เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก

    เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก

    1.

    เด็กชายนั่งซึมอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ด้านหลังมีต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นเด่นอยู่ต้นหนึ่ง เขาเคยพยายามแหงนมองเพื่ออยากเห็นปลายยอดสุดของมัน แต่ก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง อาจเพราะกลางหุบเขาเช่นนี้มีหมอกสีขาวปกคลุมอยู่ทั่วไป แม้แต่ยามเที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้าก็ไม่อาจจะมลายสายหมอกหนานี้ให้จางหายไปได้ เด็กชายรู้สึกเงียบเหงากับบรรยากาศที่วังเวงเช่นนี้ ตั่งแต่เกิดมาเขาไม่เคยย่างเท้าออกไปไกลเกินขอบเขตบ้านเลย คำสั่งห้ามของพ่อ – แม่นั้นเด็ดขาด เหมือนคาถาอันศักดิ์สิทธิ์มัดเขาให้ตรึงอยู่เพียงแค่ขอบเขตรั้วบ้าน เขาเคยมองเห็นเด็กวันเดียวกันเดินผ่านหน้าบ้านเป็นกลุ่ม แต่เด็กเหล่านั้นก็มีท่าทีที่ตื้นกลัวทุกครั้งยามเมื่อย่างเท้าผ่านหน้าบ้านเขา แต่ความตื้นกลัวเหล่านั้นก็จะหายไปเมื่อเดินผ่านหน้าบ้านเขาไปได้เพียงครู่ เสียงหัวเราะจะดังขึ้นมาแทนที่ แว่วและล่องลอยมาจากอากาศอย่างแผ่วเบา

    เด็กชายขยับตัวลุกขึ้น ปีกสองข้างที่งอกออกมาจากแผ่นหลังขยับตาม ยามเมื่อเขาหยุดมันก็จะหยุดนิ่งแล้วค่อย ๆ หุบลง ขนอ่อนของมันเท่านั้นที่จะพริ้มไหวไปตามแรงลมอ่อน เด็กชายรู้สึกรำคาญกับส่วนเกินที่งอกออกมานี่ เขาเคยคิดว่าถ้ามันสามารถนำพาเขาโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ก็คงจะดี เขาจะได้ไปให้ไกลจากที่แห่งนี้ แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น มันกลับเป็นส่วนเกินที่งอกออกมาอย่างไร้คุณค่า และทำลายชีวิตเขาให้ต่างกับคนอื่น ๆ

    พ่อพูดกับเขาน้อยครั้ง แม่เสียอีกที่ดูจะสนใจเขามากกว่า แต่กระนั้นท่าที่ของแม่ก็ยังห่างเหินเขา แม่คิดหวาดระแวงและกลัวในสิ่งที่เขาเป็น ส่วนพ่อหวาดระแวงทั้งตัวเขาและตัวแม่...พ่อเที่ยวถามใครต่อใครที่เอาของเข้ามาแลกในหมู่บ้านว่าเคยพบเห็นเผ่าพันธ์มนุษย์มีปีกที่ไหนบ้างไหม เพราะพ่อปักใจเชื่อว่าแม่แอบมีชู้กับมนุษย์เผ่าพันธ์นั้น คนที่พ่อถามกลับหัวเราะดังลั่นแถมยังขอให้พ่อพาไปดูมนุษย์ที่มีปีก เขาท้าว่าถ้าสิ่งที่พ่อพูดนั้นเป็นจริงเขายินดีจะหาทุกอย่างมาแลกกับพ่อ พ่อตอบปฏิเสธไป เขาไม่รู้ว่าที่พ่อปฏิเสธนั้นเพราะพ่อละอายหรือคิดอย่างไรกันแน่ และดูเหมือนว่าคนที่พ่อถามจะเชื่อว่าพ่อพูดเล่นมากกว่าจริง “คนที่ไหนมีปีก ถ้ามีมันก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างเรา ๆ แล้ว” เขากล่าวกับพ่อก่อนจากไป และนับตั่งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายเช่นเขาก็ถูกยกระดับให้อยู่เหนือคนในหมู่บ้าน และอยู่กันให้อยู่นอกหมู่บ้านด้วย...ผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านจึงมาช่วยสร้างบ้านให้เขาอยู่ ใครไม่รู้พูดว่าต้นไม้สูงนี้อาจจะเป็นทางที่จะนำเขากลับขึ้นไปยังเบื้องบนที่ ๆ เขาจากมาก็ได้ แต่ลึก ๆ พ่อมีเหตุผลขัดแย้งกับคำพูดนั้น พ่อคิดว่าเป็นเพราะต้นไม้ต้นนี้นำพาชายชู้มาลอบสมสู่กับแม่

