*** เพียงเชื่อใจ....เมื่อต้องไกลกัน ***

    ***  เพียงเชื่อใจ....เมื่อต้องไกลกัน ***

    .....................................................


    “กริ๊ง.....กริ๊ง.....”  โทรศัพท์แผดเสียงลั่น ชายหนุ่มเอื้อมือไปรับ หากเสียงที่ได้ยิน

    “ ห้าโหล หกสิบๆ ที่นี่ที่ไหน ”ชายหนุ่มกดปุ่มตัดสายด้วยความหงุดหงิด
    ทำไมซวยอย่างงี้วะ  นอนก็ดึกแล้วต้องตื่นแต่เช้ามารับโทรศัพท์คนโรคจิตอีก
    หากไม่ทันที่ชายหนุ่มจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง โทรศัพท์เครื่องเดิมก็แผลงฤทธิ์อีก

    “ กริ๊ง.....กริ๊ง..... ”

    “โว้ย  อะไรกันแต่เช้าวะ ” ชายหนุ่มหันไปมองโทรศัพท์ ชั่งใจจะรับหรือไม่ดี
    สุดท้ายก็เอื้อมไปกดปุ่มรับสัญญาณ

    “ หวัดดีตอนเช้า  ออกมารับหน่อยสิ ” เสียงหวานใสออดอ้อน

    “ อยู่ไหนล่ะจะให้ไปรับ  อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้โทรมาแต่เป็นภาคคนโรคจิต ”

    “ ใช่แล้ว  มารับหน่อยอยู่หน้าบ้าน กระเป๋าหนักด้วย ” มีเสียงหัวเราะเจือมากับคำตอบ

    “  เดี๋ยว  อย่าล้อเล่น อยู่ไหนนะ ” ชายหนุ่มตกใจก็เจ้าของเสียงใสๆที่คุยอยู่
     ตอนนี้น่าจะอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วทำไมบอกหน้าบ้าน หน้าบ้านหล่อนหรือหน้าบ้านใคร

    “ อยู่หน้าบ้านตุลย์แหละ ” ชายหนุ่มลุกจากเตียงเปิดม่านดู ก็เห็นคนตัวเล็กกระโดดโบกไม้โบกมือ

    “ เดี๋ยว รอแป๊บ ”

    “ จ้า  ” เสียงตอบยานคาง

    พอประตูรั้วเปิด คนตัวเล็กก็เดินเข้ามา โดยไม่รอคำเชิญของเจ้าบ้าน

    “  คิดถึง  เข้าบ้านเถอะ ” แขกชวนเจ้าบ้านหน้าตาเฉย

    “  เดี๋ยว  มาได้ไง  ” คนตัวโตยังไม่หายงง

    “  น่า อย่ารู้เลยว่ามายังไง  รู้แต่ว่าตอนนี้มาถึงแล้ว แล้วก็ปลอดภัยก็พอ ”

    “  ทำไมไม่บอก ” คนตัวเล็กแหงนหน้ามองไม่เข้าใจเสียงดุที่ได้ยิน

    “ ทำไมไม่บอกล่วงหน้า  ไม่บอกก่อนว่าจะมา ” ประโยคต่อมาอ่อนลงจนคนฟังรู้สึกได้

    “ แล้วทำไมต้องบอก  อ้อ!  รู้ล่ะ ซ่อนใครไว้ในบ้านล่ะสิ ไหนดูสิ  
     ซ่อนสาวๆไว้เหรอ  อย่าให้เจอนะ ไม่งั้นล่ะ ฮึ่ม! น่าดู  ” คนตัวเล็กแยกเขี้ยวคาดโทษ

    “ เดี๋ยว   ดา”   ตุลย์ร้องห้ามหากคนตัวเล็กเดินลิ่วไม่ฟังเสียง  แล้วเสียงแหลมเล็กก็ดังขึ้น

