กน้อย  แดดที่เคยจัดจ้ายามใกล้เที่ยงซ่อนตัวอยู่ใต้กลีบเมฆสีเทาหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วไปดูมืดทมึนไป  

    สีหน้าของเขาหม่นมัวพอ ๆ กับบรรยากาศรอบข้าง  สักครู่ใหญ่เขามองเห็นเพื่อนสาวเดินตรงมา  

    เธอนั่นเอง….  

    คงมายืนคอยรถเมล์เหมือนกัน  เขาเคยเห็นเธอบ่อย  ๆ เพราะอยู่โรงเรียนเดียวกัน  เพียงแต่คนละห้อง  ได้ยินเพื่อน ๆ ที่รู้จักกับเธอเรียกเธอว่า  "กริ่ง"  

    เขาอยากรู้จักเธอ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  จะส่งยิ้มให้เธอหรือ ก็กลัวโดนว่า  หาว่าทำตาเจ้าชู้  สะเออะจะเข้าไปจีบเธอ  ดูท่าทางเธอคงไม่ชอบ  จะเข้าไปทักทายก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร  จริงอยู่เขายืนอยู่ดี ๆ ไปยิ้มให้  เข้าไปทักทาย เธอจะคิดยังไง   ดูท่าทางเธอก็บอกว่าเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใครซะด้วยสิ  เธออาจจะเดินหนีหรือไม่ก็ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ     ทางที่ดีเขาควรจะยืนอยู่เฉย ๆ ดีกว่า  แล้ววันนี้เขาเองก็มีเรื่องกลุ้มอยู่ในหัวมากพออยู่แล้ว     มากเกินกว่าที่จะสนใจเรื่องอื่น ๆ อีก

    ลมเริ่มพัดแรงขึ้นคล้ายฝนจะตก  กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ข้างป้ายรถเมล์แกว่งไกวไปมา  เกิดเสียงใบไม้เสียดสีกัน   ฟ้ามืดมัวลงกว่าเดิม   เหมือนฟ้าบีบตัวลดต่ำลงมา  เศษใบไม้แห้ง ขี้ดิน ขี้ฝุ่น และเศษขยะเบา ๆ ถูกลมหอบปลิวฟุ้งกระจายในอากาศ  บรรยากาศเปลี่ยนจากความเงียบเหงาซึมเซาจนดูน่ากลัว  

    กริ่งเดินออกจากชายคาตึกไปหยุดอยู่ริมฟุตบาท ชะเง้อมองรถเมล์   สีหน้าบ่งบอกถึงความกังวล   เธอคงกลัวไปเรียนไม่ทัน  เขาคิด  ต่างกับเขา  วันนี้เขาไม่อยากไปเรียนเลย   แล้วเธอก็เดินกลับเข้ามาตามเดิม   หลังจากไม่เห็นรถเมล์สักคัน  แต่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า   ทุกการเคลื่อนไหวของเธออยู่ในสายตาเขา   เธอยืนอยู่ตรงนั้นใกล้กับป้ายรถเมล์   ยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างเคือง ๆ ฝุ่นผงที่ปลิวเข้าตา

    ไซเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มปั่นป่วนขึ้นทุกที  ๆ  สายตาจับจ้องอยู่ที่ป้ายโฆษณาอันใหญ่   มันสั่นเบา  ๆ  ไหวตามแรงลมเล็กน้อย   อยู่ ๆ เกิดลมพัดกระโชกมาอย่างแรง   เกิดเสียงหวีดอื้ออึ้งอล

    ทันใดนั้น!!

    เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีด!!

    เมื่อเหล็กท่อนเหลี่ยม ๆ ฐานรองรับน้ำหนักของป้ายขยับ!    แล้วเอนล้มมาทางที่เพื่อนโรงเรียนเดียวกันกับเขายืนอยู่!!

    "อันตราย!”

    เขาหันขวับไปมองเธอ

    “ระวัง!!   หลบไป….!!!!!"  

    เขาตะโกนบอกสุดเสียง….!!!

    พลางวิ่งเข้าไปดึงเธอที่ยืนไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามาหลบใต้ชายคาตึกได้ทัน  ก่อนที่ป้ายนั้นจะล้มครืนลงมาโครมใหญ่  ทับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น  และป้ายรถประจำทาง  เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว  ชิ้นส่วนของป้ายกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง  และมีบางส่วนกระเด็นมาเฉียดร่างของทั้งสองที่หลบซุกตัวอยู่ใต้ชายคาตึกไปอย่างหวุดหวิด

    ไซโอบร่างกริ่งไว้ในวงแขน เอาลำตัวบังเธอไว้  มือข้างหนึ่งกดศีรษะเธอก้มลงต่ำ   ลมพัดทั้งฝุ่นทั้งขี้ดินปลิวว่อนกระจายไปทั่วบริเวณ

    เสียงเบรคยาว…..!!!   ของรถยนตร์ดังลั่นถนน    เสียงกรี๊ดของคนในรถประจำทาง    เสียงเอะอะโหวกเหวกโวยวายของคนที่ตกอกตกใจดังเซ็งแซ่ไปหมด  แทบจับไม่ได้ศัพย์ว่าเป็นเสียงอะไรต่ออะไร

    เขานั่งตาค้างมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจหายใจคว่ำ   เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง  และแน่ใจว่าปลอดภัย  จึงปล่อยมือจากร่างที่โอบไว้

    "ไม่เป็นไรแล้วครับ   ปลอดภัยแล้ว"  เขาตบหลังเธอเบา ๆ  

    กริ่งค่อย ๆ ขยับตัวถอยออกมา   พลางมองหน้าเขาอย่างมึนงง

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!"  