    เด็กชายเดินมุ่งไปยังบ้าน หมอกสีขาวปะทะใบหน้าเขาดูชื้นเย็น ขนขาวตรงปีกก็แลดูหมาดละอองหมอก แต่ถ้าเขาเดินไปมา ปีกที่ขยับขึ้นลงนั้นจะเกิดแรงลมทำให้ขนแห้ง เป็นเงาสีขาวสวยงามดังเดิม แต่วันนี้เขารู้สึกเบื่อที่จะเดินไปไหนมาไหนโดยเฉพาะการเดินย่ำอยู่แต่รอบบริเวณบ้านเช่นนี้ เขาอยากจะเดินไปยังที่ ๆ คนอื่น ๆ เขาอยู่ ที่ ๆ เด็กกลุ่มนั้นเล่นกัน แต่เขาก็ทำไม่ได้เพราะผู้คนเหล่านั้นต่างพากันหวาดกลัวเขา ครั้งหนึ่งมีคนมาแอบดูเขาซึ่งนั่งอยู่ในบ้าน เมื่อเขาหันไปเห็น คนนั้นก็มีท่าทีตื้นกลัววิ่งหนี่ไปทางสายน้ำที่อยู่เลยบ้านเขาไปไม่ไกล สายน้ำแห่งนี้เชียวและลึก ความกลัวของชายคนนั้นทำให้เขากระโจนลงสู่แม่น้ำ แล้วสายน้ำแห่งนั้นก็กลืนกินชีวิตชายคนนั้นไป

    ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างวิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา บางคนว่าเขาบินไกลชายคนนั้นให้ตกน้ำ บางคนว่าเขาใช้พลังที่มองไม่เห็นกระทำ ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจึงออกกฏสั่งห้ามไม่ให้ใครย่างเข้าบริเวญบ้านของเขาอีก นอกจากพ่อ-แม่เขาเท่านั้นที่เอาอาหารมาให้ และพ่อก็เช่นกันสั่งห้ามเขาไปนั่งอยู่หน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงคนเดินผ่านมา

    2.
    และแล้วก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ สายน้ำที่เคยไหลกลับหยุดนิ่งและเหือดแห้งไปในที่สุดสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านทั่วไป ผู้เฒ่าจึงสั่งให้ชาวบ้านทุกคนนำไก่ที่เลี้ยงเอาไว้มาทำคนละตัว เพื่อฆ่ามันเป็นการขอขมาต่อดินฟ้าตามที่ผู้เฒ่าเชื่อ ชายหนุ่มที่ดำรงชีพด้วยการตัดไม้ในป่าไปแลกของต่างหมู่บ้านจึงหยุดตัดไม้ชั่วคราวเพื่อเอาไม้นั้นมาสร้างเป็นแท่งบูชา แล้วผู้เฒ่าก็จัดการเชือดไก่ทีละตัว ๆ ทุก ๆ วัน จนกว่าสายน้ำนั้นจะกลับไหลดังเดิมเช่นแต่ก่อน แต่จนถึงบัดนี้สายน้ำแห่งนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาไหลเลย ผู้เฒ่าจึงเรียกประชุมทุกคนในหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันมานี้

