ตรงนี้...ที่ของใจ (ตอนแรก)


    เสียงตะโกนเรียกชื่อแว่ว ๆ ดังมาจากริมถนนสายเล็กลาดยางมะตอยสีดำขนาดสองเลน
    รถกระบะสีเหลืองเก่าคร่ำเบนหัวเข้ามาจอด
    ในทางสายเล็ก ห่างจากไม้ไผ่ขนาดท่อนแขน
    ที่ใช้กั้นทางเข้า-ออกประมาณร้อยเมตร  

    คนที่ยืนอยู่ริมน้ำ ซึ่งเป็นสระขนาดไม่ใหญ่นัก เพ่งมองคนสองคนที่โบกไม้โบกหยอย ๆ
    ยิ้มฟันขาวจนน่าเอาไปโฆษณายาสีฟัน
    อยู่ริมทางเข้า-ออก มือเรียววางถังพลาสติกสีดำ
    ที่ใส่รำข้าวสีน้ำตาลลง ก่อนเดินลิ่ว
    กลับมาทางที่มีคนยืนอยู่

    “จ๋าจ้า  เอ มาได้ไง?”   ปากขยับ
    ส่วนมือก็ดันไม้ไผ่ท่อนหนึ่งไปทางขวา
    กว้างพอให้คนที่ยืนอยู่ลอดผ่านเข้ามาได้

    จ๋าเดินเข้ามากอดคนตัวสูงไว้
    หล่อนตัวเล็กกว่า เพราะอีกคนเล่นสูงถึง 170 เซนติเมตร เลยดูเหมือนน้องน้อยกอดพี่สาว
    ที่คงเป็นพี่น้องที่แต่งตัวต่างกันมาก
    เพราะคนตัวสูงใส่เสื้อแขนยาวลายตารางสีทึม ๆ
    พร้อมกางเกงวอร์มขายาวสีดำ มีงอบสีน้ำตาลอ่อน
    ใบใหม่อยู่บนศรีษะ ใต้เท้ามีรองเท้าแตะแบบคีบ
    สีกระดำกระด่างเป็นชิ้นสุดท้าย
    ส่วนคนตัวเล็กกว่าใส่เสื้อยืดแขนกุดสีครีมออกขาว กางเกงยีนส์สีซืดยี่ห้อดังพร้อมรองเท้าผ้าใบ
    สีขาวแดงตัดกันอย่างน่าดู

    “ก็จ๋าคิดถึงบัวนะสิ
    แล้วเอก็กลับมาพอดีเลยชวน ๆ กันมา
    อยากมาคุยกับบัวด้วย”  
    เสียงเล็ก ๆ ใสที่เหมาะกับเจ้าตัวตอบกลับมา

    “บัวก็คิดถึงจ๋าจ้า”  
    บัวหอมตอบคนตัวเล็กกว่าตรง ๆ
    เมื่อดึงคนตัวเล็กออกห่าง

    “จ๋าจ้าดูผอมไปนะ ไม่ค่อยกินข้าวเหมือนเดิมล่ะสิ”

    “บัวก็ดูผอมไปเหมือนกัน”

    “โอ้ย…มัวแต่ซึ้งกันอยู่นั่นแหล่ะ
    ลืมพระเอกไปหรือเปล่าครับ”  
    เสียงน้อยอกน้อยใจดังมาจากคนที่ลอดตามเข้ามา

    ใบหน้าเรียว แก้มอิ่มออกแดงนิด ๆ เนื่องจากอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน
    ดวงตายาวรีของบัวหอมเหลือบมองชายหนุ่ม

    “อี้!.พระเอกพูดมาได้หน้าตาเฉย เราก็คิดถึงแกว่ะเอ แต่คงกอดแกไม่ได้อย่างจ๋าจ้าหรอกนะ”
    “เราก็คงไม่คิดสั้นกอดบัวเหมือนกันว่ะ”  เสียงห้าวทุ้มสวนทันควัน
    “ไอ้เอ แก…วอนตายซะแล้ว”  หล่อนถอดงอบบนศรีษะออกแล้วชี้ไปยังคนตรงหน้าทำท่าเหมือนจะปาไปตัดคอ เรียกเสียงหัวเราะจากวงสนทนาขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี

