...หนุ่มน้ำพริกเผา VS สาวมายองเนส...(ตอนที่ ๓)

    …๓…

    ชิสาทำการออกแบบเรือนหอให้ภูริพัตและเอมิกาโดยอาศัยข้อมูลความต้องการของทั้งคู่ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ของหล่อน ทั้งภูริพัตและเอมิกาพอใจมาก การทำงานของหล่อนดูท่าว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าอัตติพัทธ์ไม่อยู่ด้วยขณะที่หล่อนนำเสนองานต่อลูกค้าพิเศษรายนี้
    “นี่เป็นแบบคร่าว ๆ นะคะ ตรงไหนที่ไม่ถูกใจก็บอกได้ค่ะ วุ่นจะกลับไปแก้ไขให้”
    อัตติพัทธ์หยิบแบบแผ่นหนึ่งขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อยู่ประมาณสองสามนาที
    “ทำไมตรงนี้ถึงไม่มีคานล่ะ คุณลืมใส่รึเปล่า”
    “ไม่ได้ลืม แต่ฉันตั้งใจไม่ใส่”
    “ไม่มีคานมันก็ไม่แข็งแรงน่ะสิ เกิดมันพังขึ้นมาจะว่าไง”
    “ฉันคำนวณแล้ว ไม่พังหรอก”
    “ผมว่าพัง”
    “ไม่พัง!”
    “พัง!”
    ภูริพัตและเอมิกามองหน้ากันอย่างขำ ๆ และเป็นภูริพัตที่ทำหน้าที่ระงับสงครามย่อย ๆ ตรงหน้า
    “เอาล่ะ ๆ เจ้าอัฐ วุ่นเค้าว่าคำนวณแล้วก็เชื่อเค้าเถอะนะ”
    อัตติพัทธ์ทำหน้านิ่วอย่างขัดใจแต่ก็ยอมเงียบตามที่ภูริพัตบอก  ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าไม่มีคานตรงนั้น เขาก็แค่อยากจะปะทะฝีปากกับแม่สาวปากกล้าคนนี้แค่พอแสบ ๆ คัน ๆ เท่านั้นเอง แล้วเขาก็เริ่มอีกหลังจากเงียบได้ไม่ถึงห้านาที
    “แล้วตรงนี้ ทำไมคุณต้องทำให้มันยื่นออกมาอย่างงี้ด้วย เสียพื้นที่เปล่า ๆ แถมเปลืองวัสดุอีกด้วย”
    “นี่คุณ… ฉันเป็นสถาปนิก มีหน้าที่ออกแบบ ฉันก็ออกแบบตามความสวยงามทางสถาปัตย์ คุณเป็นวิศวกรหน้าที่ของคุณคือคำนวณความเป็นไปได้และควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบที่สถาปนิกออกแบบไว้ ซึ่งตอนนี้มันยังไม่ใช่หน้าที่ของคุณ เอาไว้ถึงตอนนั้นคุณทำหน้าที่ของคุณให้ดีเถอะ”
    หล่อนใส่เขาไม่ยั้ง ด้วยอารมณ์กรุ่น ๆ
    “ผมก็พูดตามที่ผมเห็น ตามหลักวิศวกรรม ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ก็คุณออกแบบมาสิ้นเปลืองนี่ ผมก็แค่เสนอความคิดเห็น”
    เขาตอบด้วยท่าทางกวน ๆ แถมยักไหล่ตบท้าย ชิสามองด้วยความหมั่นไส้สุดขีด แต่ก็ยังดีที่ความพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ของหล่อนยังใช้ได้ผล
    “ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณนะคะ แต่ฉันจะแก้ไขแบบก็ต่อเมื่อเป็นความต้องการของพี่ภูกับพี่เอมเท่านั้น”
    หล่อนตอบน้ำเสียงจริงจังและจ้องหน้าเขาเขม็ง อัตติพัทธ์ชักรู้สึกสนุก
    “นี่ แล้วตรงนี้ทำเป็นช่องสามเหลี่ยมด้วย คุณจะใช้พื้นที่ตรงนี้ทำอะไรได้เนี่ย เสียพื้นที่ไปเปล่า ๆ “
    “วางกระถางต้นไม้ก็ได้”
    ชายหนุ่มที่ยืนฟังหัวเราะในลำคอ
    “สถาปนิกนี่มักจะชอบปกปิดความผิดพลาดของตัวเองด้วยต้นไม้เนอะ”