    “ ตุลย์  ทำไมเป็นงี้อ้ะ ”

    “ ก็บอกแล้ว  อย่าเพิ่งเข้าไป ”

    “ บ้าน ทำไมเป้นอย่างนี้  บ้านคนหรือรังหนูกันแน่เนี่ย   จานชามกินแล้วก็ไม่เก็บ
      โห....นี่ถุงเท้าข้างหนึ่งอยู่หน้าบ้าน  อีกข้างอยู่หลังบ้าน ”

    “ เมื่อคืนเข้ากะเลิกตี 2  กว่าจะถึงบ้าน ก็ตี3  
    หิวเลยหาอะไรกินอาบน้ำอาบท่ากว่าจะได้นอนก็ตี 4 กว่า”

    “ งั้นก็ยังนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงน่ะสิ ” ดาหรือดาริกาดูนาฬิกาที่ข้อมือ ซึ่งบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า

    “ ไปนอนต่อเถอะ ”

    “ คิดถึง ”  เสียงทุ้มบอกเบาๆ

    “ อะไรนะ  ไม่ได้ยินเลย  บ่นอะไรเป็นตาแก่อยู่ได้ ” คนตัวเล็กโวยวาย กลบเกลื่อนอาการเขิน
     คบกันมาก็ตั้งหลายปีแต่ทำไมไม่รู้  ทุกครั้งที่ได้ ยินคำซึ้งๆจากปากของชายคนนี้
     หล่อนก็มีอาการอย่างนี้ทุกที

    “ คิดถึง ”  คราวนี้เสียงทุ้มดังขึ้นอีกนิด

    “ คิดถึงใครล่ะ  ไมไม่บอกชื่อ ”

    “ ขอนอนก่อน ตื่นขึ้นมาเจอหน้าใครคนแรกก็คิดถึงคนนั้นแหละ ”
      ชายหนุ่มทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้วเดินกลับเข้าห้องนอน  ก็คนตัวเล็กที่อยู่ข้างนอกนั่น
      รู้จักบ้านนี้ดีกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก

    คำว่า ` คิดถึง`  ผ่านเข้าหูของหญิงสาว แล้วเข้าไปแฝงกายอยู่ในหัวใจ  
    เคลิบเคลิ้มกับคำว่า` คิดถึง` ได้ไม่นาน ท้องก็ร่ำร้องเรียกหาอาหาร
    เฮ้อ! อย่างนี้ล่ะมั้งที่ว่า  อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย    ไม่ตายเพราะอดเสน่หา

    หญิงสาวชงกาแฟแก้วโตแล้วหยิบคุ้กกี้ 5- 6 ชิ้นออกจากกระปุกใส่จานเล็กๆ
    ถือออกไปยังนอกชานข้างหลัง ไล่สายตาไปยังต้นไม้เล็กใหญ่ตรงหน้า
    กลิ่นหอมของดอกแก้วโชยมา
    นี่ก็อีกที่หล่อนสรรหามาปลูกเนื่องจากหลงใหลในไม้ดอกสีขาวที่มีกลิ่นหอมไม่ว่าจะเป็นแก้ว  มะลิ  ราชาวดี  สุดท้ายสายตาก็หยุดที่กระถางดอกหน้าวัวที่วางเรียง 3-4 กระถาง นี่คงเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่หล่อนไม่ได้ขอร้องแกมบังคับว่าต้องมี หากก็เคยร่ำร้องอยากได้อยากมี  
    เอ๊ะ! หรือเขาจะหามาเพื่อเอาใจหล่อน  แหม! ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย

    หล่อนก็แปลกไม่ใช่คนใต้ หากทำไมมาหลงใหลได้ปลื้มซาบซึ้งกับสิ่งต่างๆทางใต้ ภูเขา  ทะเล  
    อาหารที่รสจัดจ้าน อ้อ! รวมหนุ่มใต้ที่นอนอยู่ในห้องนั่นอีกคน

