ตรงนี้...ที่ของใจ (3)

    แปดโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน รถกระบะสี่ประตูสีดำคันใหญ่
    ก็แล่นเข้ามาจอดชิดรั้วเหล็กที่ดัดเป็นรูปทรงอย่างสวยงามตรงข้ามหน้าบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้  
    เอราวุธชะโงกหน้าออกมามองเมื่อได้ยินเสียงรถ และผลุบหายไปอย่างเดิม
    สักพักหน้าขาว ๆ ของชายหนุ่มก็โผล่มาอีกรอบเมื่อมองเห็นเจ้าของรถ

    “เป็นไรเอ ทำท่าผลุบ ๆ โผล่ ๆ แล้วเสียงรถใคร”  
    จารวีเอ่ยถามมองคนนั่งติดประตูที่ทำท่าผลุบ ๆ โผล่ ๆ

    “ราชรถมาแล้ว เอาของขึ้นรถเถอะ นึกว่าจะเป็นไอ้เหลืองคันเมื่อวานซะอีก”  
    ชายหนุ่มว่า หิ้วตระกร้าเดินตัวปลิวข้ามถนนไปยังอีกฝั่งของรถที่จอดอยู่

    บรรพธรเข้ามารับตระกร้าใบขนาดกลางที่บรรจุเสบียงจากมือเอราวุธ

    “หวัดดีค่ะ คุณบรร”  จารวีทักทายเมื่อเดินตามออกมา
    “ขอบคุณนะคะที่จะพาพวกเราไปเที่ยว”

    “ไม่เป็นไรครับคุณจ๋า ช่วงนี้ผมว่างพอดี อีกอย่างเรียกผมว่า บรร ดีกว่าครับ”

    “ค่ะ งั้นบรรก็เรียกจ๋า ว่า จ๋า เฉย ๆ ก็ได้ จะได้ดูสนิทกันหน่อยใช่มั้ยเอ”

    “ใช่ ๆ ไม่ต้องเรียกผมว่า คุณนะ มันฟังแล้วจักกะจี้หูชอบกล เรียก เอ อย่างจ๋าดีกว่า”  
    เอราวุธเดินเข้ามาร่วมวงด้วยเมื่อเดินถือขวดน้ำดื่มกลับมาสมทบอีกรอบ

    “บัวเสร็จยัง เจ้าที่มาแล้วนะ”  เลยตะโกนเรียกเจ้าของบ้านที่กำลังปิดประตูหลังบ้านอยู่

    “เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว”  เสียงตะโกนดังตอบมาก่อนตัว  

    “เจ้าที่ไหนล่ะเอ เขาเรียกเจ้าของพื้นที่ต่างหาก พูดทีไม่ได้ความเลยแก”  
    บัวหอมเดินออกมา ใส่กุญแจดอกใหญ่ที่ประตูหน้าบ้านอย่างเรียบร้อย
    ยิ้มตอบคนอาสาพาเที่ยวที่ส่งยิ้มมาให้ก่อนแล้ว

    “เออ ๆ เขาไม่ถือหรอก เสร็จแล้วไปยังล่ะ อยากไปจะแย่แล้ว”  

    ชายหนุ่มทำท่ากระตือรือร้น เอื้อมมือเปิดประตูหลังให้จารวีก้าวขึ้นไปก่อน  
    กำลังจะตามขึ้นไป มือเรียวก็มาดึงชายเสื้อไว้ก่อน

    “อะไรบัว”

    “ที่แกน่ะ โน่นข้างหน้าโน่นนนน”  นิ้วชี้ไปที่เบาะด้านหน้าคู่คนขับ

    “อ้าวแก  ฉันเป็นแขกนาโว้ย ให้ไปนั่งหน้าได้ไง ส่วนแกเป็นเจ้าของที่ก็ไปนั่งหน้าคู่บรรสิ”

    “แต่แกเป็นผู้ชายนะโว้ย ไปเลยแก ฉันจะได้นั่งกับจ๋าจ้าตามประสาผู้หญิงกัน”

    บัวหอมยิ้มออกมาได้ เมื่อเพื่อนชายยอมล่าถอย เดินอ้อมไปนั่งตามที่มือชี้

    “บรรจะไปไหนบ้างล่ะวันนี้ บัวว่าจะพาสองคนนี่ไปไหว้พระธาตุก่อน แล้วค่อยไปที่อื่น”  
    หล่อนเอ่ยถามคนข้างหน้าอย่างปรึกษาไปด้วย

