เฮฮา ประสาเพื่อน:= บ่ะจ่างเจ้าปัญหา

    เรื่องราวที่เล่าผ่านตัวหนังสือชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบ้าง เสริมเติมแต่งบ้าง เพื่อสีสัน ความมันส์ ความสนุกสนาน ของทั้งตัวผู้อ่าน และผู้เขียนเอง หากข้อความใด ไปซ้ำหรือย้ำกับประสบการณ์ของใคร ผู้เขียนหวังว่า จะเป็นเหมือนการเปิดกล่องความทรงจำที่ดี ของใครคนนั้น
    ..........................................................................

    เสียงโทรศัพท์ดังปลุกฉันในเช้าวันหนึ่ง ซึ่งก็ไม่เช้าซะเท่าไร แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะนอนไปยังไม่ครบ แปดชั่วโมงดี มันก็เช้านั่นแหละนะ ฉันกลิ้งตัวเองไปที่ขอบเตียง แล้วคลานมาตามพื้นพรม นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะ ที่ต้องลุกมารับโทรศัพท์อย่างนี้ บอกตัวเ องอยู่หลายครั้ง จะเอาโทรศัพท์มาไว้ข้างตัวก่อนนอน แล้วก็ลืมทุกทีสิ ให้ตาย ฉันคิดในใจด้วยสมองอันมึนงง

    “ฮัลโหล เยส พูดอยู่ค่ะ”

    ฉันส่งเสียงไปตามสายอย่างงัวเงีย เสียงลอดเข้ามา เป็นเสียงผู้ชายสำเนียงฝรั่งมาเชียว พูดอะไรยาวเหยียด

    ‘โอวก็อด โฆษณาขายหนังสือพิมพ์…..อีกแล้ว’

    “โนๆ แตงก์ เจ้าของบ้านไม่อยู่ ไม่รู้กลับเมื่อไร แค่คนเฝ้าบ้านให้เขาเอง แค่นี้นะ”

    ฉันรีบตัดบทแล้ววางสาย ขายกันจริง หนังสือฉันนะยังอ่านไม่ทันเลย ไม่มีเวลาไปอ่านหรอก ไอ้หนังสือพิมพ์ ที่อ่านก็ไม่รู้เรื่องนะ

    “นอน นอน นอนต่อดีกว่า”

    ฉันบ่นพึมพำ แล้วรีบกระโดดขึ้นเตียง แต่เจ้ากรรม กรรมเวร หัวยังไม่ทันถึงหมอนเลย ใครอีกเนี่ย ฉันเดินเข้ามารับอย่างเหนื่อยหน่าย

    “เยส พูดอยู่ (อีกแล้ว) ค่ะ ไม่มีค่ะ ไม่มีเงินจะทำบุญ เดี๋ยวเดือนนี้ต้องจ่ายค่าเทอม ยังไม่มีจะให้ไปช่วยใครหรอกค่ะ แค่นี้นะค่ะ บาย”

    เบอร์โทรศัพท์บ้านฉันมันสวยนักหรือไงนะ โทรกันมาจัง คราวนี้ถ้าโทรศัพท์ยังดังอีก ฉันจะไม่สนอะไรใครแล้ว ตรูจะนอน ฉันรีบเดินกลับไปนอน เวลานอนยิ่งมีค่าอยู่ แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันมาดังจริงๆ แต่ฉันไม่สนแล้ว ไม่รับ ไงก็ไม่รับ เสียงโทรศัพท์ยังคงดังถึงห้าครั้ง
    ก่อนที่จะตัดเข้าเครื่องฝากข้อความ

    “ยังไม่ตื่นอีกหรือเจ๊ นอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนกัน ยกหัวขึ้นมาดูที่หน้าต่างสิ ตึกซีกนั้นมันหายไปหมดแล้ว ตื่นได้แล้ว…”

    เสียงไม่ใส ทุ้มหนัก และไม่หล่อ มีอยู่คนเดียว

    “เฮ้อ”

    ฉันถอดหายใจหนักๆ เจ้าเพื่อนเจ้ากรรม ถ้าไม่ลุก มันคงไม่วาง และคงฝากข้อความไปเรื่อยๆจนเครื่องมันเต็มนั่นแหละ

    “เออๆ มาแล้วโว้ย”

    ฉันตะโกนไปอย่างอัดอั้น ไม่นงไม่นอนก็ได้ ชีวิตอะไรจะชีช้ำขนาดนี้ฟ่ะ ฉันลุกไปรับโทรศัพท์

    “ตื่นแล้ว มีอะไรฟ่ะกิม”

    ฉันส่งเสียงไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

    “เพิ่งตื่นหรือนี่ โหจะให้ครบสิบสองชั่วโมงหรือไง”

    เสียงเย้าของเจ้าตัวดี กิม

    “บ้า ฉันเพิ่งนอนตอนตีสี่เองนะย่ะ”

    ฉันเถียงเสียงเขียว

    “อ้าวทำอะไรนะ เห็นออฟไลน์ไปตั้งนานแล้ว”

