ยามเช้าตรู่
ตะวันสีทองสาดลอดผ่านม่านเมฆ ส่องต้องกับหน้าต่าง สายลมเย็นโชยพัดผ่านหน้าต่าง หอบเอาความชุ่มชื้นเข้าสู่ภายใน
เสี่ยวซาเผยอเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกทั่วร่างปวดแปลบทรมาน ลำคอแห้งผากแทบเป็นผง มันยันกายขึ้นจากเตียงอย่างอ่อนล้า จากนั้นใช้ดวงตาที่พร่ามัวกวาดมองไปรอบๆ ทว่าสายตาของมันพร่ามัวเสียจนมิอาจจำแนกแยกแยะสิ่งใดได้ ดังนั้นพอลุกขึ้นก็สะดุดล้มลงกับพื้น มันพยายามชันกายขึ้น ทว่าสังขารกลับมิอำนวย ร่างกายที่เหนื่อยล้าคล้ายหนักอึ้งราวกับบรรจุด้วยหินใหญ่หลายสิบชั่ง กดทับมันเอาไว้ ยามกระทันหันมิสามารถลุกขึ้นได้
"น
น.. น้
น้ำ ขอ
น้ำ "
เสี่ยวซาเอ่ยปากขอน้ำ ทว่าทั่วทั้งกระท่อมกลับเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดตอบกลับต่อเสียงอันแผ่วเบาของมัน เสี่ยวซาได้แต่รวบรวมพละกำลังพยุงร่างกายที่อ่อนล้าปราศจากเรี่ยวแรงเพราะขาดน้ำและอาหาร พยายามใช้สายตาจับจ้องไปทั่วบริเวณเพื่อค้นหาสิ่งที่มันต้องการ และแล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับโต๊ะเตี้ยที่กลางห้อง
เสี่ยวซาตะเกียกตะกายไปยังโต๊ะตัวนั้น รู้สึกพื้นห้องและสิ่งของคล้ายบิดเบี้ยวไหวเอนไปมา ทว่าท่ามกลางความพยายามอย่างยิ่งยวดของมันในที่สุดสามารถคืบคลานไปถึง หยิบฉวยป้านน้ำชากรอกใส่ปากเพื่อดับกระหาย ชั่วเวลาไม่นานน้ำชาในกาถูกมันดื่มกินจนสิ้น
ชั่วครู่ให้หลังเสี่ยวซาจึงวางป้านน้ำชาลง มันผ่อนลมหายใจยาวนานต่อเนื่อง หลังจากที่กลั้นหายใจยาวนานในการกรอกน้ำชาลงไปทั้งกา ยามนี้แม้ดวงตาจะยังพร่ามัวแต่ยังสามารถสังเกตเห็นว่าตนเองอยู่ภายในกระท่อมน้อยหลังหนึ่งซึ่งคล้ายกับรกร้างไร้ผู้อยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน หากสะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นละอองปกคลุม คล้ายกับมีคนเคยอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้
หลังจากสำรวจมองดูจนถ้วนทั่วทั้งกระท่อมน้อย เสี่ยวซาพกพาเอาสมองที่มึนงงสับสน รวมถึงร่างกายที่บาดเจ็บเต็มไปด้วยรอยแผลใหญ่น้อย โซซัดโซเซผ่านบานประตูของกระท่อมน้อยออกสู่ภายนอก
"ผู้มีพระคุณ ท่านอยู่ที่ใด? ผู้มีพระคุณ" เสี่ยวซามั่นใจว่าต้องมีผู้นำตนมายังที่นี้ และคนผู้นั้นย่อมเป็นผู้ช่วยเหลือตน สาเหตุเนื่องมาจากบาดแผลทั่วร่างของมันมิเพียงถูกคนชำระล้าง ยังมีตัวยาสมุนไพรพอกอยู่โดยทั่ว บาดแผลกระบี่ที่ฉกรรจ์ก็ได้รับการรักษาทั้งยังพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยอีกด้วย
เสี่ยวซายังคงร่ำร้อง ทว่ากลับมิมีผู้ใดปรากฏกายออกมา ไม่รู้เป็นเพราะเสียงของมันมิดังพอ หรือเพราะบริเวณนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่กันแน่? เสี่ยวซาพยายามนึกทบทวนว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ใครหรืออะไรเป็นผู้นำพาตนมายังที่นี้
ทันใดพุ่มไม้ข้างกายพลันสั่นไหว กระต่ายน้อยตัวหนึ่งกระโดดแผล็วออกมา เสี่ยวซาเมื่อพบเห็นกระต่ายอวบอ้วนนั้น พลันนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เด็กหนุ่มถึงกับผงะด้วยความตกใจกลัว แล้วถอยกายไปด้านหลังด้วยความตระหนกถึงขีดสุด จนขาของมันสะดุดเข้ากับกิ่งไม้ขนาดใหญ่จนล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น
กับผู้คนโดยทั่วไปการพบเห็นกระต่ายน้อยที่ทั้งขาวทั้งอวบอ้วน มิเพียงไม่ตกใจกลัว หรือลนลาน ยังจะตรงเข้าโอบอุ้มมันด้วยความเอ็นดูอีกด้วย ทว่ากับเสี่ยวซาแล้วการพบเห็นกระต่ายน้อยตัวหนึ่งยังน่ากลัวกว่าพบอันธพาลใหญ่เจ็ดแปดคนเสียอีก
"ช่วย.. ช่วยข้าด้วย อย่า
อย่าทำร้ายข้า" เสี่ยวซาละล่ำละลักด้วยความตกใจ กระถดกายถอยหนี เมื่อกระต่ายน้อยตัวนั้นยังคงกระโดดเข้าหามัน
"อ
อย่า อย่าเข้ามา" เสี่ยวซาเกลือกกลิ้งไปกับพื้น พลางเบือนหน้าไปให้พ้นจากกระต่ายตัวนั้น ทันใดพลันปรากฏเงาดำขนาดใหญ่เคลื่อนเข้าบดบังแสงอาทิตย์ เสี่ยวซารีบเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าเป็นกระต่ายยักษ์ตัวนั้น!