    “ฉันว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านเราแน่ ๆ” น้ำเสียงของผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านดังอย่างเนิบช้า

    “ฉันก็ว่า”

    “ใช่ฉันก็คิดเช่นนั้น”

    “ไก่ในหมู่บ้านเราเกือบหมดแล้วนะ ยังไม่มีวี่แววของสายน้ำเลย” ชายที่ดูหนุ่มสุดพูดขึ้น

    “จะทำอย่างไรดีละ...นี่เรามิต้องย้ายไปอยู่กันที่ใหม่หรือ” น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนกล่าวเป็นกังวล

    “ฉันก็ว่าดีนะ เดี๋ยวนี้เราต้องเดินไกลเพื่อไปหาตัดไม้” ผัวของนางว่า

    “ใช่...ฉันก็ว่า ย้ายดูก็อาจจะดีเหมือนกัน”

    “แต่ฉันว่านะ ถ้ามีใครสังเกตจะเห็นว่ายังมีอีกอย่างที่เปลี่ยนไปก่อนสายน้ำนั้นเสียอีก” ใบหน้าของผู้ชราที่สุดครุ่นคิดก่อนพูดต่อ “ข้าไม่เคยเห็นฝนตกมานานแล้วนะ”

    สิ้นเสียงของชายชราก็ได้ยินเสียงขานรับ “ใช่ ๆ” ดังพร้อมกัน

    “งั้นคงเป็นเพราะคนมีปีกนั้น” หญิงสาวที่ยืนอุ้มลูกพูดขึ้น พร้อมกับเสียงขานรับ “ใช่” ดังเช่นเดิม

    “เขาทำให้คนในหมู่บ้านเราตาย น้ำแห้ง และฝนไม่ตก” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    “แล้วเราจะทำอย่างไรดีละ” ผู้ชราถามขึ้น ทุกคนเงียบเหมือนครุ่นคิด

    3.
    เมื่อวานแม่เข้ามานั่งคุยกับเขา แม่นั่งห่างไกลจนดูผิดปกติ แต่ก็ยังดีกว่าพ่อที่ยืนอยู่นอกบ้านโดยมีพร้าคมวาวถือมั่นอยู่ในมือ เขานั่งฟังแม่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น และข้อตกลงของคนในหมู่บ้าน

    “ลูกคงเข้าใจนะว่าหมู่บ้านเรานั้นตอนนี้เดือดร้อนมาก ๆ” แม่พูดกับเขาก่อนจะลุกจากไป

    “เป็นความผิดของผมหรือครับที่เกิดมาเป็นเช่นนี้” เขาถามก้มหน้านิ่ง สายลมวูบไหวเข้ามาทางหน้าต่างมันลูบไล้ขนสีขาวของเขาอย่างนุ่มนวล แม่ไม่ตอบอะไรก้าวลงจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เขามองแม่เดินตามหลังพ่ออกไปจนลับสายตาท่ามกลางสายหมอกสีขาว เขานั่งนิ่งอยู่กับที่น้ำตาของเขาไหลออกมา ขนสีขาวหลุดออกจากปีกเส้นหนึ่ง มันลอยสูงขึ้นตามแรงลม เขาเงยหน้ามองมันที่กำลังลอยลับหายไปในอากาศเบื้องบน...

