http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2473137/W2473137.html
ตอนที่แล้ว
=========
ทั้งคู่เดินเรียบริมถนนไปเรื่อย ๆ ทิ้งภาพโกลาหลวุ่นวายไว้เบื้องหลัง เขาพาเธอลัดเลาะไปตามเส้นทางที่พอรู้จัก เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่รถติดเต็มถนนไปหมด ซึ่งเป็นผลระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว กว่าจะถึงป้ายรถประจำทางที่การจราจรเริ่มใช้การได้ ก็เล่นเอาเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าไปตาม ๆ กัน
ฝนเริ่มลงเม็ดพรำ ๆ แล้วหนักขึ้นเรื่อย ๆ ป้ายรถประจำทางที่ปราศจากหลังคา และที่พักผู้โดยสารทำให้กริ่งหยิบร่มพับจากกระเป๋าสะพายขึ้นมากาง แต่ก็ไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้เขายืนตากฝนอยู่ลำพังได้ เหมือนว่าเธอไม่เคยรู้จักเขาเลย ทั้ง ๆ ที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอไว้เมื่อครู่นี้
"ฝนตกแล้ว" เธอก้าวเข้าไปหาเขา พลางยื่นร่มกันฝนให้
ไซหันมามองเพื่อนสาว
"ผมถือให้นะ" พลางเอื้อมมือมาจับที่คันร่ม กริ่งจึงปล่อยมือจากคันร่มนั้น
"นายว่า เราจะไปเรียนทันมั้ย" เธอมองหน้าปัดนาฬิกา แล้วเงยหน้ามองเขา
"น่าจะทันเนอะ ดีนะที่วันนี้เราออกมาเร็วกว่าเดิม แล้วมีเรียนสองคาบสุดท้ายพอดี" เธอพยายามชวนเขาพูดคุย โดยถามเองตอบเองเสร็จสรรพ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะความนิ่งเงียบ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
รออยู่นานราว ๑๕ นาที รถเมล์คันที่จะพาเธอและเขาไปยังสถานศึกษาก็เลี้ยวออกมาจาก
ทางเบี่ยง ตรงมายังป้ายที่ทั้งสองยืนรออยู่
ฝนเริ่มซาลง กริ่งจึงหุบร่ม แล้วสืบเท้าออกไปรอริมฟุตบาท
"อ้าว...นายไม่ไปเรียนเหรอ" เธอเห็นเขายืนขรึมอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัว
"ไปเถอะ ผมไม่ไป วันนี้ผมไม่มีอารมณ์จะเรียน" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ
"ทำไมล่ะ" กริ่งเดินกลับมา
"รถมาแล้ว รีบไปเถอะ" เขาตัดบท
เธอหันไปมองรถเมล์ที่เข้ามาจอด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันมาชวนเขา
"ไปด้วยกันสิ"
"ไม่ล่ะ เธอไปเถอะ" เขายังยืนกรานคำเดิม
ช่วงที่กริ่งหันมาชวนเขา พอหันกลับไปอีกครั้ง รถเมล์คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกจากป้ายไป
"ขอโทษนะ"
กริ่งยิ้มพลางไหวไหล่
"ช่างเหอะ ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายน่ะ ขาดเรียนจนจะไม่มีสิทธิ์สอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ทำไมไม่ไปเรียนล่ะ" เธอเดินกลับมายืนอยู่ข้างเพื่อนหนุ่ม
"เธอรู้ได้ยังไง" ไซหันมามองหน้าเธออย่างสงสัย คิ้วที่ขมวดกันยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ยิ่งย่นมากกว่าเดิม
"เพื่อนฉันเขาอยู่ห้องเดียวกับนายเขาเล่าให้ฟัง"
คิ้วย่น ๆ ของเขาเริ่มคลายตัวเมื่อได้รับคำตอบ
กริ่งมองสีหน้าเขาที่กลับไปเรียบเฉยอย่างเดิม เหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจ
"นายกลุ้มใจเรื่องอะไร"
"ช่างเถอะ อย่าสนใจเลย" เขาถอนหายใจยาว
"ถ้าฉันอยากจะบอกอะไรนาย นายจะเชื่อฉันมั้ย"
เขาได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบ
แม้จะเดาออกว่าสุดท้าย เขาคงไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่เธออยากพูดให้เขาฟัง
"นายจะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของนาย แต่อยากจะบอกนายในฐานะเพื่อนนายคนหนึ่ง ไม่ว่านายจะมีเรื่องอะไรกับใคร เรื่องอะไรก็ช่าง อย่ามัวเอาเรื่องนั้นมากลุ้มอยู่เลยนะ หน้าที่ของนายตอนนี้คือ เรียน เรียนให้จบ เหลืออีกเทอมเดียวเท่านั้น นายก็จะจบแล้ว ถึงกลุ้มไปก็ไม่มีประโยชน์
เธอมองหน้าเฉยชาของเขาตลอดเวลา สายตาเขาจับอยู่บนถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปมาเหมือนไม่สนใจคำพูดของเธอเลย