กระต่ายยักษ์ที่ปราศจากหูและขนบนศรีษะ ซึ่งใหญ่โตราวกับมนุษย์ตัวหนึ่ง
"อย่าาาาาาาาาาาาาาาาา!" เสี่ยวซาหวีดร้องสุดเสียง สติสัมปชัญญะพลันขาดผึง หมดสติลงในลักษณะนั้น
.
.
.
.
"ประสก! ประสกน้อย ท่านเป็นอย่างไร?"
เสี่ยวซาค่อยๆ เปิดเปลือกตาช้าๆ พลันพบว่ากระต่ายยักษ์ตัวนั้นยังอยู่เบื้องหน้า และจับจ้องมาที่มัน
"ไม่
ไม่
เรามิใช่ศัตรูของพวกเจ้า อย่า
" เสี่ยวซาสะบัดดิ้นรนอย่างตื่นกลัว แล้วปิดเปลือกตาลงให้พ้นจากภาพอันน่าหวาดหวั่นนั้น!
"ประสกน้อย ท่านโปรดสงบใจ เราหาทำอันตรายท่านไม่? "
"กระต่าย เจ้าอย่าได้ทำร้ายเรา เรามิได้คิดทำร้ายเพื่อนของเจ้า และมิเคยทำร้าย ปล่อยเราไป"
"ประสก ท่านลองดูเราให้ดี! เราหาใช่กระต่าย เราเป็นคนเช่นเดียวกับเจ้า" เสียงนั้นยังคงบอกกับเสี่ยวซา
ครานี้ได้ผลเด็กหนุ่มหยุดดิ้นรนขัดขืน ค่อยๆ เปิดเปลือกตาแล้วเพ่งมองกระต่ายยักษ์นั้นอีกครั้ง สายตาอันเลือนรางของมันค่อยปรับจนชัดเจนยิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น ในที่สุดพบว่า ที่เบื้องหน้าของตนเวลานี้มิเพียงมิใช่กระต่ายตัวหนึ่ง กลับเป็นคนผู้หนึ่ง และที่สำคัญกว่านั้น คนผู้นี้กลับเป็นหลวงจีนชรารูปหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกคุ้นตามันอยู่ไม่น้อย
"ไต้ซือ? ท่านมาได้อย่างไร?"
