ตรงนี้...ที่ของใจ (ตอนจบ)

    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านนะค่ะ

    ที่พยายามทนอ่านกันมา

    ไม่รู้จะจบถูกใจกันหรือเปล่า

    เอาเป็นว่า ไปตามกันต่อแล้วกันนะค้า


    ++++++++

    หลังจากที่ไปส่งจารวีที่บ้านและแวะเก็บของแล้ว
    เอราวุธตรงไปหาหญิงสาวเจ้าของเรื่องที่ทำเอาเขานั่งไม่ติด
    กระวนกระวานมาตลอดวันสองวันที่ผ่านมา

    “พี่เอ”  หญิงสาวร่างบางเข้ามากอดเขาอย่างแสนยินดี

    “ว่าไงเรา”  
    เขาดึงตัวเธอออกห่าง ใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาเม็ดโตให้ เมื่ออีกผ่านเริ่มสงบลง

    “ฝนเสียใจค่ะ ไม่คิดว่า…เรื่องมันจะแย่แบบนี้ ฝน…โทรไปหาเขาแล้ว
    แต่…แต่ติดต่อเขาไม่ได้ โทรไปบ้านเขา ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน”  
    เสียงสะอึกสะอื้นฮักขัดการเล่าเป็นห้วง ๆ

    เอราวุธลูบผมของคนที่นั่งพิงอย่างเบามือ

    …น้องสาวคนเดียว ถึงจะคนละแม่คนละพ่อ แต่พ่อหล่อนก็เป็นน้องชายแท้ ๆ ของพ่อเขา
    ถ้าอารู้เข้า จะเป็นยังไง… นี่ขนาดเขาไม่ใช่คนเป็นพ่อเป็นแม่ ยังรู้สึกขนาดนี้…

    ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องอาศัยอยู่ในอาณาเขตรั้วเดียวกัน
    ถึงจะคนละมุม จนกระทั่งเมื่อกลางปี ฝน น้องน้อยของพี่ ๆ ทั้งห้าคนขอแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว

    ด้วยการเรียนปีสุดท้ายทำให้มีกิจกรรม ต้องหาข้อมูลจนมืดค่ำ
    เจ้าตัวเลยใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อนจะได้ออกมาอยู่ข้างนอก

    แรก ๆ ที่บ้านออกจะคัดค้าน เมื่อเธอต้องการออกมา
    แต่ในที่สุดก็ทนเสียงอ้อนของเจ้าหล่อนไม่ไหว
    ทั้งบ้านหล่อนบ้านเขาเลยยอมปล่อยให้เธอออกมาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย
    เพียงปีเดียวเท่านั้น…ยังไม่ถึงปีก็เกิดเรื่อง…

    “ฝนโทรกลับไปหาพ่อกับแม่หรือยัง”  ชายหนุ่มถามเสียงแห้ง

    เจ้าตัวส่ายหน้าน้ำตาคลอขึ้นมาอีก
    “ฝนไม่กล้าโทรไป ฝนไม่อยากให้ท่านเดือดร้อน ฝนทำตัวฝนเอง”

    ชายหนุ่มถอนหายใจ …สงสารคนเป็นน้อง …สงสารอาทั้งสองคน

    “กลับบ้านเราเถอะนะ”  เสียงเรียบ ๆ แต่มั่นคงบอกกับหญิงสาว


    สองอาทิตย์ที่ผ่านมาช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานไม่น้อยสำหรับครอบครัวเขา
    อาทั้งสองคนโกธรและโมโหมาก เมื่อรู้ว่าลูกสาวคนเล็กต้องเจอชะตากรรม

    …ชะตาที่ตัวเธอเองเป็นคนเลือกเดินเข้าไปโดยไม่ยับยั้งชั่งใจตัวเอง
    น้องสาวเขาเองก็เข้าใจและยอมรับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ฝนเหลือตัวสุดท้ายในเทอมหน้า เธอบอกกับเขาว่า
    จะพยายามไปเรียนให้จบให้ได้ อีกสี่เดือนก็จะหมดเทอม
    แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องขอดร๊อปไว้ก่อน หลังจากนั้นเธอจะไปฮ่องกง
    ไปอยู่กับพี่ฟ้า พี่สาวซึ่งห่างจากเธอเกือบสิบปีที่แต่งงานและอยู่กับสามีที่นั่น

    …มันโหดร้ายเกินไปเมื่อต้องทำลายคนที่เขายังไม่มีโอกาสลืมตามองโลก
    …ฝนบอกเขาอย่างนี้ เธอยังมีอนาคตข้างหน้า มีทางไป…นั่นสินะ!