    จารวี หรือจ๋าจ้าที่บัวชอบเรียก ดูจะเป็นคนเรียบร้อยที่สุดเมื่อเทียบกับหล่อน จ๋าตัวเล็ก ผิวขาวเนียน ผมยาวตรงดำขลับ หน้าเรียวยาวซึ่งถอดเค้ามาจากบิดา ด้วยความที่เป็นลูกหลง เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในจำนวนพี่ชายสามคน ซึ่งหล่อนห่างจากพี่ชายคนสุดท้ายเกือบเจ็ดปี ทำให้คนภายนอกมองหล่อนเป็นคุณหนูผู้บอบบาง แต่ความจริงแล้วความเกร่งของจ๋าจ้าก็ไม่น้อยหน้าใครให้เสียงชื่อนายทหารยศพันเอก พ่อของหล่อนได้
    ส่วนเอราวุธหรือเอ ชายหนุ่มหน้าขาว ตาตี่สมเชื้อสายของบรรพบุรุษแต่ดั้งเดิม สูง ผอมแต่ไม่ได้แห้งจนบาง จัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งถ้าปากไม่เสียอย่างที่บัวหอมคิด ทางบ้านมีกิจการหลายอย่างแต่เจ้าตัวดันไม่ชอบ เลยออกมาทำงานนอกบ้าน ดีนะที่เขาไม่ใช่พี่ชายคนโตแต่เป็นลูกคนเล็กคนโปรดในจำนวนพี่น้องห้าคน แถมเป็นผู้ชายหมดเสียด้วย  
    และหล่อนเป็นคนในอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับสาธาณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยมีแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหืองกั้นกลาง เธอเข้าไปร่ำเรียนเก็บเกี่ยวความรู้จากเมืองหลวงของประเทศตั้งแต่อายุได้สิบขวบกับญาติทางฝ่ายพ่อและแม่ที่ตามไปอยู่ด้วยเมื่อพ่อของหล่อนเสียไป
    จนกระทั่งเรียนจบ ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ถึงปีหนึ่งเต็ม ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเข็มชีวิตไปทำงานกับบริษัทขนาดกลางที่จ๋าจ้าและเอทำงานอยู่ก่อนแล้ว ด้วยวัยที่เท่ากันทำให้ทั้งเธอและเพื่อนอีกสองคนกลายเป็นสามสหายประจำแผนกไปโดยปริยาย