"ฮาฮา ประสกน้อยเจ้ากลับเป็นฝ่ายสอบถามเรา" จากนั้นกล่าวต่ออีกว่า
"อาตมาดั้นด้นมาเก็บสมุนไพรหายากที่ขึ้นอยู่บริเวณก้นหุบเหวนี้ กลับพบเจ้าบาดเจ็บสาหัสนอนฟุบอยู่เหนือพุ่มไม้หนึ่ง บริเวณใกล้เคียงมีกระต่ายน้อยตัวนี้อยู่ จึงนำพาเจ้าและมันกลับมายังที่นี่ นับว่าสวรรค์ยังเมตตา เจ้าแม้ร่วงหล่นจากหน้าผาที่สูงชัน บนร่างนอกจากบาดแผลกระบี่สามสายที่ฉกรรจ์แล้ว เพียงปรากฏรอยฟกช้ำดำเขียว หามีส่วนใดของร่างกายฉีกขาดไปไม่"
"อย่างนั้นท่านพบเห็นฝูงกระต่ายหรือไม่? แล้วกระต่ายยักษ์ตัวนั้นเล่า?"เด็กหนุ่มถามด้วยความร้อนรน สายตายังอดชำเลืองไปยังกระต่ายน้อยที่เล็มหญ้าอยู่อีกทาง
"ฝูงกระต่าย? กระต่ายยักษ์อันใด? เรากลับมิพบเห็น ในที่นี้นอกจากเจ้าก็มีเพียงเรากับกระต่ายน้อยนั้น หามีฝูงกระต่าย กระต่ายยักษ์อันใดไม่" กล่าวพลางมองเด็กหนุ่มราวกับสิ่งแปลกประหลาดมิเคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต
"เหตุใดไม่มี? ท่านดู บาดแผลเหล่านี้ท่านเห็นหรือไม่? ยังมีข้าพเจ้ากลับจดจำได้ว่ากระต่ายยักษ์นั้นเป็นผู้โอบอุ้มข้าพเจ้ามายังที่นี้" กล่าวพลางชี้ให้หลวงจีนมองดูบาดแผลตามร่างกายของตน
"บาดแผลเหล่านั้นมิเพียงเราเห็นผ่านตามาแล้ว ยังเป็นผู้เยียวยารักษาเจ้าด้วยตนเอง บาดแผลเหล่านั้นแม้กระแทกถูกโขดหินในตอนที่เจ้าตกลงมา แต่มิหนักหนาเท่าใด พอกสมุนไพรของเราสิบวันครึ่งเดือนก็จะทุเลาหายดี ที่หนักหนากลับเป็นบาดแผลกระบี่ที่สองแขนและกลางหลังของเจ้านั้นมากกว่า! ส่วนเรื่องกระต่ายยักษ์ที่โอบอุ้มเจ้ามาก็หามีไม่ อาตมาเป็นผู้นำเจ้ามาด้วยตัวของอาตมาเอง!"
เสี่ยวซามองดูหลวงจีนอย่างตะลึงลาน จากนั้นสำรวจมองร่างกายของตนกลับพบว่าทั่วทั้งร่างบวมช้ำและปรากฏรอยขูดขีดจากการกระแทกด้วยของแข็งจริงดังที่หลวงจีนกล่าว
"เจ้ายังมิบอกเราเหตุใดเจ้าจึงตกลงมาจากหน้าผาสูงแห่งนั้น อีกทั้งบนตัวกลับปรากฏบาดแผลกระบี่สามสาย ดูจากรอยบาดแผลแล้วผู้ใช้กระบี่สมควรเป็นผู้มีฝีมือระดับแนวหน้าของบู๊ตึ๊ง ที่แท้เจ้ากระทำเรื่องราวใดจึงเพาะสร้างศัตรูร้ายกาจเช่นนี้คนหนึ่ง?"
เสี่ยวซานิ่งงันอยู่ด้วยความสับสนในเรื่องราวบวกกับจับต้นชนปลายไม่ถูก และไม่รู้ว่าสมควรที่จะบอกเล่าออกไปดีหรือไม่? ดังนั้นจึงนิ่งอึ้งอยู่ หลวงจีนก็หาได้เร่งรัดมันแต่อย่างใด
เสี่ยวซามองดูหลวงจีนชราอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจ
"ชีวิตนี้อย่างไรเป็นท่านช่วยเหลือไว้ หากเรายังปิดบังเรื่องราวต่อท่านอีก นับเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง"
ดังนั้นบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ว่าพบเห็นจื่ออิงสังหารเสี่ยวเง็กเช่นไร จากนั้นถูกจื่ออิงตามล่า ถูกทำร้ายจนร่วงหล่นลงในหุบเหว เด็กหนุ่มบอกเล่ารายละเอียดอย่างถี่ถ้วน กระทั่งความสัมพันธ์ของตนเองกับเสี่ยวเง็ก พบเจอกันเช่นไร คบหาเป็นสหายได้อย่างไร พูดคุยอะไรกันบ้างก็บอกออกมาจนสิ้น
หลวงจีนชราฟังคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มไปพลาง ขบคิดตามไปพลาง เรื่องราวที่เด็กหนุ่มผู้นี้บอกกล่าวออกมากลับยากยิ่งที่จะเชื่อ ทว่าด้วยสีหน้าและท่าทางที่อัดอั้นรันทดของมันก็ไม่คล้ายเสแสร้งแกล้งดัดขึ้น ยังมีตัวท่านเองนั้นก็พอมีความสามารถในการจำแนกลักษณะของคน เด็กหนุ่มผู้นี้มิเพียงมีใบหน้าที่สัตย์ซื่อ กระทั่งวาจาที่กล่าวก็ยังซื่อตรง เรื่องราวที่เล่าออกมาก็คงมิได้ปรุงแต่ง เพราะกระทั่งการคบหาสหายหญิงผู้หนึ่ง มันคิดเช่นไร กระทำสิ่งใด ยังบอกออกมาจนสิ้น หรือว่า จื่ออิงเจ้าสำนักคนใหม่ของบู๊ตึ๊งกระทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้จริง?