    เสียงมันงงจริง มันคงเห็นว่าฉัน ออฟไลน์จากโปรแกรมส่งข้อความไปตั้งแต่หัวค่ำ

    “พอดีเมื่อวานได้ของจากที่บ้าน”

    ฉันตอบ แต่ยังไม่ทันจบ

    “อ่านนิยายอ่ะดิ”

    “ช่ายแย้วววววว”

    ฉันลากเสียงยาว อารมณ์เริ่มดีขึ้น พอพูดถึงนิยาย อันเป็นที่รัก

    “เอากับเธอสิ เก็บไว้อ่านก็ได้ จะอ่านทำไมให้มันจบในวันเดียว”

    มันถาม

    “ก็ไม่อยากหรอก มันติดง่ะ นี่ก็ยังไม่จบนะ อีกสิบกว่าหน้า พยายามจะให้มันจบ แต่ตามันจะปิดแล้วเมื่อคืน อ่านก็ไม่รู้เรื่องแล้ว”

    ฉันเถียง

    “แล้วนี่เดี๋ยวทำอะไรต่อ ไปอ่านต่อหรือเปล่าเนี่ย”

    กิมถามหยั่งเชิง

    “ก็ ฮ่าๆ หุหุ แต่นี่โทรมาทำไมง่ะ แต่เช้า”

    ฉันหัวเราะมีเลศนัย ไม่ยอมตอบ แต่เปลี่ยนหัวข้อเรื่องแทน

    “ไม่เช้าแล้วจ๊ะ”

    น้ำเสียงประชด ก่อนกิมจะบอกต่อว่า

    “จะชวนมากินข้าว นี่กะทำบ่ะจ่าง มาม่ะ”

    “มีใครบ้างละ”

    ฉันถาม

    “ก็เหมือนเคย มีกิม พี่เฮง น้องปั่น และก็จีระ”

    “เอาสิ หิวแล้วเหมือนกัน ที่บ้านไม่มีอะไรกินเลย หมดตู้เย็นแล้วง่ะ”

    ฉันรีบตอบ กินฟรีไม่ต้องทำ รสชาติก็โอเคอ่ะนะ ดีกว่าทำเอง

    “งั้นอาบน้ำเสร็จก็แวะมาละกัน”

    “เคๆ อีกชั่วโมงเจอกันนะ บายจ๊ะ”

    ฉันวางสาย รอดไปอีกวัน อีกมื้อ ฮ่าๆ ฉันอาบน้ำ แต่งตัว เช็คตารางรถเมล์ วันเสาร์รถเมล์มันจะน้อยอยู่แล้ว ไม่อยากไปยืนตากลมรอเล้ย แต่เพื่อกินก็หยวนง่ะนะ

    ฉันไปถึงหน้าบ้านตากิม ตอนบ่ายโมง เลทนิดหน่อยชั่วโมงเดียวเอง จะได้กินพอดี หุๆ กดรหัสผ่านประตูที่ทุกคนก็รู้ ไม่รู้จะมีทำไม 7777 เสียงประตูเปิด เฮ้อมาตึกนี้กี่ครั้งก็น่ากลัวทุกครั้งเลย ประตูเข้าหนักๆ เปิดเข้าไปเจอลิฟต์ตัวเก่าๆที่มีประตูเปิดมือ มีเก้าอี้ยุคดยุค เบาะสีแดงกระดำกระด่างทำด้วยกำมะหยี่ ตั้งอยู่ตรงหน้าลิฟต์

    โชคดีของฉันจริงๆที่ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ยืนยันเสียงแข็งไม่ขออยู่ตึกนี้ ไม่ไหวแค่เดินผ่านก็ขนลุกแล้ว ตึกนี้มีสี่ชั้น ห้องตากิมอยู่ชั้นสาม ทุกครั้งที่ฉันมา ฉันจะเลือกเดินบันไดมากกว่าที่จะใช้ลิฟต์ นอกเสียจากจะมีคนใช้ด้วยเท่านั้น คิดดูถ้าต้องไปติดอยู่ในลิฟต์ตัวนั้นคนเดียว หยึ๋ย

    เดินมาถึงหน้าห้อง มีตัวอักษรพลาสติกติดอยู่ตรงประตูหน้าห้อง แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเด่นชัด K I M ไม่รู้กลัวตัวเองหลงห้องหรือไง เลยติดบอกตัวเอง ฉันคิดอย่างขำๆ ฉันเคาะสองสามที แล้วดันประตูเข้าไป

    “ไงกิม หิวจัง”

    ฉันทัก

    “มาแล้วเหรอ ต้องรอก่อนนะ ข้าวมันแข็งอยู่เลยเนี่ย”

    “อ้าวเหรอ”

    ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย

    “ฮายจีระ มานานแล้วเหรอ”

    ฉันทัก เพิ่งจะเห็นจีระ เค้านั่งอยู่ตรงโต๊ะของกิม คงเช็คอีเมล์อยู่ ฉันคิด

    “ก็นานแล้ว รอกิมทำบ่ะจ่างนี่แหละ เห็นชวนมากินนึกว่าทำเสร็จแล้ว มาถึงกินได้เลยซะอีก”