    “ คิดอะไรอยู่เหรอ ”  เสียงทุ้มเอ่ยทำลายความเงียบพร้อมมือที่เอื้อมมาขยี้ผม

    “ ตื่นเร็วจัง ”

    “ นอนไม่หลับ ”

    “ ดีใจล่ะสิ  ที่ดามา  โห....เหมือนเป็นคนสำคัญเลย ”

    “ เพิ่งรู้เหรอว่าสำคัญ ”

    “ รู้มานานแล้ว ตั้งแต่มีคนเมาที่ไหนไม่รู้ไปยืนดีดกีตาร์แหกปากร้องเพลงที่ใต้ระเบียงห้องตอนตีสอง ”

    “ ยังไม่ลืมอีก ”

    “ ลืม – ไม่ – ลง ”  คนตอบยังจำได้

    ภาพคนตัวโตที่ยืนแหกปากร้องเพลงจนหล่อนต้องรีบไปลากขึ้นมา ก่อนที่คนข้างล่าง
    จะได้รับคำสรรเสริญเยินยอพร้อมของกำนัลหนักๆจากเพื่อนข้างห้องหรือบ้านใกล้เรือนเคียง
    แล้วสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ ทำให้กังวลใจก็พรั่งพรูออกจากปากคนตัวโต หล่อนเคยถาม
    ทำไมไม่บอกคนอื่นมาบอกดาทำไม` ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนั้น ดาเป็นคนเดียวที่อยากบอก อยากคุยด้วย `

    “ กาแฟไหม  เดี๋ยวไปชงให้ ”

    “ อืมม ”

    เพียงครู่เดียวกาแฟ  ขนมปังปิ้งพร้อมแยมก็ถูกวางลงบนโต๊ะ

    “ เดี๋ยวเที่ยงออกไปกินข้าวข้างนอกนะ  เย็นต้องทำงานเลิกตีสองแน่ะ  อยู่บ้านคนเดียวได้ไหม ”

    “ ได้สิ  อยู่ออกบ่อย  ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ”

    “ ใครบอกห่วง ”  เสียงทุ้มแย้ง

    “ อ้าว ”

    “ กลัวหนีเที่ยวคนเดียวไม่ชวนต่างหาก ”  ก็ผู้หญิงตรงหน้าเคยแอบหนีไปดูหนัง
    เพื่อคลายเครียดในช่วงสอบ  แทนที่จะชวนไปด้วยกัน  
    กลับปล่อยให้เขาบ้ากับหนังสือกองโตอยู่คนเดียว

    “ งั้นอย่ากินเลย กาแฟ ขนมปังนี่  คายออกมานะ ”  คนสั่งสั่งพร้อมจับไหล่คนตัวโตเขย่า

    “ โอ้ย! ใครซื้อ ”

    “ แล้วใครทำ ” เสียงใสๆทวงบุญคุณ

    “ ก็ทำตอบแทนไง  ไม่เห็นเหรอนั่น ” ตุลย์ชี้มือไปยังกระถางดอกหน้าวัวที่วางเรียงกัน

    “ไปงานเกษตรฯมาเห็นแล้วนึกถึง ” ตุลย์อธิบายต่อ

    “  นี่เห็นดอกหน้าวัวแล้วคิดถึงดาเหรอ  นี่แน่ะๆ ”
    ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เขย่าหากทั้งหมัดทั้งศอกรัวเข้ากลางหลัง

    “ เดี๋ยวหยุดก่อน  เจ็บ  ก็เห็นบ่นอยากได้ไง เลยซื้อมาไว้ให้ ” คนบ่นเจ็บยังหัวเราะได้

    “ ก็แค่นี้แหละ  บอกดีๆแต่แรกก็ไม่เจ็บตัว ” แล้วคนตัวเล็กก็กลับไปนั่งที่เดิม ยกกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายใจ

    ต่างคนต่างเงียบ ท่ามกลางความเงียบนั้นไม่มีความเหงา  
    กลับคล้ายมีกองไฟเล็กๆที่ไม่ได้แผดเผาจนร้อนหากรู้สึกอบอุ่น





    “ ตุลย์เอากุญแจไปนะ กลับมาแล้วจะเปิดเข้ามาเอง  อยู่ได้นะ  กลัวหรือเปล่า ”

    “ อยู่ได้สิ   ไม่กลัวหรอกมียันต์นั่นไง ” ดาว่าพลางชี้มือไปยังรูปชายหนุ่มในชุดครุยที่แขวนอยู่เหนือโซฟา

    “ อ๋อ   ยันต์ที่ว่าคือผู้หญิงที่อยู่ในชุดครุยที่ยืนข้างชายหนุ่มหล่อๆน่ะเหรอ  อืมม  น่ากลัวจริงๆ ”

    “ ตาบ้า!   ไปเลยไป  ไปทำงานได้แล้ว  ขับรถดีๆนะ  ”
    คนตัวเล็กรุนหลังคนตัวโตไปยังรถ

    ก่อนรถจะเคลื่อนออกจากบริเวณบ้าน ตุลย์ยังไม่วายโผล่หน้าออกมา

    “ อยากให้มายืนส่งอย่างนี้ทุกวันจัง ”

    “ มีค่าจ้างเปล่าล่ะ  จะได้ลาออกจากงานมายืนส่งอย่างเดียว ”

    “ ให้ไปทั้งใจจนหมดตัวอยู่แล้ว  ไปล่ะ  วันนี้จะรีบกลับบ้านไม่เถลไถลไปกินเหล้าที่ไหน ”

    ดามองรถที่เคลื่อนออกไปจนเลี้ยวหายไปจากสายตา 'อยากให้มายืนส่งอย่างนี้ทุกวัน `  ก็อยากมายืนส่งทุกวันเหมือนกัน  แล้วทำไมไม่มา  เพราะสิ่งที่หล่อนได้ยินจากปากของตุลย์เป็นประโยคที่เอ่ยแบบ ' ทีเล่นทีจริง ` แม้จะรู้แก่ใจว่ามีความจริงแฝงอยู่มากกว่าครึ่ง  หากธรรมชาติของผู้หญิงแล้ว หล่อนเชื่อว่า ทุกคนอยากได้ยินประโยคที่บอกอย่างหนักแน่น มั่นคงดูจริงจังมากกว่านี้






    เสียงรถที่วิ่งเจ้ามาจอดหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงกุกกักๆข้องนอกนั่น  
    ทำให้ดาลุกออกมาจากห้อง พร้อมกับตุลย์ที่เปิดประตูเข้ามาพอดี

    “ ยังไม่นอนอีกเหรอ ”

    “ นอนแล้ว พอดีได้ยินเสียงก็เลยออกมาดู  หิวไหม  เดี๋ยวทำอะไรให้กิน ”

    “ นิดหน่อย  ขออาบน้ำก่อนนะ มาม่า 2 ซองพอ ไม่ต้องทำอย่างอื่นนะ กลัวท้องเสีย ”
     ตุลย์บอกแล้วรับคว้าผ้าเช็ดตัวเดินผิวปากเข้าห้องน้ำ  หากทันได้ยินเสียง

    “ เดี๋ยวนี้พัฒนาแล้วย่ะ ”  

    ตุลย์หัวเราะนึกถึงวันที่หล่อนโชว์ฝีมือ  ฝีมือที่ไม่ค่อยได้เรื่องในการทำอาหาร
    เพราะแกงส้มกลายเป็นแกงเค็ม  ข้าวที่หุงแฉะจนเป็นข้าวต้ม   ที่ดีหน่อยคือผัดผักที่รสไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากรสดั้งเดิมที่เคยกิน