    เธอหันไปมองสภาพรอบตัว  สีหน้านั้นซีดเผือดลงอย่างตกใจ  เมื่อมองเห็นต้นไม้ใหญ่และป้ายรถประจำทางอันนั้นหักงอบิดเบี้ยวอยู่ใต้ซากเหล็กดุ้นเขื่องของป้ายโฆษณาที่เธอยืนอยู่แถวนั้นเมื่อครู่นี้

    "ขอบใจนายมากนะที่ช่วยฉันไว้  ไม่งั้นฉันคง..."

    ทั้งคู่ลุกขึ้นยืน

    "บางที….ถ้าผมแบนอยู่ใต้นั้นคงดี…"  

    ไซก้าวข้ามเศษป้ายที่กระเด็นมากองอยู่แถวนั้น

    "ทำไมพูดยังงั้นล่ะ" คิ้วเรียวนั้นขมวดเข้าหากัน ดวงตาเธอฉายแววไม่เข้าใจ

    ไซหัวเราะหึ  ๆ อยู่ในลำคอ

    "ช่างเถอะ อย่าสนใจเลย ผมพูดเล่น"  เขาสาวเท้าไปข้างหน้า  มองป้ายใหญ่มหึมาที่ล้มคว่ำอยู่ตรงหน้ากินพื้นที่เข้าไปในถนนจนเกือบข้ามไปอีกฝั่งของถนน   ก้อนดินติดอยู่ที่ฐานป้ายเป็นกระจุก ๆ เรียกว่า ถอนรากถอนโคนออกมาเลย

    "นายคงมีเรื่องกลุ้มใจสิ คนเราไม่มีใครพูดเล่นแช่งตัวเองหรอก"   เธอยังไม่หายสงสัย

    "ดูนั่นสิ!"   เขาเปลี่ยนเรื่องชี้ให้เธอดูเสาไฟฟ้าที่หักโค่นล้มเป็นแถบ  ๆ  เนื่องจากป้ายยักษ์ล้มทับสายไฟที่ขึงตึงอยู่ระหว่างเสาไฟฟ้าแต่ละต้น จึงดึงรั้งจนเสาไฟฟ้าหักโค่นตาม  เป็นแถวต่อเนื่องกันยืดยาว

    สภาพท้องถนนอยู่ในภาวะที่ใช้การไม่ได้   รถติดแหงก  และจอดนิ่งอยู่อย่างนั้นไปตลอดแนวของถนน  ยาวสุดสายตาเท่าที่สามารถมองเห็นได้  เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น    เจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้ามาจัดการเรื่องสายไฟ  บริเวณนั้นไฟฟ้าถูกตัดดับหมด

    "นายดูรถคันนั้นสิ   คนขับจะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย  น่าสงสารจังเลยเนอะ"  กริ่งมองเห็นรถคันหนึ่งอยู่ใต้เสาไฟฟ้าที่หักล้มโค่นลงมา หลังคาด้านคู่กับคนขับยุบไปซีกหนึ่ง

    "เขามีกฎหมายที่ใช้ควบคุมป้ายพวกนี้หรือเปล่านะ" เธอหันไปขอความเห็น

    ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรสักคำ  เขานิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เธอถาม  ทั้ง ๆ ที่เขาเคยอยากรู้จักอยากคุยกับเธอแต่ไม่มีโอกาส    พอโอกาสมาถึง  เขากลับมีเรื่องกลุ้มใจจนไม่อยากพูดกับใครทั้งนั้น ทำไมเธอไม่เข้ามารู้จักเขาก่อนหน้านี้ ทำไมเราต้องมารู้จักกันตอนนี้  ตอนที่เขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ   เขากลัวจะทำให้เธอรู้สึกแย่ ๆ ตามไปด้วย  ปรายสายตามองคนที่เดินตามมา   เธอดูเงียบขรึมกว่าเดิม  เขาไม่ได้ยินเสียงใส  ๆ  ของเธออีกเลย  เขารู้สึกอยากจะขอโทษที่ไม่ได้ใส่ใจ   หรือสนใจในคำพูดของเธอที่คอยถามไถ่และขอความเห็น

    ทั้งคู่เดินเรียบริมถนนไปเรื่อย ๆ       ทิ้งภาพโกลาหลวุ่นวายไว้เบื้องหลัง   จนถึงป้ายรถประจำทางที่การจราจรเริ่มใช้การได้แล้ว

    ==========

    สวัสดีค่ะทุกคน  เป็นอย่างไรกันบ้างคะ  สบายดีกันรึเปล่าเอ่ย... หวังว่าคงสบายดีกันทุกคนนะ  ^ _ ^

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 28 ก.ย. 46 10:46:48 ]