    บัดนี้ถึงเวลาอีกไม่กี่วันแล้วที่เขาต้องไปทำพิธี เขาคิดว่าคงไม่มีความสูญสิ้นอันใดที่จะเกิดกับเขาได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เขาอยากจะทำก็คือการได้เป็นส่วนหนึ่งของเด็กกลุ่มนั้น กลุ่มที่เขาเฝ้าจับตามอง กลุ่มที่เขาต้องการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในเสียงหัวเราะ และตอนนี้เขารู้ว่าเสียงที่ดังแว่วมานั้นคือเสียงของเด็กกลุ่มนั้น เขาตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาชั่วแวบหนึ่งนั้นเอง

    เด็กชายนั่งหลบอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ด้วยใจระทึก เสียงฝีเท่าหลายคู่เดินใกล้เข้ามา แล้วกลับเบาลงเหมือนย่องเดิน เขารู้แล้วว่าเด็กเหล่านั้นอยู่ไม่ไกลเขาเท่าใดนัก เขานับหนึ่ง สอง สามเงียบ ๆ อยู่ในใจเพียงครู่เขาก็กระโจนออกไปยืนขวางหน้าเด็กกลุ่มนั้น

    เด็กทั้งหมดที่เห็นเขายืนตะลึงนิ่งเปิกตาค้าง แต่แล้วเพียงครู่เด็ก ๆ ต่างก็ขยับเท่าจะก้าวหนี ชั่ววินาทีนั้นเองเขาก็ตัดสินใจพูดออกไป “ใครหนีฉัน ๆ จะทำให้ตายเหมือน...เหมือนชายที่จมน้ำนั้น” เป็นผล! เด็กทุกคนต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

    เด็กชายเดินเข้าไปหาเด็กชายร่างอ้วนที่สุด “นายกลัวฉันหรือ”

    “ฉัน...เออ...ฉันกลัว” เด็กร่างอ้วนตอบน้ำเสียงตะกุกตะกัก พลางก้มหัวลงต่ำ

    “ฉันด้วย” เด็กหญิงที่ยินอยู่ถัดไปกล่าว แล้วปล่อยสะอื้นออกมาเบา ๆ

    เด็กชายรู้สึกเสียใจกับคำขู่ของเขาที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว เขายังคงเดินวนรอบกลุ่มเด็กไปมา ปีกของเขาขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า สายตาของเด็กทุกคู่จ้องมองไปยังปีกที่พริ้มไหวนั้น

    “ทำไมพวกเธอต้องกลัวฉัน” เขาถามเสียงอ่อย

    “เธอฆ่าชายคนนั้นตายในสายน้ำ”

    “เธอทำให้น้ำไม่ไหล”

    “เธอทำให้ฝนไม่ตก”

    “ใช่ ๆ...แล้วเธอ...เออ...เธอก็มีปีกด้วย เธอไม่เหมือนเรา”

    เด็กชายยืนนิ่ง ปีกที่แผ่นหลังค่อย ๆ หุบลง “ฉันไม่ได้ต้องการเกิดมาอย่างนี้”

    “แต่เธอก็มีมันแล้ว” เด็กหญิงพูดขึ้น เสียงสะอื้นเริ่มหยุดแล้ว

    “ฉันไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นตาย” เด็กชายมีปีกแก้ตัว

    “แต่แม่บอก...ชายคนนั้นเห็นเธอก่อนตาย”

    “ใช่...ฝนไม่ตกหลังจากเธอเกิด”

    “สายน้ำที่แห้งนั้นด้วย มันเริ่มแห้งหลังจากเธอเกิด และชายคนนั้นตาย”

    “แต่ฉันก็ไม่เคยออกไปไหนเลยนะ ฉันจะทำมันได้อย่างไร” เด็กชายมีปีกพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโห

    “เธอทำได้สิ...เธอเป็นผู้วิเศษ เธอสามารถทำได้” เด็กหญิงร่างเล็กสุดพูด

    “เธอเชื่ออย่างนั้นหรือ” เด็กชายมีปีกถาม มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

    “ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็พูดอย่างนั้น”

    “ใช่ พ่อแม่ฉันก็บอกอย่างนั้น

    “รวมทั้งผู้เฒ่าของเราก็บอกด้วย”

    เด็กชายนิ่งไปอีกครั้ง เด็กทุกคนต่างคลายสีหน้าหวาดกลัวลง แล้วจู่ ๆ เด็กชายมีปีกก็เอ่ยถามขึ้น “พวกเธอคิดว่าปีกของฉันสวยไหม”

