เงาอสรพิษ 2


    ตอนที่แล้ว
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2461898/W2461898.html

    +++

    “หน้าตาคุณไม่ค่อยสบายเลยนะ......”

    ชายวัยกลางคน เพื่อนบ้านชะโงกหน้าข้ามกำแพงบ้านมาทักทาย  เมื่อเห็นหน้าผมในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ในขณะที่ผมโผเผงัวเงียออกมาอยู่สนามหญ้าข้างบ้านและสอดส่ายสายตาหาอะไรบางอย่างตามพื้นหญ้า ต้องตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีไอ้พวกตัวร้ายอยู่แถวนี้

    “ฮื่อ.....พักนี้ไม่ค่อยสบาย”   ผมไม่ปฏิเสธสมมุติฐานของเขา เพื่อนบ้านคนนี้คุ้นหน้าคุ้นตากันมาหลายปี เขาทำงานเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกพวกพืชพักผลไม้อะไรทำนองนั้น และดูท่าธุรกิจกำลังดำเนินไปด้วยดี

    “น่าจะไปหาหมอนะ”  เขาแนะนำอย่างหวังดี

    “ขอบคุณ แต่เอาไว้ให้แย่กว่านี้หน่อยเถอะ”  ผมว่า

    “แค่นี้คุณยังแย่ไม่พออีกหรือ”

    “ผมดูแย่มากเลยหรือไง”  

    เพื่อนบ้านยังไม่ตอบการย้อนถามนั้น  หากจ้องหน้าผมอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าช้าๆ พูดด้วยเสียงเหมือนปลงสังเวชว่า

    “คุณดูแย่มาก  ท่าทางคุณเหมือนคนนะ”

    คำพูดนั้นทำเอาต้องหันหน้าไปมองคนพูดอย่างสงสัย  หมอนี่จะมามุขไหนอีก หาว่าเราเหมือนคน ไม่เหมือนคนแล้วจะเหมือนอะไรฟะ....

    ใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างที่เคยคุ้นจนชินตา แต่ลิ้นสองแฉกที่แลบแพร่บๆออกมาจากปากราวสายฟ้าคะนองฝนนั่นทำให้ยืนตะลึงและไม่แน่ใจในภาพที่ตนเองเห็น สิ่งที่เห็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกลงไปอีกด้วยรอยยิ้มซึ่งแสยะเรียวเล็กฉีกแผ่ออกไปทางใบหูทั้งสองพร้อมกับเขี้ยวเล็กๆแต่ยาวโง้งทำให้ผมชาดิกไปทั้งตัว มันบ้าอะไรกันนี่... ไม่มีใครยิ้มแบบปากฉีกไปจรดใบหูแบบนี้ได้

    “เอ๊ย.....!!!

    ร้องออกมาได้คำเดียว ส่วนคำพูดอื่นๆติดอยู่ตรงคอหอย เซไปด้านหลังจนขาขวิดกันล้มลงก้นจ้ำเบ้าปากอ้าตาค้างมองภาพเบื้องหน้าประหนึ่งคนตกอยู่ในฝันร้าย ภาพที่เห็น หูที่ได้ยิน มันกะทันหันเกินไปจนตั้งตัวไม่ทัน

    เรียวปากซึ่งแยกแสยะจรดใบหูด้านบนเปลี่ยนเป็นอ้าค้างเหมือนอาการคนซึ่งตกใจ แต่เมื่ออยู่บนเรียวปากยาวเหยียดแบบนี้มันให้ความรู้สึกน่าเกลียดน่ากลัวจนบอกไม่ถูก แถมศีรษะนั่นยังคงค่อยๆยกสูงขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่โผล่พ้นกำแพงบ้านขึ้นมาถัดจากศีรษะคือลำคออันยาวเหยียดเป็นมันเลื่อมและเกล็ดอันแวววาว

    นั่นมันงูขนาดยักษ์ชัดๆ เพียงศีรษะเป็นคนเท่านั้น

    ประสาทหลอน...ประสาทหลอน... ผมหลับตาท่องในใจอย่างไม่คิดชีวิต ย้ำตัวเองให้แน่ใจในสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน และเมื่อประสาทมั่นคงพอลืมตาขึ้น ภาพที่น่าสยดสยองแบบนี้ต้องหายไป เคยอ่านในหนังสือบอกว่าภาพหลอนเกิดจากความไม่มั่นคงของภาวะจิตใจเท่านั้น