อดทนหน่อยสิ อย่าให้เวลาที่ผ่านมาสองปีเปล่าประโยชน์ ไปเรียนเถอะ อีกแค่ไม่กี่เดือนนายก็จะจบแล้ว อดทนอีกนิดเดียวเอง ว่าไงล่ะ" กริ่งรู้สึกเสียดายอนาคตของเขา จนอดที่จะพูดเตือนอย่างห่วงใยไม่ได้ เธอได้ยินเรื่องราวของเขา ที่เพื่อนมักจะมาบ่นด้วยความเป็นห่วงให้ฟังอยู่เสมอ แต่เขาก็ยังยืนทื่อบื้อราวกับรูปปั้น เฉยเมยไม่ยินดียินร้าย ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาคู่นั้นหม่นเศร้า
และแล้วรถเมล์อีกคันก็แล่นตรงมา กริ่งหันไปมองรถเมล์คันนั้น
"แล้วแต่นายละกัน ชีวิตเป็นของนายนี่นะ" เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
"คิดดูให้ดีละกัน อนาคตอยู่ในกำมือนายแล้ว นายจะทิ้งเวลา ๒ ปีที่ผ่านมาให้ผ่านไปฟรี ๆ โดยไม่แคร์ก็ตามใจ ถ้านายอดทนอีกนิดหนึ่ง อย่างน้อย ๆ นายก็มีวุฒิที่จะใช้สมัครงานหรือเรียนต่อได้อย่าเอาแต่อารมณ์ชั่ววูบ ไม่งั้นนายจะไม่ได้อะไรเลย เวลาผ่านไปแล้วก็ผ่านเลยนะ ฉันไปล่ะ"
เธอโบกรถเมล์ ทันทีที่รถเมล์จอดก็ก้าวเท้าขึ้นอย่างไม่รอช้า รถออกจะแน่นมากจนเธอต้องยืน
อยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย แต่มันยังว่างพอหากเขาจะก้าวขึ้นตามไปด้วย
ไซยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองรถเมล์คันนั้นแล่นผ่านไป ในหัวสมองของเขารู้สึกสับสนวุ่นวาย เขาคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรดี เรื่องราวต่าง ๆ มันมะรุมมะตุ้มเต็มหัวไปหมด เขารู้สึกหมดแรง หมดกำลังที่จะทำอะไรต่อไป
รถเมล์คันนั้นแล่นไปติดไฟแดงอยู่ไม่ไกลนัก
เสียงของเธอยังดังก้องกังวาลอยู่ในหัว สะท้อนกลับไปกลับมา ครั้งแล้วครั้งเล่า คำพูดทิ้งท้ายของเธอ ทำให้เขาต้องคิดทบทวนการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตใหม่ เขาก้มลงมองเวลาที่ข้อมือ แล้วปราดมองไปที่รถเมล์คันนั้น หากเขาพลาดรถเมล์คันนี้ เขาจะไปไม่ทันวิชาแรกของคาบบ่าย และหากเขาจำไม่ผิดเขาหมดสิทธิ์ที่จะขาดวิชานี้เสียแล้ว
ทันทีที่หัวสมองของเขาคิดได้ ไซรีบกวดฝีเท้าไปที่รถเมล์คันนั้นทันที
"รอผมด้วย..!!!!."
วิ่งไปพลางมองสัญญาณไฟจราจรที่ยังคงเป็นสีแดงอยู่
อย่าเพิ่งเปลี่ยนสีนะ อย่าเพิ่งเปลี่ยน
อย่าเพิ่งเปลี่ยน
อย่า
. เขาได้ภาวนาอยู่ในใจตลอดเวลา ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง
วิ่ง
.วิ่ง
..วิ่งอย่างเดียว วิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และแล้ว
.สัญญาณไฟจราจรสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง...
"อีกนิดเดียว
."
เขาฮึดวิ่งต่อไป แม้จะรู้สึกเหนื่อยหอบแทบขาดใจ มองระยะทางที่เหลืออีกเพียง ๕ เมตรเท่านั้น
สัญญาณไฟจากสีเหลืองเปลี่ยนเป็นสีเขียวในที่สุด รถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าของรถเมล์คันนั้นเริ่มทยอยกันออกตัววิ่งไป จนมาถึงรถคันหน้าสุดของรถเมล์คันนั้นเริ่มเคลื่อนตัวเช่นกัน แล้วรถเมล์คันนั้นก็เริ่มเคลื่อนตัวตามไป
ไซใจหายวาบ มองรถเมล์คันนั้นกำลังเคลื่อนตัวออกไป แต่ไม่ละความพยามยาม
เขาเอื้อมมือคว้าขอบประตูรถเมล์เอาไว้ แล้วเหวี่ยงตัวกระโดดขึ้นรถเมล์ได้ทันก่อนที่รถจะเพิ่มความเร็ว
กริ่งหันขวับมามองเขาอย่างงง ๆ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างดีใจที่เห็นเพื่อนตัดสินใจเลือกทางเดินที่ถูกต้อง เขาหายใจหอบแรง ๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย มองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาหม่นเศร้าเมื่อครู่จางหายไป สีหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม
นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป เขาจะได้เริ่มทำความรู้จักกับเธอเหมือนที่เคยอยากรู้จักเธอมานาน
แล้วรถเมล์คันนั้นก็พาเขาทยานสู่เส้นทางที่เขาได้ตัดสินใจเลือกเองแล้ว
ริเศรษฐ์
๑๔ ก.ค. ๓๙
ปรับปรุงใหม่ ๖ ต.ค. ๔๖
===========
สวัสดีค่ะทุกคน หวังว่าคงสบายดีนะคะ ช่วงนี้มันยุ่ง ๆ ยังไงไม่รู้ แฮ่...
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ
ฝากบอกข่าวค่ะ สันติอโศกจะจัดการอบรมเยาวชน อายุ 15-25 ปี ในวันที่ 20-25 ต.ค. 2546 นี้ใบสมัครมีจำกัด ต้องมาสมัครด้วยตนเองนะคะ โทร. 023745230
จบข่าว!
แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 46 16:41:55
จากคุณ :
ริเศรษฐ์
- [
6 ต.ค. 46 16:38:46
]