    ส่วนไอ้คนที่ทำน้องสาวเขาท้อง มันกลับไม่รับผิดชอบอะไรต่อชีวิตหนึ่ง
    และอีกหนึ่งที่จะเกิดมา วันนั้นทั้งเขาและพี่ชายคนรองเลยจัดการมันซะหายแค้น
    เมื่อเข้าไปพูดกับไอ้สารเลวแล้วไม่ได้เรื่อง …เปล่า เขาและพี่ชายไม่ได้ต้องการให้
    ใครต้องมารับผิดชอบ …น้องสาวคนเดียวกับหลานอีกคนทำไมครอบครัวเขาจะเลี้ยงไม่ได้
    เพียงแต่ต้องการคำขอโทษหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยมันก็ยังเป็นมนุษย์อยู่

    ฝนไม่มีน้ำตาสักหยด เมื่อมันเอ่ยปากปฏิเสธ น้องเขาแสดงอาการเข้มแข็ง
    ทั้ง ๆ ที่ภายในเธอบอบช้ำ จะมีเพียงริ้วละอองบางบนตาแดง  ๆ ของเธอเท่านั้น
    เมื่อลากเขาและพี่ชายออกมา

    นี่หรือคือจุดจบของเรื่อง เรื่องที่น้องของเขาตัดสินใจก้าวเดินเข้าไป
    ไม่มีการรับผิดชอบ ไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นอย่างหลายคู่ที่เขาเคยเห็นมา…
    อย่างน้อยก็ยังดี…ที่ฝนไม่คิดเอาเด็กออก
    จะมีชีวิตกี่ชีวิตกันนะที่ได้โอกาสจากคนเป็นแม่อย่างนั้น…



    บัวหอมกับจารวีได้ฟังเรื่องฝนเมื่อเขาเอาเรื่องเรียนไปปรึกษา
    โดนสองสาวต่อว่ายกใหญ่ที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้เล่าให้พวกหล่อนฟัง
    โดยเฉพาะบัวหอมที่โวยวายตามนิสัยของหล่อนแถมชอบอกชอบใจที่เขาและพี่ชาย
    ไปรุมอัดเจ้าหนุ่มนั้นเสียอีก  จารวีแนะนำให้เข้าไปคุยกับอาจารย์ที่สอนดู
    เพราะวิชานี้จารวีเคยเรียนมาก่อน ไม่มีสอบแต่ต้องทำ Thesis และ Present งานเท่านั้น

    ชายหนุ่มมองออกไปยังท้องถนนที่เริ่มจะติดขัด
    เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ พี่เก่งมารับจารวีกลับไปแล้ว

    “ไอ้แดนเหรอ เออ เอ็งเข้ามาหาข้าหน่อยสิ”  

    “จะตอนไหน ก็ตอนนี้สิว่ะ เอ็งขับรถเข้ามาไม่กี่ชั่วโมงหรือจะให้ข้าออกไปหา”

    “เออ เจอกันที่เดิมนะ”  
    เขาวางสาย นึกครึ้มยังไงไม่รู้ที่โทรไปนัดเพื่อนตั้งแต่มัธยมให้มาเจอกัน
    ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพอย่างเขาเลย    


    เอราวุธนอนคว่ำหน้าอยู่เตียงหลังใหญ่ ลืมตาขึ้น…ภายในห้องดูไม่คุ้นเคย
    ปรับสายตาได้เลยพลิกกลับมานอนหงายแทน รู้สึกแปลบ ๆ ที่ไหล่ซ้าย

    …จำได้ล่ะว่า ตอนกลับดูจะเซไปกระแทกอะไรสักอย่าง

    ประตูห้องนอนเปิดออก เพื่อนสนิทโผล่หน้าเข้ามา

    “นึกว่ายังไม่ตื่นซะอีก ไงวะ คอไม่แข็งยังริกินเหล้าซะเมา
    ดีนะที่ห้องข้าอยู่ใกล้ร้าน ตอนกลับมาเอ็งกะข้าเกือบซวยได้นอนเป็นหมาเฝ้าหน้าประตูแล้ว”