    ข่มสติจนมั่นคง จึงค่อยลืมตาขึ้น

    ปากแดงฉานและเขี้ยวยาวโง้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่คืบ เอียงคอมองมาอย่างสงสัยเหมือนงูยักษ์จ้องมองเหยื่ออย่างไม่แน่ใจ ปากของเขาตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้นจนร่นนัยน์ตาถดถอยปล่อยให้ปากยื่นตรงออกมาและลิ้นสองแฉกไหววูบวาบ ยังมองเห็นลำคอซึ่งเหมือนงูขดคดเคี้ยวอยู่ทางด้านหลัง

    ภาพหลอนไม่หลอนไม่ต้องคิด

    “โอ๊ย!!!!!!!”

    ร้องออกมาได้คำหนึ่งแล้วตะกายพื้นวิ่งกลับเข้าบ้านไม่คิดชีวิต วิ่งพล่านปิดประตูหน้าต่างชั้นล่างของตัวบ้านทุกบานเหมือนคนบ้าจนแน่นหนา เมื่อแน่ใจแล้วจึงค่อยแนบหน้ามองสังเกตการผ่านกระจกหน้าต่างออกไปขณะที่เนื้อตัวยังสั่นเทาไม่หาย

    ลำคอยาวเหยียดของเพื่อนบ้านหดเข้าไปอยู่ในเขตบ้านของเขาแล้ว  แต่ยังยืดขึ้นลดลงส่ายไปมาอยู่เช่นนั้นอย่างน่าขนลุกขนพองพลางจ้องมองมาอย่างสงสัยแกมประหลาดใจ

    “เฮ้......คุณเป็นอะไรไป แน่ใจนะว่าคุณเป็นปรกติดี”

    เสียงเพื่อนบ้านคนนั้น (หรือตัวนั้น) แว่วมาพอได้ยิน เพราะมีกระจกกั้นเอาไว้ บางทีเสียงอาจผ่านเข้ามาทางช่องลมด้านบนของหน้าต่าง

    “ไปลงนรกซะ...!!!”

    ผมร้องสวนออกไปดังๆ แต่คิดว่าเขาอาจไม่ได้ยินก็ได้

    “เปิดประตูออกมาคุยกันดีกว่า”

    “แกไปให้พ้น”

    ตอนนี้ผมอยากจะบอกว่าแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่พบเห็นได้ยินและสัมผัสมาตลอดหลายวัน มันไม่ใช่ภาพหลอนหรือความฝัน มันชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น  จริงอย่างที่ควรจะจริง  แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกดีขึ้นเลย ตรงข้ามมันกลับทำให้แย่ลงกว่าการคิดว่าเกิดภาพหลอนเสียอีก ถ้าเป็นภาพหลอนอย่างน้อยยังพอรักษาหาย แต่การเผชิญกับสภาวการณ์บางอย่างที่รู้แน่แก่ใจว่าเป็นความจริงที่น่าสะพรึงกลัวแบบไม่รู้วิธีหลบหลีกได้แบบนี้น่ากลัวกว่าภาพหลอนเป็นไหนๆ  

    ความหวาดกลัวเริ่มแผ่ซ่านคืบคลานลงมาตามไขสันหลังจนขนลุกเกรียว นี่มันอะไรกัน เป็นแบบนี้ได้อย่างไร แต่ภาพที่เห็นยังชัดเจนเกินกว่าจะเป็นฝันร้าย

    ดินวนไปตรวจดูทุกด้านของชั้นล่าง งูบินไม่ได้ ฉะนั้นถ้าพวกมันจะเข้ามาก็ต้องเข้ามาทางชั้นล่างของบ้านเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่แน่ พวกมันอาจอาศัยการเลื้อยขึ้นมาตามเสาโชว์ ตามผนัง และเข้าทางหน้าต่างของชั้นสอง คุณพระช่วย... ช้าไม่ได้แล้ว พอความคิดพุ่งวูบสองเท้าก็พาตัวเผ่นขึ้นไปชั้นสองทันที ปิดประตูทุกบานทุกห้องจนแน่นหนา

