นิพนธ์ก้มลงใส่รองเท้าให้กระชับ พื้นรองเท้านั้นสึกไปจนเกือบหมดแล้ว ระหว่างที่เขาเดินเขาเฝ้าคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำในวันนี้ อาหารที่อยากจะทาน หนังสือที่อยากจะอ่าน ภาพยนตร์ที่อยากจะไปดู วันนี้ต้องโทรศัพท์ถึงใครบ้าง อีกกี่วันถึงจะมีวันหยุด แล้วถ้าหยุดแล้วจะทำอะไร ช่วงเอเปกก็หยุดเหมือนกัน ก็น่าจะหาอะไรทำ อยากไปเที่ยว แล้วจะเที่ยวที่ไหน เขาคิดไปถึงว่าจะไปชวนใครบ้าง เพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจะว่างกันหรือเปล่า จะจัดทริปต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้าทำจริงๆ นี่คงเป็นทริปแรกที่เขาทำ เสื้อวันนี้ที่เขาใส่เป็นเสื้อลาย เขาพลิกแขนขึ้นมาดูรอยเปื้อนเมื่อตอนที่กินข้าวเช้า มันเริ่มซีดจางลงไปแล้ว เขาเหลือบไปดูรอยยับของกางเกงที่วันนี้เขาไม่ได้รีด แต่คงไม่เป็นไร เพราะว่าในที่ทำงานคงจะไม่มีใครมีเวลาจะมาสังเกตเรื่องราวเล็กน้อยพวกนี้ วันนี้เขาต้องนำเสนอแผนการตลาดของสินค้าตัวใหม่ให้กับเพื่อนในกลุ่ม เวลาชี้ไปบนภาพที่ฉายออกมาที่ฉากรับ รอยเปื้อนนี้อาจจะดูเด่นขึ้นมาได้ แต่กังวลไปก็คงไม่เป็นประโยชน์อันใด เขาปล่อยมันไปแล้วหันไปคิดเรื่องอื่นแทน
เมื่อเขาไปถึงที่ทำงาน เขาเดินไปหาสัญญา เพื่อนร่วมงานที่จะนำเสนอแผนด้วยกัน "ได้แก้อะไรเพิ่มหรือเปล่า"
"ไม่เลย" สัญญาส่ายหัว "เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้ว"
นิพนธ์ยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้ "อืม. . . ผมว่ามันอาจจะยังดีไม่พอที่เขาต้องการ"
"ก็อาจจะใช่" สัญญาเอื้อมมือไปตบหลังเพื่อน "แต่เราก็ทำเต็มที่แล้ว" แต่เมื่อเห็นเพื่อนไม่ตอบอะไรกลับมา "ผมเข้าใจนะว่าทางโน้นอยากได้อะไรที่แปลกใหม่ ที่เราทำมันก็ไม่ได้เก่าอะไรนี่นา. . . เชื่อเถอะ เขาจะเอามันเขาก็เอา ถ้าเขาไม่เอา เขาก็สั่งให้เรามาทำใหม่เอง"
นิพนธ์พยักหน้า แต่เขาไม่ได้ตอบรับว่านั่นคือคำปลอบใจที่ทำให้เขาเลิกวิตก เขาแค่ทำตัวไปตามที่ต้องทำเท่านั้น
"นายเตรียมพูดให้ดีแล้วกัน" สัญญาย้ำ
เข็มนาฬิกาที่ผนังหมุนไป นิพนธ์มองมันค่อยๆ ขยับตัว เวลาที่ค่อยๆ เลื่อนไป เหมือนกับชีวิตที่เลื่อนไปตามประวัติศาสตร์ของมันเอง ทุกคนเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในกระแสน้ำที่เกิดจากการที่ปลาทั้งหลาย รวมทั้งตัวมันเอง พัดโบกให้มันหมุนไปอย่างนั้น แล้วทำไมตอนนี้เขามาอยู่ที่ตรงนี้นะ? ถ้าวันที่เขามาสัมภาษณ์งาน เขาไม่ได้ตอบอย่างที่เขาตอบตอนนั้น เขาก็อาจจะไม่ได้ถูกจ้างมาทำงานอยู่ตรงนี้ หรือถ้าวันก่อนหน้านั้น เขาไม่ได้ไปเปิดหนังสือพิมพ์ดูหน้าประกาศหางาน เขาก็อาจจะไม่ได้เข้ามาสมัครเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่แน่ ถ้าเขาไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์วันนั้น และบริษัทนี้ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ เขาอาจจะเดินเข้ามาที่บริษัทในวันนี้และได้งานในตำแหน่งเดิม
"ไปเหอะ" สัญญาเดินมาเรียก
* * *
ผมขออธิบายแนวทางคร่าวๆ ของแผนของเราก่อนนะครับ
เราฉีกแนวคิดเดิมออกไป ของหลายชิ้นพยายามเน้นว่าเป็นสินค้าของคนรุ่นใหม่ เขาพยายามผูกความเป็นคนรุ่นใหม่เข้ากับสินค้าอิเล็คทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ รวมถึงของเล่นเบ็ดเตล็ดแหวกแนวราคาแพงทั้งหลาย ส่วนคนยุคก่อนหน้านั้น แค่จะกดโทรศัพท์มือถือก็ปวดหัวแล้ว ก็เป็นตลาดของสินค้าวัฒนธรรมทั้งหลาย ของสวยงามคลาสสิกประเภทนั้น เราจะไม่ไปตามนั้น แต่เราเองก็จะไม่ไปในทิศทางที่เป็นเรื่องตลก ตัวอย่างเช่น เราจะไม่เอาอาม่ามาเล่นอินเตอร์เน็ต หรือว่าจับฝรั่งมาใส่ชุดไทยฟ้อนรำ เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่เราจะทำก็คือการทำลายกำแพงนี้ แน่นอนการที่กำแพงกั้นตลาดนี้เกิดมาได้ ก็เนื่องจากว่ามันมีความจริงอยู่บางส่วน เช่น เด็กวัยรุ่นย่อมปรับตัวเข้ากับเครื่องใช้พวกนี้ได้ง่าย ทั้งยังมีนิสัยชื่นชมสิ่งที่หวือหวา ดังนั้นการที่จะเจาะตลาดลงไปที่กลุ่มนี้ก็เป็นเรื่องปกติ หรือกลุ่มวัยกลางคนที่ห่างจากวัยรุ่นสักหน่อย เรื่องของช่องว่างระหว่างอายุมันก็เริ่มปรากฏ พวกรสนิยมมันก็เริ่มจะไม่เหมือนกับวัยรุ่น มันก็กลายเป็นตลาดใหม่ สิ่งแรกที่เราจะเสนอก็คือแนวทางที่จะค่อยๆ ประสานช่องแยกของตลาดนี้ก่อน ผมคิดว่าทุกท่านที่ได้ฟังนี้ ย่อมจะเชื่อแน่ๆ ว่า ถ้าเราสามารถรวมตลาดสองอันนี้เข้าเป็นหนึ่งเดียวได้ โอกาสที่จะทำกำไรในสินค้าต่างๆ ก็จะเปิดกว้างขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
* * *
คืนแรกที่นิพนธ์รับปากว่าจะไปคิดแผนการตลาดแนวใหม่นั้น เขาแทบนอนไม่หลับเลย คนอื่นๆ ที่ได้เห็นโจทย์แล้ว ต่างพากันหาข้ออ้างต่างๆ นานา ที่จะไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะเห็นกันได้ชัดๆ ว่านี่เป็นเส้นทางตายของมืออาชีพ มันเหมือนกับไปรับประกันด้วยเส้นทางอาชีพว่า ในเวลาสิบวัน จะแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพให้ได้ แน่นอนปัญหาโลกแตกพวกนี้ ถ้ามือชั้นหนึ่งมาทำแล้วล้มเหลว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่ถ้ามือใหม่มาทำแล้วประสบความสำเร็จ นั่นแหล่ะ จะเป็นจุดกำเนิดของดาวรุ่งดวงใหม่ ดังนั้นจึงมักเห็นได้บ่อยครั้งว่า ปัญหาที่สำคัญมากมาย กลับตกอยู่ในความรับผิดชอบของมือใหม่ทั้งหลาย ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างนั่งมองกันตาปริบๆ ไม่กล้าจะเข้ามาช่วยใดๆ ทั้งสิ้น มากกว่าครึ่งที่มือใหม่เหล่านั้นไปไม่ถึงฝัน ต้องกลายเป็นดาวร่วงจมน้ำไปเสียก่อน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้เป็นดาวเด่นอย่างที่ตั้งใจหวัง โดยไม่ทราบสาเหตุเลยเสียด้วยซ้ำ
นั่นคือความแตกต่างระหว่างคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย กับคนที่แบกความทรงจำต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งประสบการณ์รวมถึงชื่อเสียง ที่พวกเขาหลายครั้งไม่กล้านำมามันเสี่ยงด้วย ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนจึงมักยึดติดกับแนวทางเดิมๆ ที่เคยทำให้ตนเจริญขึ้นมา เพราะว่ามันเหมือนกับอาวุธที่คุ้นมือ แต่ที่จริงแล้ว ครั้งแรกที่เขาใช้มันไปเขาก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันจะเหมาะสม ไม่ว่าเหตุผลหรือว่าความรู้ต่างๆ ที่เขาเคยได้พบได้อ่านมา ต่างก็ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จให้เขาได้เต็มร้อย มันอยู่ที่จังหวะที่เขาตัดสินใจจะเอาหอกดาบที่ถืออยู่นั้น เข้าไปฟาดฟันกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง ที่เขาได้รับรู้ว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง แต่ในวันนี้ ช่วงเวลาวิกฤตดังกล่าวไม่มีสำหรับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว เขามีแต่ความมั่นใจในอาวุธเก่า และความหวาดกลัวว่าชื่อเสียงที่เคยสร้างมาจะพังทลายลง ถ้าวิ่งออกไปเจอกับปัญหาเหมือนกับคนไม่เคยจับอาวุธและล้มเหลว คนที่เคยมาก่อนได้เปรียบ แต่ก็เสียเปรียบในเวลาเดียวกัน เพราะว่าน้ำหนักที่แบกไว้บนบ่าที่มากกว่าคนอื่นๆ ถึงสองเท่า
นิพนธ์รู้สึกหนักแต่ก็ทราบว่า นี่คือทางลัดสู่ความสำเร็จ เขาเชื่อว่าถ้าชีวิตนี้เขาจะสำเร็จเขาต้องทำงานนี้ได้ มันเหมือนกับว่าเป็นแบบทดสอบที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้
จากคุณ :
ทัศนา
- [
5 ต.ค. 46 21:44:05
A:203.107.202.4 X:
]