    “ทำไมล่ะ”

    “ก็หาการ์ดไม่เจอนะสิ ไม่รู้มันหายหรือลืมไว้ไหน ไม่ได้กลับมานานเลยลืม
    ลองไปเคาะห้องข้าง ๆ อาศัยขอปีนระเบียงข้ามมา กว่าจะเข้าห้องได้นะเอ็งเอ๊ย
    น้องฟูเออ…เพื่อนบ้านข้าน่ะ ถามแล้วถามอีกแถมเข้าใจหาว่าข้าเป็นขโมยอีกต่างหาก”  
    ชนแดนว่ายิ้ม ๆ เล่าถึงวีรกรรมตอนตีสามอย่างสนุก



    คำแรกที่โจ๊กถึงปากทำเอาเอราวุธร้องออกมา  
    “ทำไมมันเย็นชืดอย่างนี้วะ”

    ชนแดนหัวเราะ  “ก็ข้าซื้อไว้ตั้งแต่สิบโมง แล้วไปทำคีย์การ์ดใหม่
    กว่าจะติดต่อ กว่าจะทำเรื่อง กว่าจะพาช่างมา กว่าอะไร ๆ จะเรียบร้อย
    กว่าเอ็งจะตื่นขึ้นมา มันก็ต้องเย็นเป็นธรรมดาว่ะ นี่มันบ่ายสองแล้วนะโว้ย”

    เอราวุธวางช้อนลง  “งั้นลงไปหาอะไรข้างล่างกินเหอะ
    กินไม่ลงว่ะเย็น ๆ อย่างนี้ จะได้เลยกลับบ้านด้วย”

    “แล้วนี่วันไหนเอ็งจะกลับ”

    “พรุ่งนี้เย็น ที่โน่น”  
    ชนแดนหมายถึงโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง  
    “กำลังยุ่ง ออเดอร์เพียบตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว”  
    บอกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาไม่ได้กลับมาที่ห้องเกือบเดือน

    ++++++++++++++++++++++

     

    กลุ่มเด็กชายวัยรุ่นกำลังส่งเสียงโหวกแหวกแย่งบอลลูกกลมอยู่บนสนามหญ้า
    เรียกให้คนที่นั่งอยู่ใต้ต้นจามจุรีมองตามอย่างสนใจ  โดยเฉพาะร่างสูงของคนตัวใหญ่
    ผิวคล้ำ ที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ในสนาม

    “มองอะไรพี่บัว! ตีทำข้อนี้เสร็จแล้วกลับบ้านกันเหอะนะ”  

    เสียงล้อเลียนเรียกหล่อนให้กลับมามองเด็กสาวหน้าตาคมคายตรงหน้า

    “ไหนเอามาให้พี่ดูก่อน ถ้าทำผิดก็ต้องแก้ให้ถูกก่อนกลับนะ”

    สมุดถูกส่งมาตรงหน้า เจ้าตัวบอกอย่างมั่นใจ  “เอาไปเลยพี่ ข้อนี้ไม่ต้องแก้ชัวร์”

    “จ้า พี่รู้ว่าเราเก่ง งั้นก็กลับได้เลย”  
    บัวหอมมองคำตอบของเด็กสาวที่ส่งมาให้ ไม่มีอะไรผิดเลยส่งคืนให้

    บรรพตีตะโกนก้องไปยังสนามที่ยังชุลมุนกันอยู่ ครู่เดียวร่างสูงก็วิ่งเข้ามาหา
    หอบหายใจถี่เพราะความเหนื่อยหลังจากวิ่งอยู่กลางสนามนานพอควร

    “จะกลับแล้วเหรอ”

    “อือ…แต่วันนี้ไม่ได้กลับด้วยนะ รถเราซ่อมเสร็จแล้ว”  
    บัวหอมเอ่ยบอกคนตรงหน้า เล่าอาการของมอเตอร์ไซต์คู่กายคันเก่ง
    ที่เอาไปทิ้งไว้ที่ร้านซ่อมเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาให้ฟัง