    เพียงเท่านั้นแหละ อารมณ์ของชิสาก็พุ่งจี๊ดเกินพิกัดความอดทน หล่อนลุกพรวดขึ้นมา จนภูริพัตและเอมิกาตกใจ รวมทั้งชายหนุ่มที่เพิ่งพูดจบก็อยู่ในอาการเดียวกัน
    “นี่คุณ! ถ้าคุณพูดจาอย่างงี้ ฉันว่าคุณเก็บปากไว้กินน้ำพริกเผาจะดีกว่านะ”
    “อุ้ย! คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบน้ำพริกเผา”
    ยัง…ยังไม่สลด ชิสาปากสั่น กำหมัดแน่น แก้มและจมูกของหล่อนเริ่มมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ วิญญาณสาวนักบู๊เริ่มกรายเข้ามาใกล้ พร้อมที่จะเข้าสิงร่างบางที่ยืนประจัญหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งได้ทุกเวลา เอมิกาเห็นท่าไม่ดี จึงรีบสงบศึก
    “เอาล่ะ ๆ วุ่นจ๊ะ… พี่ว่าวันนี้วุ่นกลับก่อนดีมั้ย แบบนี่พี่กับพี่ภูโอเคหมดเลยจ้ะ เอาไว้ค่อยเอารายละเอียดมาคุยกันอีกทีแล้วกันนะจ๊ะ”
    “ดีเหมือนกันค่ะ ถ้าวุ่นอยู่ต่อ คงต้องมีคนบาดเจ็บแน่ ๆ “
    ชิสาขบกรามพูดโดยที่ไม่ละสายตาจากชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มือก็เก็บแบบอย่างลวก ๆ แล้วหอบออกไปจากร้าน เอมิกามองตามแล้วหันกลับมาถลึงตาใส่ญาติผู้น้องของหล่อน
    “เรานี่ก็จริง ๆ เลย ไปยั่วเค้าทำไมน่ะ”
    ชายหนุ่มหัวเราะร่วน
    “เห็นมั้ยล่ะพี่เอม อย่างงี้นะแค่ชิสุคงไม่พอ ผมว่าระดับร็อตไวเลอร์เลยล่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
    ว่าแล้วก็เดินหัวเราะอารมณ์ดีออกจากร้านไป ภูริพัตมองตามแล้วหันมามองหน้าคู่หมั้นอย่างงง ๆ
    “คุณบอกผมว่าเจ้าอัฐมันเพิ่งโดนแฟนทิ้งไม่ใช่เหรอ…”
    “ค่ะ”
    เอมิกาตอบคู่หมั้นหนุ่มอย่างงง ๆ เช่นกัน
    “ผมว่า…ท่าทางมันไม่เหมือนคนอกหักเลยนะ ว่ามั้ย?”
    เอมิกามองตามร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเดินอารมร์ดีออกจากร้านไปอย่างใช้ความคิด จริงอย่างที่ภูริพัตว่า ตั้งแต่วันที่อัตติพัทธ์บอกกับหล่อนว่า ภารวีแฟนสาวของเขาบอกเลิก แค่วันนั้นวันเดียวที่หล่อนเห็นน้องชายซึมเศร้า แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่เหลือร่องรอยของคนที่เพิ่งโดนหักอกหลงเหลืออยู่เลย กลับร่าเริงเป็นปกติ แถมบางครั้งยังมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ อย่างเช่นตอนนี้…

    ชิสาเดินหน้าตูมกระแทกประตูออฟฟิศเข้ามา จ้ำพรวด ๆ ไปที่โต๊ะของตัวเอง ทิ้งแบบโครมลงกับโต๊ะ แล้วก็กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ นั่งมองแบบตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น ทุกคนในออฟฟิศเงยหน้าจากโต๊ะเขียนแบบเหลียวมองตามหล่อนเป็นตาเดียว แล้วก็หันมาสบตากัน ต่างพยักเพยิดให้ธนัทเป็นหน่วยกล้าตาย
    “ไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ ไอ้วุ่น”