    จากห้องนอนซึ่งอยู่ทางด้านหน้าบ้าน มองออกไปเห็นศีรษะหกเจ็ดศีรษะโผล่พ้นประตูบ้านขึ้นมา สูงๆต่ำๆ สลับกันไป พวกนั้นมีปากฉีกยาวเหยียดออกไปแทบถึงใบหู     ปากยื่นยาวมีลิ้นแลบวูบวาบไปมา บางศีรษะเคลื่อนไปตามแนวรั้วซึ่งกั้นส่วนล่างเอาไว้ ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างกำลังเดินเลาะตามริมริ้ว ขณะที่พาลำคอยาวเหยียดยกสูงนั้นตามไปด้วย ราวจะพยายามหาทางมองสำรวจเข้ามาในเขตบ้าน  บางคนถึงกับยืนคอยาวเหยียดข้ามรั้วเข้ามาเมียงมองเหนือสนามหญ้าหน้าบ้านด้วยซ้ำไป  เกล็ดตามลำคอสะท้อนแสงแดดเลื่อมระยิบยับ ภาพแบบนี้มันยิ่งกว่าฝันร้ายใดๆ ที่เคยฝันเคยพบประสบเจอ


    ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าพวกมันอยู่เต็มไปหมด เท่าที่มองเห็นตอนนี้มีอยู่เกือบสิบคน ความจริงผมไม่อยากจะใช้สรรพนามว่าคน ด้วยซ้ำไป น่าจะใช้คำว่าตัวมากกว่า ท่าทางของพวกนั้นสนใจใผ่รู้เหลือเกิน และวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าบ้าน ไม่ยอมหนีไปไหน

    ปีนลูกซอง.. ผมนึกถึงปืนโบราณกระบอกนั้นขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็จะอุ่นใจถ้ามีอาวุธอยู่ในมือ แม้ยังไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร

    ค่อยเปิดหน้าต่างชั้นสองของบ้านออกอย่างเงียบกริบ พวกนั้นยังไม่ยอมหนีไปไหน  ผมยกปืนลูกซองยาวหลับหูหลับตาเล็งตรงไปบริเวณประตูรั้วหน้าบ้านแล้วเหนี่ยวไก

    เปรี้ยง!!!!

    เสียงกึกก้องของปืนโบราณดังสนั่นหวั่นไหว ศีรษะอุบาทว์พวกนั้นลดวูบลงไปอย่างรวดเร็วเหมือนถูกกระตุก พวกมันรู้จักกลัวเหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้ก็หายไปหมดแล้ว กลิ่นดินปืนและควันจางๆยังลอยอยู่ในอากาศ เสมือนเป็นสิ่งขับไล่ความชั่วร้ายทั้งร้ายให้หลีกลี้หนีหาย

    รีบบรรจุกระสุนใหม่อย่างรวดเร็วเพื่อความไม่ประมาท แม้จะยิงได้ทีละนัดก็ยังดีกว่าถือมีดออกไปสู้  และทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างหลังแถวหลังบ้าน หรือว่าพวกมันจะแอบบุกกันมาทางหลังบ้าน พอคิดได้ดังนั้นผมถือปืนวิ่งแทบกระโจนลงจากชั้นสอง ก้าวข้ามขั้นบันใดทีละสองสามขั้น

    ประตูหลังบ้านปิดดีแล้ว และท่าทางแข็งแรงพอ ส่วนหน้าต่างมีเหล็กดัดกั้นนอกเหนือจากกระจกบานเกล็ด ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

    เงายาวๆของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวรางๆอยู่หลังกระจกบานเกล็ด มันเหมือนกับลำตัวงูขนาดใหญ่ และในขณะที่ยืนจ้องมองอย่างงุนงง  เงานั้นก็หายวูบไป ยังไม่ทันจะหายใจอย่างโล่งอกบานเกล็ดก็แตกเปรี้ยงออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยเหมือนโดนอะไรบางอย่างกระแทกโดยแรง

    จะมีอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่หัวของเพื่อนบ้านซึ่งตั้งอยู่บนลำคอยาวเหยียดและปากฉีกกว้างนั้น  ไม่ต้องเห็นภาพก็พอทายได้ว่าเขาคงง้างหัวออกไปด้านหลังก่อนโขกลงเต็มที่บนบานเกล็ด  แล้วพยายามดันตัวเข้ามาทางหน้าต่าง หากติดอยู่ที่ลูกกรงเหล็ก ผมยืนมองอย่างตกตะลึงปนหวาดกลัวแบบขยะแขยง ซึ่งทำเอาตัวแข็งทื่อ

    “ให้ผมเข้าไปช่วยคุณเถอะ คุณกำลังไม่สบาย”

    ปากกว้างนั้นขยับเปล่งคำพูดแหลมสูงผิดปกติออกมา ในขณะลิ้นสีแดงตวัดวูบวาบไปมาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนจะยิ้มเยาะ

    “แกไปให้พ้น..” ผมได้สติ ยกปืนขึ้นเล็ง

    “ใจเย็นน่า เราเพียงแต่จะช่วยคุณ”

    “เปรี้ยง!!!!!!!”

    กลุ่มกระสุนลูกซองผ่าเข้าเต็มใบหน้าอันสยดสยองจนผงะออกไป พร้อมกับเสียงหวีดร้องเสียดประสาท และมีเสียงดิ้นโครมครามอยู่ด้านนอกครู่หนึ่งก่อนเงียบหายไป

    ผมค่อยเดินไปตรงหน้าต่าง มองออกไปพบเลือดกองอยู่เป็นหย่อมๆ และเป็นทางยาวหายลับมุมมองไป มันไม่ตายแต่อย่างน้อยก็บาดเจ็บล่ะ

    เสียงไซเรนรถตำรวจ ดังใกล้เข้ามาทางหน้าบ้าน ผมแทบร้องออกมาด้วยความดีใจ ตำรวจจะต้องเข้าใจปัญหาของผมและจัดการกับพวกตัวประหลาดนั้นให้หมด แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้าง เพราะนึกได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องมายังไม่ได้โทรศัพท์หาใครเลย แล้วใครกันโทรตามตำรวจมา แถมมาเร็วเหลือเกิน

    รถตำรวจและรถพยาบาลวิ่งมาจอดแถวหน้าบ้าน ภาพที่เห็นจากชั้นบนของบ้านทำให้ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย  พอตำรวจสามนายก้าวลงมาจากรถ ร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวพวกมันก็ปรากฏ ตรงไปหาตำรวจทำท่าเหมือนพูดคุยกันอย่างปกติเหลือแสน  และตำรวจพวกนั้นไม่มีท่าทางแปลกใจหรือตกใจกับร่างนรกพวกนั้นเลยสักนิด

    ความหวังที่จะขอให้ตำรวจช่วยเหลือหายวับไปทันที  ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกตัดขาดให้อยู่โดดเดี่ยว จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม


    พวกตำรวจเริ่มพากันเดินมายังประตู และมีเสียงตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียง

    “นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เราขอให้คุณออกมาพูดคุยกันดีๆ เราช่วยคุณได้นะ”

    เมินเสียเถอะ ใครจะไปพูดกับพวกงูนรกนั้น แถมผมยังยิงเพื่อนพวกมันบาดเจ็บไปตัวหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะพยาบาทขนาดไหน

    “ถ้าคุณไม่ออกมาเราต้องบุกเข้าไปในบ้านคุณล่ะนะ”

    ลองบุกเข้าสิ ...ผมคำราม กระชับปืนแน่น กลัวจนจะกลายเป็นความบ้าคลั่งอยู่แล้ว กลัวเพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร และทำไม..

    พวกตำรวจรู้ว่าผมมีปืน พวกเขาจึงไม่บุกเข้ามาในทันที แต่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่แถวหน้าบ้าน เล่นสงครามประสาทอย่างเลือดเย็น ป่านนั้นพวกตำรวจอาจจะนอนอ่านหนังสืออยู่อย่างสบายใจก็เป็นไปได้ ในขณะที่ผมต้องอยู่ในสภาวะเก็บกดเตรียมพร้อมทุกวินาที แบบนี้ไม่เป็นเรื่องดีเลย

    จากคุณ : Psycho man - [ 29 ก.ย. 46 20:32:50 ]