    “นึกไงลาออกว้า ทำมาตั้งสี่ปีแล้ว”  ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเปิดประเด็นถามเมื่อทั้งหมดพากันเดินมาจนถึงเพิงไม้ปลูกหยาบ ๆ ที่ทำไว้อาศัยหลบแดดหลบฝนซึ่งสร้างหันหน้าเข้าหาภูเขาลูกเล็กตรงข้ามกับท้องถนน
    เจ้าของบ้านเดินไปหยิบขันอลูมิเนียมใบเล็ก ตักน้ำจากตุ่มดินเผาที่ตั้งอยู่บนขอนไม้ขนาดใหญ่ ยื่นให้ทั้งสองคน เมื่อน้ำเย็นชื่นใจล่วงลงสู่คอของสองสหาย บัวหอมเลยตอบคำถามที่เอราวุธถามไว้  
    “เราอยากกลับบ้าน…ไม่ได้อ่านเมลที่ส่งไปให้เหรอ”  เธอถามกลับอย่างสงสัย เพราะได้ส่งข่าวไปให้เพื่อนตั้งแต่อยู่ต่างประเทศแล้ว
    “อ่าน แต่มันไม่เคลียร์ว่ะบัว”  
    บัวหอมยิ้มละไม เข้าไปนั่งขั้นกลางระหว่างเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่
    “อย่างที่บอก…เราอยากกลับบ้าน จริงอยู่เราเข้าไปอยู่กรุงเทพตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าโตกับสังคมที่โน่น เปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกเป็นคนเมือง รับวัฒนะธรรมอย่างคนกรุงเขาปฏิบัติกัน แต่ที่นี่…นี่เป็นบ้าน…เป็นที่เราเกิด อีกอย่างแม่บอกว่า แม่อยากกลับมาตายที่นี่…แล้วเราก็อยากกลับมา มาทำอะไรที่ไม่ต้องแข่งขันกับเวลา ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ต้องคาดหวังถึงอนาคตว่าฉันจะต้องดิ้นรนหาเงินให้พอใช้พอผ่อนของที่อยากได้ อยู่ที่นี่เราก็มีความสุขเพียงแค่ขาดเพื่อนอย่างจ๋าจ้า กับแกที่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับสังคมเมืองใหญ่ก็เท่านั้น เคลียร์งานเสร็จก็ออกมาเลย ดีนะที่จ๋าจ้ากับเอยังอยู่ น้อง ๆ ที่แผนกก็เรียนรู้ไว เราคุยกับแม่ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน”  
    เอราวุธมองเพื่อนอย่างรับรู้ในเหตุผล
    ”ป้าเป็นอะไร อาการหนักมากเลยเหรอ”  เสียงชายหนุ่มตกอกตกใจไม่น้อย
    สองสาวมองหน้ากัน หัวเราะซะลั่นกับอาการของชายหนุ่ม
    “ไอ้บ้าเอ แช่งแม่ฉันเลยเรอะ! แม่สบายดี ตอนนี้ไปหาตาอีกอำเภอกว่าจะกลับก็โน่น อาทิตย์หน้า”
    “อ้าว…ไอ้เราก็นึกว่าเป็นอะไร ก็บัวบอกเองนี่”  ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มยกมือเกาหัว หัวเราะตามสองสาวขำความเหวอของตัวเองไปด้วย
    “แม่ไม่อยู่เหรอ แย่จัง อย่างนี้จ๋าก็อดกินเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายของโปรดแล้วสิ”  คนตัวเล็กทำปากยื่นอย่างเสียดาย
    คุณอาภรณ์แม่ของบัวเป็นคนทำกับอาหารเก่งมาก อาจจะเพราะเคยเปิดร้านอาหารมาก่อน ก่อนจะร้างรามาเป็นแม่บ้านอย่างเดียวซึ่งผิดกับคนเป็นลูก แต่ด้วยความเคี่ยวเข็ญของคนเป็นแม่ทำให้เพื่อนของเธอทำกับข้าวอร่อย ๆ ได้หลายอย่างไม่น้อยหน้าคนคอยสั่งคอยสอน ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองไม่รู้หรอกว่า ตัวเองก็มีฝีมือทางนี้เหมือนกัน
    “ถ้าจ๋าอยากกิน บัวทำให้กินก็ได้”