    “ผมก็ว่าจะพาไปไหว้พระธาตุก่อนเหมือนกัน
    เสร็จแล้วว่าจะย้อนกลับมาออกไปทางแก่งโตนค่อยทะลุออกไปเชียงคานดีมั้ย
    แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้นภูไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”

    “ดีมากเลยบรร”  ชายหนุ่มอีกคนพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย
    คนขับเลยเข้าเกียร์เคลื่อนพาหนะไปอย่างไม่รีบร้อนนัก

    “จังหวัดเราอยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 520 กิโลเมตร
    จากตัวจังหวัดเข้ามาอำเภอเราประมาณ 40 กิโลกว่า ๆ
    วัดที่เราจะไปกันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นวัดที่อยู่บนเนินเขา
    ตัวพระธาตุมีลักษณะคล้ายพระธาตุพนมแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก  บนฐานมีกลีบบัวล้อมรอบ…”

    “เดี๋ยวบรร เราจะพาจ๋าจ้ากับเอไปเที่ยวนะ ไม่ใช่ไปสอบวิชาภูมิประเทศหรือบ้านเมืองของเรา”  

    คำพูดของบัวหอม ทำเอาเอราวุธหัวเราะพรึดอย่างหยุดไม่อยู่ พร้อม ๆ กับจารวี …เจอฤทธิ์แล้วสิ

    “โถ่บัว…ไปแซวบรรเขาทำไม” จารวียังไม่หยุดหัวเราแต่ก็ออกปากปรามคนที่นั่งข้าง ๆ


    “โทษที…ล้อเล่นน่ะ พูดต่อเหอะ”  
    หล่อนอมยิ้ม สบตาคนขับที่มองหล่อนจากกระจกมองหลังอยู่ก่อนแล้ว

    “ไม่นึกเลยว่าบัวเป็นคนแบบนี้”  คนขับไม่เล่าต่อแต่เริ่มหาเรื่องคนข้างหลังแทน

    “แบบไหน”  น้ำเสียงชักระแวง ๆ

    “ก็เป็นคนตลก ๆ ตอนแรกคิดว่าจะเรียบร้อย เงียบ ๆ ซะอีก”

    เอราวุธหลุดหัวเราะออกมาหลังจากพยายามกลั้นเอาไว้  
    “ถามจริงเหอะ คุณสองคนครับ เคยเป็นเพื่อนกันจริง ๆ หรือเปล่า”

    “เคย”  คนเป็นเพื่อนตอบพร้อมกัน

    “แต่ใครจะไปจำได้ใช่มั้ยว่าเมื่อก่อนใครเป็นไง อย่างฉันนี่
    เจอบรรตอนปอสี่แล้วพอจบปอห้าฉันก็ไป ถามจริงเหอะ
    ถ้าเป็นแก แกจะจำได้มั้ยว่าใครเป็นไงตอนเด็ก ๆ “

    “จริงนะเอ ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า ตอนนั้นบัวเป็นไง
    พอมาเจอกันอีกทีก็เมื่อต้นเดือน นี่ก็เพิ่งจะได้คุนกันนาน ๆ เป็นครั้งแรกนี่ล่ะ”

    บัวหอมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    “แล้วตอนโตไม่เคยเจอกันเลยเหรอ”  จารวีถามอย่างอยากรู้

    “ก็เจอ แต่มันไม่ได้สนิทกันตั้งแต่ต้น อีกอย่างพวกเราก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่
    เวลาเจอก็ทักกันบ้างแบบห่าง ๆ อะ”  

    “ใช่ บางทีเห็นแต่หน้า ไม่ได้พูดกันเลยก็มี”  ชายหนุ่มเล่าบ้าง

    “งั้นวันนี้ก็ถือว่า เราทั้งสี่คนมาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ ดีมั้ย
    เพื่อมิตรภาพของพวกเรา”  เอราวุธเสนอความเห็น

    สามคนที่เหลือไม่มีใครตอบรับ ได้แต่ยิ้มกับท่าของเอราวุธที่ทำท่ากระตือรือร้น
    พร้อม ๆ กับมิตรภาพที่แผ่กระจายในความรู้สึกของทุกคน