ดังนั้นหลวงจีนชราลอบครุ่นคิดหาวิธีทดสอบเสี่ยวซาว่าโป้ปดหลอกลวงตนเองหรือไม่ โดยวิเคราะห์จากเรื่องราวที่เด็กหนุ่มนี้บ่งบอกออกมา
จากคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มนี้ คล้ายกับว่าตนเองไม่ล่วงรู้วิชาฝีมือใดๆมาก่อน ทว่าจากการตรวจสอบชีพจรในการรักษา หลวงจีนกลับพบว่า เด็กน้อยนี้มีพลังลมปราณที่ทั้งหนาแน่นและอ่อนหยุ่น นั่นหมายถึงมันเคยฝึกปรือการเดินลมปราณมาก่อน และยังฝึกปรืออย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาแรมปี จึงเพาะสร้างกำลังลมปราณที่หนาแน่นเช่นนี้ ส่วนที่ลมปราณมีลักษณะอ่อนหยุ่น กลับคล้ายเป็นเคล็ดเดินลมปราณของสำนักฝ่ายแนวทางพรต หรือเด็กน้อยนี้ลอบขโมยฝึกวิชา ถูกจับได้จึงหลบหนี จากนั้นจื่ออิงติดตามมาทันซัดจนมันร่วงหล่นลงมา
หลวงจีนจึงสอบถามเสี่ยวซาว่าเคยฝึกกำลังฝีมือมาก่อนหรือไม่? เด็กหนุ่มส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ
หลวงจีนชราขมวดคิ้วทั้งคู่เข้าหากัน นี่ก็ดูคล้ายกับว่าเด็กหนุ่มมิได้โป้ปดท่าน หรือว่ามันผู้นี้กลับมีความสามารถยอดเยี่ยมในการโป้ปด กระทั่งตอนโป้ปดมิเพียงลมหายใจไม่กระชั้นถี่ขึ้น กระทั่งม่านตาก็ไม่มีอาการผิดปกติ ในที่สุดตัดสินใจใช้วิธีการหนึ่งในการทดสอบว่ามันเคยฝึกปรือกำลังฝีมือมาหรือไม่?
หลวงจีนชราพลันยื่นมือขวาไปยังเบื้องหน้าของเสี่ยวซาด้วยอาการปกติธรรมดาราวกับจะลูบศรีษะของมันด้วยความเอ็นดู ทว่าหากเป็นผู้ฝึกยุทธจะต้องรู้สึกตื่นตัว เพราะฝ่ามือที่เชื่องช้านี้กลับบรรจุพลังเต็มเปี่ยมที่ป่นได้กระทั่งศิลา! มิเพียงเท่านั้นอาการยื่นมือขวาของท่านครานี้กลับแฝงเคล็ดความเปลี่ยนแปลงถึงเจ็ดประการ ไม่ว่าจะหลบเลี่ยงไปในทางใดฝ่ามือยังสามารถกดประทับลงบนจุดเส้นที่กระหม่อม ขอเพียงเป็นผู้ฝึกยุทธย่อมล่วงรู้ว่าจุดเส้นที่กระหม่อมนั้นเปรอะบาง มิอาจปล่อยให้ผู้คนกระทบถูกโดยง่าย
ทว่าเสี่ยวซากลับมิเพียงไม่หลบหลีก ยังก้มศรีษะลง ปล่อยให้ฝ่ามือของหลวงจีนชราประทับลงบนศรีษะของมัน คล้ายกับมิล่วงรู้ถึงความสำคัญของจุดเส้นดังกล่าว ก่อนที่ฝ่ามือของหลวงจีนชราจะประทับลงบนกระหม่อมของเสี่ยวซา พลังที่แฝงมากับท่วงท่าพลันถูกดูดรั้งกลับไปจนสิ้น เหลือเพียงแค่ฝ่ามือที่ลูบลงบนศรีษะของมันด้วยความเอ็นดูเท่านั้น
"เด็กน้อยเอย เจ้ากลับมิล่วงรู้ว่าโลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยภยันตราย เวลานี้เรามีบางเรื่องคิดสอบถามเจ้า ขอให้บอกเราตามตรง"จากนั้นกล่าวต่ออีกว่า
"ตลอดเวลาที่อยู่บู๊ตึ๊งเคยมีคนถ่ายทอดวิชาเดินลมปราณ หรือกระบวนท่าอันใดแก่เจ้าหรือไม่?"
แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 46 17:40:20
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
2 ต.ค. 46 00:58:00
]