    “อ๊าก! ไม่ต้องเลยบัว เรายังอยากมีชีวิตดูโลกต่อ ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าเลย”  เอราวุธร้องเสียงหลง ทำหน้าทำตาสยอง ทำเอาคนอาสาค้อนให้ตาเขียว
    “ล้อเล่นน่ะ บัวอย่าทำอะไรเราเลยนะ”
    “บัวกลับมาได้เกือบเดือนแล้วทำอะไรมั่งล่ะ”  จารวีเปลี่ยนเรื่องขึ้นก่อนเมื่อเห็นท่าจะไม่ค่อยดี
    “ตอนนี้เหรอ…ก็อยู่บ้าน ตอนเช้า ๆ กับแดดร่มลมตกแบบนี้ก็จะมาที่นี่ให้อาหารปลาที่บ่อตรงโน้น ที่เรายืนอยู่ตอนแรกนั่นล่ะ บัวเอาปลาแรดมาลงเพิ่มอีก…ปลาเนื้อนิ่มตัวใหญ่แต่มัน ที่เราไปกินที่ร้านพี่ณีบ่อย ๆ ไง”  จารวีพยักหน้าอย่างจำได้
    “ปลาชื่อสมตัวคนเลี้ยงดีว่ะ”
    “ไอ้เอ! ถ้าแกไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอะไรแกหรอกนะ คราวหน้าฉันจะเลี้ยงปลาปิรันย่าแทน เอามาให้มันกัดปากแก”  บัวหอมลุกยืนท้าวสะเอวอย่างเอาเรื่อง  อีกฝ่ายเลยยกมือยอมแพ้ พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างเด็กขี้ประจบ
    “เอก็ หาเรื่องบัวอยู่ได้ เลยไม่รู้อะไรกันพอดี”  จ๋าขัดขึ้น  
    “เออดี จ๋าจ้าว่าเอมันซะบ้าง ไอ้นี่นะบัวว่า มันไม่ยอมหยุด ต้องเจอจ๋าจ้าค่อยสงบหน่อย”  บัวยักคิ้วให้ชายหนุ่มที่ยกมือตัวเองขึ้นทำท่าปิดปากอยู่  “อีกอย่างอาทิตย์หน้าบัวก็จะเริ่มงานใหม่แล้ว”
    “ทำอะไรล่ะ”
    “เป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ แต่เป็นแค่ลูกจ้างนะ พอดีลุงเรารู้จักกับอาจารย์ใหญ่ที่นี่ พอท่านรู้เลยบอกให้เรามาช่วยงานที่นั่นก่อนเพราะพี่ที่ทำอยู่ประจำเขาลาคลอดเดือนหน้า”
    “เจ้าหน้าที่ห้องสมุดนี่นะ!!”  สองหนุ่มพูดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
    “ทำได้ไง”  เอราวุธยังพูดต่อ
    บัวหอมยิ้ม ขำกับท่าทางของเพื่อนทั้งสอง จริงสินะงานที่เธอทำอยู่ต่างเกี่ยวกับพวกตัวเลข การคำนวณ หรือต้องติดต่อกับผู้คนมากหน้าหลายตา ห่างและต่างคนละขั่วกับงานที่เธอต้องทำในอาทิตย์ที่จะถึง
    “ได้ไม่ได้ก็ตกลงไปแล้วล่ะ ถ้าจ๋าจ้ากับเอยังอยู่ก็จะได้รู้ว่าเราทำได้หรือเปล่า เออ…แล้วนี่จะอยู่กี่วันล่ะ พูดแล้วนึกขึ้นมาได้ คุยกันมาตั้งนานจนจะมืดแล้ว”  บัวหอมตอบพร้อมถามเพื่อนทั้งสองกลับ
    “ลามาได้สองวัน วันนี้พฤหัสฯ วันอาทิตย์ก็ต้องกลับแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มตอบ โดยมีจารวียิ้มยืนยันมาอีกที
    “ดีเลยมีเวลาเหลืออีกสองวัน เอาไว้บัวจะพาไปเที่ยว ถึงที่นี่จะมีที่เที่ยวน้อยแต่ที่อื่นมีเพียบ ไหน ๆ ก็มาแล้วต้องเที่ยวให้คุ้มกันหน่อย แต่บัวว่าตอนนี้เรากลับบ้านกันดีกว่านะ”  
    จารวีตอบทำท่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้  
    “เอ พวกเรายังไม่ได้เอากระเป๋าลงมาจากรถคันนั้นเลยนะ”  หญิงสาวพูดเสียงอ่อย ๆ พร้อมรอยยิ้มแหย ๆ ให้เอราวุธซึ่งก็ส่งยิ้มที่ไม่ค่อยต่างกันนักกลับมาเหมือนกัน


    ++++++++++++++++++++

    จากคุณ : พิจิกา...ปลายฝนต้นหนาว - [ 29 ก.ย. 46 16:08:46 A:202.183.157.65 X: ]