    ทั้งสี่ใช้เวลาไม่นานนักในการเข้าไปนมัสการองค์พระธาตุ
    ซึ่งวันธรรมดาอย่างนี้คนที่แวะเข้ามาไม่มีเลย
    ทั้งหมดเลยย้อนเข้าตัวอำเภออีกครั้งก่อนมุ่งหน้าไปยังชายแดน

    น้ำขุ่นคลั่กสีน้ำตาลไหลปะทะหินสีดำที่อยู่ใต้น้ำบ้าง
    พ้นน้ำบ้างทำให้เกิดพรายฟองเป็นชั้น ตามความลาดของพื้นที่
    ภาพสวยแปลกตาไปอีกแบบ ต่างจากเมื่อตอนน้ำใสในหน้าร้อนหรือหน้าหนาว

    “ฝั่งโน้น”  บัวหอมชี้ไปที่ผืนดินอีกฝั่งของลำน้ำ  
    “นั่นนะแผ่นดินเพื่อนบ้านเรา ตอนหน้าร้อนเราเดินข้ามไปอีกฝั่งได้เลยนะ”

    “ข้ามไปยังไง นั่งเรือไปเหรอบัว”

    “เดินลัดเลาะแก่งหินพวกนี้ล่ะไป ช่วงหน้าร้อนน้ำจะลดจนข้ามไปฝั่งโน้นได้
    บัวเคยแค่ไปเหยียบชายฝั่ง ส่วนจะขึ้นไปถึงไหนบัวไม่รู้หรอกนะ
    เอาไว้จ๋าจ้ามีตอนหน้าร้อนสิ จะได้มาเล่นน้ำด้วย”

    “บัว จ๋าไปเถอะ จะได้ไปแวะกินข้าวเที่ยงริมโขงกัน”  
    เสียงเอราวุธที่ยืนห่างออกไปคู่บรรพธรตะโกนบอกมา สองสาวเลยกลับขึ้นรถอีกรอบ

    กว่าจะมาถึงแก่งคุดคู้ที่มีลักษณะเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ทอดตัวขวางลำน้ำโขงสีน้ำตาล
    ก็เกือบเที่ยงแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีไม่มากนัก เพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว
    หรือเป็นหน้าเทศการอะไร
    ส่วนใหญ่จะนิยมมากันช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม
    ช่วงนั้นจะเห็นแก่งหินได้ชัดกว่ามาก เพิงที่สร้างง่าย ๆ แต่มั่นคงด้วยไม้ไผ่ธรรมดา
    ตามความยาวแม่น้ำทอดตัวเป็นแนว ร้านอาหารหลายร้านมีให้เลือกตามความพอใจของลูกค้า
    บรรพธรนำเข้าไปร้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก


    หลังจากการรับประทานอาหารพื้นบ้านอย่างเอร็ดอร่อยกันแล้ว
    ก็ถึงช่วงเวลาเดินย่อยและเลือกดูของฝาก ร้านค้ามีไม่มากเท่าใดนัก
    จารวีกับเอราวุธจะซื้อมะพร้าวแก้วและกล้วยทอดแต่บรรพธรห้ามไว้บอกจะพาไปซื้อทีหลัง
    ทั้งหมดเดินจนบ่ายคล้อย จึงมุ่งหน้ากลับ เขาพาทั้งสามตรงไปยังบ้านชั้นเดียวริมถนนหลังหนึ่ง
    ข้าง ๆ บ้านมีเปลือกและกะลามะพร้าวที่ขูดเอาเนื้อออกหมดแล้วกองอยู่พะเนินเทินทึก
    เกือบเหมือนภูเขาขนาดย่อม ๆ  หน้าบ้านมีแคร่ไม้ขาสูงสร้างไว้วางมะพร้าวแก้ว
    พร้อมกับกล้วยทอด จัดใส่ถุงน้อยใหญ่ตามน้ำหนัก และราคา

    กระทะใบบัวใบใหญ่ตั้งอยู่บนเตาอั้งโล่ขนาดใหญ่
    ภายในมีมะพร้าวเนื้ออ่อนสีขาวกับน้ำตาลที่เคี่ยวจนเกือบจะแห้งแล้ว