    เด็กสาวบรรพตีเดินมาเกาะแขนหล่อนไว้  
    “งั้นวันนี้ตีกลับกับพี่บัวนะ ให้พี่บรรกลับบ้านไปก่อน”

    “ไปได้แล้วพี่ชาย”  แถมยังหันไปไล่พี่ชายของตัวเองอีกต่างหาก

    “อะไรว้า เมื่อเช้าบอกให้มารับ ตอนนี้ไล่เราเฉยเลยยัยตัวแสบ”  
    ชายหนุ่มบ่นแกมขำ ก่อนเดินกลับไปที่รถกะบะสีเหลืองคันเก่าที่จอดเอาไว้อย่างว่าง่าย


    “ทำไมไม่กลับกับพี่เราล่ะตี”  บัวหอมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
    เมื่อพาบรรพตีซ้อนท้ายออกมาจากโรงเรียนแล้ว

    “ก็ตีไม่อยากกลับกับพี่บรรนี่ ตีอยากมีรถมอ’ไซต์ แต่พี่บรรไม่ยอม
    พี่บัวดูดิเพื่อนตีเขามีกันหมดแล้ว พอตีขอทีไรก็บอกเอาไว้ก่อน เอาไว้ก่อน”  
    น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจจากเด็กสาวทำเอาหล่อนอมยิ้ม นึกหน้าที่ชอบขมวดคิ้ว
    ริมฝีปากเชิด ๆ ยามไม่ได้ดังใจออก

    ถามเสียงดังแข่งกับความดังของรถกลับไป  
    “ตีคิดว่ามันเป็นค่านิยมที่ตีต้องทำอะไร มีอะไรตามเพื่อนหรือเปล่า”

    เด็กสาวเงียบไป

    เด็กส่วนใหญ่ในโรงเรียนมันจะมีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง
    เมื่อเพื่อนมีคนที่ไม่มีก็อยากมีบ้าง พ่อแม่บ้างคนทนลูกรบเร้าไม่ไหวก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาซื้อให้ลูก…

    “ตีเพิ่งจะอายุสิบห้า เกิดไปชนใครเขาเข้าจะทำไงใบขับขี่ก็ไม่มี
    จริงอยู่บ้านเราเด็กปอสามก็ขี่รถปร๋อไปมาแล้ว แต่ที่พี่ชายตียังไม่อยากซื้อให้
    เพราะเป็นห่วงตีต่างหาก เห็นมั้ยเด็กบ้านเราตายไปเท่าไหร่แล้วกับอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซต์”

    แขนยาวติดจะเก้งก้างโอบเอวหล่อนไว้ แนบแก้มกับแผ่นหลังบอกเสียงเบา  
    “ก็ตีอยากขี่บ้างนี่ ไม่คิดจะตามใครหรอก ไม่เอามือหนึ่งเอามือสองก็ได้”

    “เอางี้ พี่ให้ตีเป็นคนขับแล้วพี่ซ้อนดีมั้ย ตอนเช้ากับเย็นเรากลับบ้านด้วยกัน
    แถมตีก็ไม่ต้องไปขอที่บ้านให้ซื้อให้ด้วย พอตีโตอีกหน่อยค่อยซื้อดีมั้ย”  เจ้าของรถเสนอ

    ใจนึก เด็กสมัยนี้น่ากลัวจะตาย บิดกันซะไม่เห็นฝุ่น
    แล้วคนที่เกาะหลังหล่อนอยู่ก็คงเฮี้ยวไม่เบา มีหล่อนคอยดู คอยปรามท่าจะดีกว่านะ…

    “ก็ได้จ๊ะ งั้นพี่บัวมารับตีทุกวันเลยนะ”  
    บรรพตีรับคำง่าย ๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างสมใจหมาย


    ++++++++++++++

    ขอติดไว้ตอนเย็น ๆ ค่ำ ๆ จะเอาตอนจบมาให้จริง ๆ ล่ะค่ะ

    กระทู้นี้แหล่ะค้า

    ตอนนี้ขอตัวไปทำงานก่อนนะค้า

    จากคุณ : พิจิกา...ปลายฝนต้นหนาว - [ 6 ต.ค. 46 16:38:29 A:203.170.159.236 X: ]