    คนโชว์ฝีมือวันนั้นยังร้องห้าม  เมื่อเขาจะตักแกงส้มอีกเป็นครั้งที่สอง
    ' ไม่ต้องกินแล้ว เดี๋ยวท้องเสีย `
    ' ไม่เป็นไร   เสียดาย  `    
     เขาไม่ได้บอกต่อ   เสียดายน่ะไม่เท่าไหร่  หากกลัวคนทำ'เสียใจ` มากกว่า

    ดานั่งมองคนตัวโตที่ใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่เข้าปากไม่พูดไม่จา

    “ อยากกินเหรอ ” ก็คนตรงหน้าจ้องเขาตาแทบไม่กะพริบ

    “ เปล่า  ดูคนโกหกกิน  บอกว่าหิวนิดเดียวแต่ทำไมกินไม่พูดไม่จา ”

    “ ก็ทำอร่อย ”  คนถูกค่อนบอกพร้อมยิ้มประจบ

    “ มาม่า  ใครทำก็อร่อยย่ะ ”

    “ นั่นสินะ  ลืมไป    พรุ่งนี้ว่าง แลกกะกับเพื่อน  กลัวดาเหงา อยู่บ้านคนเดียว
    เพราะอย่างนี้ไง  ถึงถามว่าทำไมไม่บอกว่าจะมา  จะได้ทำตัวให้ว่าง ”

    “ ไม่เหงาหรอก  อยู่กับตุลย์ไม่เคยเหงาสักที ”

    “ จริงเหรอ ”
    คำถามที่คาดคั้นพร้อมสายตาของชายหนุ่มที่ส่งมาทำให้ดาเขินต้องรีบกลบเกลื่อน

    “ ตุลย์  เดี๋ยวนี้อ่านหนังสือประเภทนี้แล้วเหรอ ”

    “ ประเภทไหน ”

    “ นี่ไง ” คนพูดชูหนังสือ 2-3 เล่มในมือ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับบทกลอน  บทกวี
    เรื่องเกี่ยวกับความรักหวานซึ้งซึ่งคนพูดไม่เคยเห็นตุลย์อ่านสักที
    เพราะชายหนุ่มชอบอ่านประเภทลึกลับ ฆาตกรรม  ประวัติศาสตร์  
    ไม่ก็ท่องเที่ยวประเภทแบบเป้เข้าป่านั่นแหละ

    “ ไปร้านหนังสือ เห็นเลยซื้อมาไว้เผื่อดามาจะได้มีอ่านไม่เหงาไง ”
     ตอบเสร็จก็ก้มลงจัดการกับถ้วยบะหมี่ตรงหน้าต่อ

    “ มะรืน ดาจะกลับแล้วนะ ”

    “ ทำไมเร็วจัง ”

    “ ลางานได้ 3 วันเอง ”  

    ต่างคนต่างคิด  คนหนึ่งคิด 'อยากอยู่ต่อ ` อีกคนคิด  ' ไม่อยากให้กลับ `
    หากรู้เป็นไปไม่ได้

    “ อืมม  อยากไปไหนมั่งล่ะ”

    “ อยู่บ้านนี่แหละ ”

    “ ตามใจห้ามบ่นล่ะ ”

    “ ไม่ใช่ยายแก่สักหน่อย ”

    “ อ้าว! ไม่ใช่หรอกเรอะ  เห็นบ่นจัง ”

    “ 26 นี่นะแก่  ตัวเอง 27 แก่กว่าอีก ” ดาโวย

    “ ยอมๆ  ตุลย์แก่แต่หน้าอ่อน  ส่วนดาน่ะ  อายุอ่อนแต่หน้าแก่ ”  
    ว่าแล้วก็รีบผลุบเข้าห้องปล่อยให้ดาอ้าปากค้าง


    จากคุณ : อุณากรรณ - [ 3 ต.ค. 46 23:12:34 A:172.180.199.205 X: ]