    จีระตอบเสียงดัง แบบต้องการให้กิมได้ยิน

    ฉันรีบเสริม

    “จริงๆ เราก็นึกว่าจะได้กินเลย อะไรกันเนี่ย เป็นคนชวนมาเอง ไม่มีความรับผิดชอบเลย”

    “เออๆ ก็เดี๋ยวสิ ข้าวมันยังไม่สุกนี่หน่า”

    กิมโผล่หน้ามาจากห้องครัวเถียง

    “เออแล้วพี่เฮงกับน้องปั่นหละ”

    “อ๋อเดี๋ยวขึ้นมา พี่เฮงบอกว่าขอคลียรบ้านแป๊ปหนึ่ง”

    “โหพี่ท่าน เคลียรอีกแล้ว มีอะไรเคลียรหนักหนาเนี่ย ถ้าว่างน่าจะไปเคลียรห้องเราบ้าง”

    ฉันตอบอย่างขบขัน ก็พี่เฮงคนนี้อยู่ติดบ้านมากๆ เจอกันทีไร (บนเน็ตอ่ะนะ) ถามว่าทำอะไร ก็บอกจัดของ เคลียรห้อง

    Note: อ๋อลืมบอกไป พี่เฮงกับน้องปั่นเนี่ย เค้าอยู่ห้องชั้นสองตึกนี้เหมือนกับกิม จีระก็เหมือนกัน ;)


    ฉันนั่งคุยกับจีระ ไปได้สักพัก พี่เฮงกับน้องปั่นก็ขึ้นมา เรานั่งคุยกันไป ดูหนัง ดูทีวี ดีดสีตีกีตาร์ หิ้วท้องรอ บ่ะจ่างของกิม

    เข็มนาฬิกาเดินทางไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็มีเสียงคุยกันเซ็งแซ่ หลังๆ กลายเป็นเสียงบ่น ฉันเริ่มทนไม่ได้ เมื่อนอกหน้าต่างฟ้าเริ่มหม่น

    “เฮ้ย กิม ฉันจะได้กินกี่โมงกัน กินกันวันนี้เปล่าเนี่ย ชวนมากินข้าวเที่ยงไม่ใช่เหรอ นี่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันเลยนะทั้งวัน”

    ฉันโวย ยาวเหยียดเป็นขบวนรถไฟ

    “ข้าวมันยังแข็งง่ะ ไม่รู้เหมือนกัน”

    “งั้นฉันกินขนมไปก่อนนะ ไม่ไหวแล้ว”

    ฉันบอก และเดินเข้าไปห้องครัวคว้ากล่องแสน็คบนชั้น

    “ไม่ได้โว้ย กินหนมแล้วเดี๋ยวกินบ่ะจ่างฉันไม่ลงสิ อดทนไปก่อนสิ จะกินของดีก็ต้องรอหน่อย”

    กิมแย้งพร้อมคว้ากล่องแสน็คในมือฉันกลับไปตั้งที่ชั้น

    “อะไรกันหนักหนาฟ่ะ นี่มาชวนฉันกินข้าว หรือมาทรมานกันเนี่ย ฉันยอมล่อมาม่าก็ได้ เนอะๆจีระ พี่เฮงค่ะ”
    ฉันหาพวก

    “จริงๆ จริงครับ”

    เสียงฝ่ายสนับสนุนดังขึ้น

    “แป็ปเดียวครับ พี่เฮง ใกล้แล้วละ”

    กิมแย้งเบาๆ

    “แป็ปมาตั้งแต่ฉันเข้ามาในห้องเธอนั่นแหละ”

    ฉันเถียง แต่ก็ยอมออกไปรอที่ห้องข้างนอก

    สุดท้าย วันนี้เป็นวันแสนสุขของฉันไหมเนี่ย ได้กินข้าวมื้อเดียว ตอนเกือบหกโมงเย็น และสุดท้ายบ่ะจ่างของตากิม ก็ยังแข็งอยู่ ข้าวเป็นเม็ดร่วนดี เหมือนยังไม่ได้หุง ฮ่าๆ แต่ถึงยังไงก็เป็นวันสบายๆของฉันอีกวัน กับพ้องเพื่อน เรานั่งเม้าส์กันจนถึง สี่ทุ่ม แล้วตากิมก็เดินไปส่งฉันที่ห้องพัก

    ก่อนกลับกิมยังพยายามยัดเยียดบ่ะจ่างที่เหลือ (เพราะฉันกินไม่หมดด้วย) ฉันปฎิเสธแต่ก็สัญญาว่า จะมาเก็บกวาดของตัวเองต่อพรุ่งนี้

    ก็มันไม่ไหวจริงๆนี่หน่า แข็งมาก ขอถนอมฟันฉันก่อนเถอะ :D

    จากคุณ : xyz/xyzjung@yahoo.com (xyzjung) - [ 30 ก.ย. 46 09:45:15 ]