    “อร่อยมากเลยป้า”  
    เสียงคนพูดเอ่ยชมพร้อมหยิบมะพร้าวแก้วเนื้ออ่อนเข้าปากไปด้วย

    “ไอ้นี่ก็อร่อย”  
    อีกมือเลยหยิบกล้วยสีคล้ำเนื่องจากความสุขของกล้วยเข้าปากอีกรอบ

    “ตะกละจริงเลยแก เมื่อกี้ก็ซดต้มปลาซะน้ำเกลี้ยงชาม นี่ยังไม่อิ่มอีกเรอะ”  
    บัวหอมอดแขวะคนข้าง ๆ ที่ยืนเคี้ยวตุ้ย ๆ ไม่ได้

    ทำเอาชายหนุ่มอีกคนที่ยืนชิมอยู่ข้าง ๆ สำลักไอโขกโขลกหน้าดำหน้าแดงไปด้วย

    “โถ่…บัวก็ เราแค่ชิม อีกอย่างนี่เราเหมาป้าทั้งถุงใหญ่นั่นเลยนะ”

    “ส่วนเรา ในฐานะที่แวะพามาอุดหนุน คงไม่เป็นไรนะ”  คนสำลักแก้ตัว

    ป้าคนขายมองยิ้ม ๆ บอกไม่เป็นไรชิมได้ตามสบาย
    พร้อมแถมถุงเล็กถุงน้อยให้อีก ส่วนจารวีก็ไม่น้อยหน้าเหมาซื้อไม่ต่างจากเพื่อนชายเหมือนกัน



    “โอ้ย หนักมาก ไม่น่าซื้อมาเยอะเลย”  
    จารวีบ่นเมื่อถือถุงกล้วยทอดเดินตามเอราวุธที่เดินหิ้วถุงมะพร้าวแก้วสองถุงใหญ่
    พร้อมกับบรรพธรที่ถือถุงไม่ต่างกันเท่าใดนักเข้าบ้านเมื่อทั้งหมดเดินทางกลับมาถึง

    “ไม่เป็นไรหรอกจ๋าจ้า อย่างน้อยขากลับก็มีเอขนของให้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อเหอะ”  

    “น้อย ๆ หน่อยบัว ไม่ต้องไปยุจ๋านะ ยิ่งยุขึ้นอยู่ ของฝากนะไม่ใช่ย้ายบ้าน”  
    เจ้าของชื่อแย้งมา  “แต่ทำเพื่อจ๋า เอทำให้ได้ไม่เป็นไร”

    “เออ เอาใจกันเข้าไป ทีเรานะขัดได้ขัดดี”  
    บัวหอมกัดฟันพูด ส่งสายตาอาฆาตไปยังเพื่อนชาย  “อยู่กินข้าวกันก่อนมั้ยบรร”

    “ไม่ล่ะ ยังไงพรุ่งนี้เรามารับตอนตีสี่ครึ่งนะ จะได้ทันพระอาทิตย์ขึ้น”

    “อือ ขอบใจนะ”  
    หล่อนยิ้มให้คนตัวสูงกว่า พร้อมคำขอคุณจากสองเพื่อนใหม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังบัวหอม

    ชายหนุ่มหันไปโบกมือให้เพื่อนทั้งสามคน
    เดินยิ้มกลับไปนั่งยังหลังพวงมาลัยกำลังจะสตาร์รถ มือเรียวเคาะเป็นสัญญาณ
    เขาหมุนกระจกเลื่อนลง มะพร้าวแก้วถุงใหญ่ถูกส่งมาตรงหน้า

    “เอากลับไปกินนะ ฝากลุง ป้า กับคนที่บ้านด้วย เห็นตอนยืนข้างเอ
    เห็นเธอชอบ พวกเราซื้อมาฝากถือว่าขอบคุณสำหรับวันนี้”

    มือใหญ่ละจากพวกมาลัยมารับไว้ ยิ้มให้คนตัวสูงผอม  
    “ขอบใจนะบัว ฝากขอบคุณสองคนนั้นด้วยนะ”


    จากคุณ : พิจิกา...ปลายฝนต้นหนาว - [ 1 ต.ค. 46 17:55:54 A:203.170.150.153 X: ]