    ชิสาไม่ตอบ แต่ตวัดสายตาที่ธนัทรู้สึกว่าจะมีสีเขียว ๆ มาให้ ทำให้เขาไม่อยากตอแย หันกลับมาสนใจแบบที่เขียนค้างอยู่ตามเดิม
    “เฮ้ย! ใครมาพังออฟฟิศฉันวะ”
    น้าเข้มโผล่หน้าออกมาจากห้อง รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือของ’ไอ้วุ่น’ของเขาแน่ ๆ
    ชิสาลุกพรวดเดินตรงไปหา แล้วลากน้าเข้มเข้าไปในห้อง ธนัทและทุก ๆ คนรีบลุกตามมาแนบหูเข้ากับผนัง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
    “น้าเข้ม วุ่นขอถอนตัวจากโปรเจคนี้ได้มั้ยคะ วุ่นไม่อยากทำแล้ว”
    “เฮ้ย นี่แกจะมางี่เง่าอะไรวะเนี่ย ไหน…มีอะไร ลองอธิบายให้ฉันฟังก่อนซิ”
    “วุ่นไม่อยากทำงานกับนายวิศวกรปากหม…เอ่อ…ปากจัดนั่นแล้วนะ”
    “ทำไมล่ะ ไหนแกลองเล่าให้มันละเอียด ๆ หน่อยซิ”
    เรื่องราวทั้งหมดพรั่งพรูออกจากปากหญิงสาวที่เล่าไปก็ข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไป น้าเข้มฟังไปก็ขำไป พอหล่อนเล่าจบ น้าเข้มก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้น
    “ถ้าแกถอนตัว ก็แปลว่าแกยอมแพ้เค้าน่ะสิ”
    หล่อนนิ่งไม่ตอบอะไร จริงด้วยสิ ถ้าหล่อนถอยก็เท่ากับหล่อนยอมแพ้ ตั้งแต่เกิดมาหล่อนไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หล่อนไม่เคยแคร์คนอื่นที่มาทักท้วงว่าหล่อนทำผิด ก็มั่นใจซะอย่าง และหล่อนก็พิสูจน์ให้เห็นได้ว่าหล่อนก็’มีน้ำยา’ แล้วอีตาวิศวกรคนนี้เป็นใครถึงมาทำให้หล่อนเสียความมั่นใจได้ขนาดนี้… เรื่องอะไรหล่อนต้องยอมเขา
    “ก็ได้ค่ะน้าเข้ม วุ่นทำต่อก็ได้”
    หล่อนเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ น้าเข้มยิ้มที่มุมปากแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่ากลับไปทำงานต่อได้แล้ว
    ชิสาเดินออกมาจากห้อง ธนัทและพวกที่แอบฟังอยู่โดดผลุง แกล้งทำเป็นยืนคุยกัน หล่อนมองอย่างรู้ทัน ทั้งหมดจึงสลายตัวแยกย้ายกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เว้นแต่ธนัทที่เดินตามชิสามาที่โต๊ะ แล้วกระซิบกระซาบ
    “ไอ้วุ่น ทำไมแกไม่ต่อยหน้ามันไปซักทีวะ มาพูดอย่างงี้ได้ยังไง”
    “ก็อยากทำเหมือนกันล่ะพี่นัท พี่เอมสิเข้ามาห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นได้ต่อยแน่ ๆ “
    “แหม…พี่ชักอยากจะเห็นหน้าไอ้หมอนี่แล้วสิ ท่าทางคงจะไม่ใช่เล่น ๆ ทำเอาแกคิดจะถอนตัวได้เนี่ย ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
    ชิสาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มรุ่นพี่ แล้วเรียกเสียงเย็นเฉียบทำเอาธนัทหุบปากแทบไม่ทัน
    “พี่นัท… นี่กำลังชื่นชมเค้าอยู่ใช่มั้ยเนี่ย เดี๋ยวเถอะ”
    ธนัทยักไหล่ แล้วเดินหัวเราะกลับไปที่โต๊ะตัวเอง ทำให้ชิสาจุปากอย่างขัดใจและพาลหงุดหงิดหัวเสียไปตลอดทั้งบ่าย…

    จากคุณ : มดตะนอย - [ 9 ต.ค. 46 14:21:51 A:202.183.180.136 X:192.168.1.4 ]