    “ฉันว่าสวย”

    “เหมือนนก” อีกคนเสริม

    “ไม่เหมือนนก นกมันบินได้ แต่เขาบินไม่ได้” เด็กชายร่างอ้วนเถียง “แต่ฉันก็ว่ามันสวนนะ”

    “ทำไมเธอไม่ลองขยับบินดูละ” เด็กหญิงถามในใจอยากเอื้อมมือไปสัมผัสขนสีขาวบนปีกนั้นแต่ก็กลัว

    “เคย...ฉันเคยลองหลายครั้งแล้วแต่มันบินไม่ได้” เด็กชายตอบน้ำเสียงเศร้า ๆ

    “แปลก...มันน่าจะพาเธอบินสู่ท้องฟ้าได้”

    “มันจะทำให้เธอดูเหมือนนกกว่านี้ด้วย” เด็กร่างอ้วนกล่าวเสริม

    “พวกเธอว่าสวนฉันยกให้เอาไหม” เด็กชายพูดพลางคิดในใจว่าถ้าเกิดมีคนเอามันจริง ๆ เขาจะถอดมันออกอย่างไร

    “ไม่เอาฉันไม่ต้องการ” เด็กหญิงร่างเล็กพูด

    “มันจะทำให้ฉันต้องอยู่อย่างเธอ ไม่มีเพื่อน”

    “ใช่ ๆ แล้วมันจะต้องทำให้ฉันถูกบูชาเหมือนไก่!” เด็กหญิงพูดขึ้น พลันนั้นเองสายตาของทุกคู่จ้องมองไปที่ใบหน้าเธอ

    “บูชา” เขาพูดซ้ำ ๆ กับตนเอง คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร เมื่อวานได้ยินแม่พูดแต่แม่ก็ไม่ได้บอกอะไรเลย เขาจึงตัดสินใจถาม “บูชาคืออะไร”

    “ฉันไม่รู้” เด็กร่างอ้วนพูดตะกุกตะกัก “ฉันแค่รู้ว่าผู้เฒ่าเอาไก่มาเชือดคอ แล้วห้อยหัวมันเพื่อให้เลือกไหลสู่ขอนไม้ และผืนดิน แม่บอกว่านั้นคือการบูชา…แม่บอกว่าการทำอย่างนั้นอาจจะให้สายน้ำกลับมาไหลดังเดิม”

    “อึ๊ย...น่ากลัว” เด็กหญิงร่างเล็กว่าพลางชักสีหน้าหวาดกลัว

    “ใช่น่ากลัว”

    “แต่ปีกของเธอสวยนะ คงน่าเสียดายถ้ามันต้องเปื้อนเลือด”

    “ใช่...ฉันก็ว่าน่าเสียดาย”

    “แต่พ่อบอกว่าเธอเกิดมาเพื่อจะถูกบูชามากกว่าเกิดมาเพื่อตัดไม้อย่างพ่อ” เด็กร่างอ้วนพูด

    “แม่ฉันก็ว่านะ”

    “เธอน่าจะบินได้เธอจะได้ไปอยู่ที่อื่น ฝนจะได้ตก น้ำจะได้ไหลดังเดิม”

    “แล้วเธอก็อาจจะไม้ต้องถูกบูชาเหมือนไก่”

    เด็กชายเซถอยหลังเหมือนจะล้ม ปีกของเขาขยับขึ้นลง สายลมเมื่อเกิดจากการขยับปีกพัดพาเอาหมอกสีขาวที่อยุ่รอบตัวเขาปลิวไหลเป็นวงกว้าง เขานึกภาพของตัวเองห้อยหัวแล้วถูกเชือดที่คอ

    จากคุณ : แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า - [ 28 ก.ย. 46 15:56:57 A:203.121.131.38 X:203.152.40.83 ]