ฉันถอยหลังช้า ๆ หลังสัมผัสผนังลิฟต์อันเย็นเยือก
เหลือบมองคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา เขาเป็นชายหนุ่มอายุราว ๆ 25-26 ปี
สูงประมาณ 170 กว่า ๆ ผิวขาว ตาดำใหญ่ชั้นเดียว ปลายจมูกโด่ง
ริมฝีปากได้รูปคล้ายแย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา ปลายผมตรงท้ายทอยออกหยักศกนิด ๆ
เสียงร่ำร้องตะโกนโหวกเหวกดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมา
เหมือนแผ่นเสียงตกร่องดังอื้ออึงอยู่ในใจของฉัน มือไม้ที่ทิ้งข้างลำตัวดูเกะกะอย่างไรไม่รู้
จนต้องยกมือขึ้นกอดอกไว้หลวม ๆ รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังตุบ ตุบ
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จะมีใครได้ยินเสียงใจฉันเต้นรัวบ้างไหม
ภายในห้องสีเหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้ามีกระดานดำไร้ร่องรอยการขีดเขียน
มีเพียงคราบสีขาวของชอก์คที่ตกค้าง ทำให้มันไม่ดำสนิทเท่าใดนัก
เสียงหัวเราะพูดคุยดังออกมานอกห้อง
ฉันและเอ๋เพื่อนสนิทในกลุ่มโผล่หน้ามองเข้าไปในห้อง
คนหลายคนหันมามองพวกฉันแต่แล้วก็หันไปพูดคุยกันต่ออย่างไม่สนใจ
พี่ตู่
พวกเราเรียกชื่อชายหนุ่มที่ยืนพิงหน้าต่างไม้บานกว้าง ใบหน้าเอียงน้อย ๆ
เผยให้เห็นสันจมูกสวยหันมองมอง รวมถึงชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
พี่ตู่ยิ้มรับเดินเข้ามาหาพวกฉัน
ไปไหนกันมา
เขาทักเสียงแจ่มใส มองพวกฉันถือถุง SARIO ที่ใส่สมุด หนังสือ เครื่องเขียนและอีกจิปาถะ
เปล่าค่ะ แค่แวะมาหาเฉย ๆ เอ๋ตอบสีหน้าเขินอาย
ฉันมองอาการเพื่อน อมยิ้มอย่างมีความสุขอดค่อนในใจว่า
อะไรว่ะ คบกันมาจะสามเดือนอยู่แล้ว ยังเขินกันอีก
ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากอาการของรุ่นพี่มากนัก เพราะรายนั้นหน้าก็แดงพอ ๆ กัน
พุธกับเอ๋จะไปกินข้าว พี่ตู่ไปด้วยกันมั้ย
ฉันถามออกไป ทำลายความเงียบเมื่อทั้งรุ่นพี่และเพื่อนฉันยืนยิ้มให้กันอยู่อย่างน่าอิจฉา
(ฉันเหมือนเป็นนางร้ายในละครที่คอยขัดจังหวะพระนางยังไงยังงั้นเลย)
พี่ตู่พยักหน้ารับ เดินกลับไปหาเพื่อนที่นั่งมองพวกเราอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง
พูดอะไรด้วยสามสี่คำ เขาส่ายหน้า พี่ตู่เลยเดินออกมาสมทบกับพวกฉันที่มานั่งรอยังระเบียบหน้าห้อง
ฉันหันไปมองเพื่อนพี่ตู่อีกครั้ง สบตาดำใหญ่ชั้นเดียว
เดินตามเอ๋และพี่ตู่ไปยังโรงอาหารที่อยู่ใต้ตึก 8 ชั้น
นึกติดใจท่าทางของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากวันนั้น ฉันก็ได้รู้จักชายหนุ่มข้างหน้าต่างมากขึ้น
โดยผ่านพี่ตู่ซึ่งอยู่ห้องเดียวกันและเพื่อนของฉันเองที่พยายามสืบเสาะข้อมูลมาให้ตั้งแต่วันเกิด
ที่อยู่ เบอร์โทรอะไรอีกสารพัดที่พวกหล่อนหามาได้
พี่กร เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยคุย ออกจะเป็นเด็กเรียนด้วยซ้ำ
ต่างกับพี่ตู่แฟนเพื่อนฉันที่ออกจะร่าเริง คุยเก่ง และยังหาเรื่องตลก ๆ
มาเล่าให้น้อง ๆ ในกลุ่มพวกฉันไม่รู้จบรู้เบื่อ
เรา หมายถึง ฉันกับพี่กร ไม่เคยคุยกันเลย ด้วยเขาเป็นคนเงียบ ๆ
คุยไม่เก่งอยู่แล้ว ถึงจะเป็นเพื่อนพี่ตู่แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันนัก แต่ฉันก็พอใจที่ได้มองเขาอยู่อย่างนั้น
น่าแปลกที่ฉันสามารถเห็นพี่กร รู้ว่าเป็นเขา ไม่ว่าเขาจะเดินห่างไกลฉันแค่ไหน
ฉันก็บอกและแน่ใจได้ว่า คนที่เดินลิบ ๆ อยู่นั่นคือ พี่กร คนที่ฉันรู้สึกดี ๆ ด้วย
ฉันเข้าใจความรู้สึกของเอ๋ ของใครต่อใครแล้วล่ะ
จะไปไหน เอ๋หันมาถามฉันเมื่อฉันเดินเลี้ยวซ้ายแทนที่จะเลี้ยวขวา
ขึ้นบันไดไปยังห้อง LAB คอมพิวเตอร์ที่อยู่บนชั้น 4 ของตัวอาคาร
ฉันชี้ไปที่ร้านค้าที่ขายขนม ลูกอม ของขบเคี้ยวประเภทต่าง ๆ
ขึ้นไปจองที่ก่อนเหอะ เอาที่เดิมนะ
เอ๋พยักหน้ารับเดินตัวปลิวตามเพื่อนคนอื่นในห้องไปติด ๆ
ฉันหดมือกลับเมื่อมีมืออีกมือคว้าถุงลูกอมโกปิโก้ถุงเดียวกับฉัน
ฉันหันไปมอง ใจกระตุกวูบ พอได้สติเลยยิ้มให้ พี่กรยิ้มตอบ
ฉันเลยหยิบลูกอมถุงใหม่พร้อมของอย่างอื่นที่อยู่ในมือยื่นไปให้แม่ค้าผมขาวเจ้าของร้าน
รีบจ่ายเงินและผละเดินจากมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงใบหน้าของตัวเองที่ผ่าวร้อน
ทั้งที่ไม่ได้ออกไปตากแดดจ้านอกตึกนั้นเลย
เป็นความโง่ งี่เง่าของตัวเองรึเปล่าที่ไม่ยอมทักทายอะไรกับพี่กรเลย
เวลาล่วงไปจนปลายเทอมสุดท้าย เดือนกุมภาพันธ์
ฉันนั่งพับดาวใส่ขวดแก้วทรงยาวหลากสี พับอย่างตั้งอกตั้งใจแข่งกับเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่
บางคนพับนกกระเรียน พับหัวใจบ้างตามความถนัดของแต่ละคน
ฉันพับดาว ตั้งใจจะเอาไปให้พี่กร เป็นที่ระลึกสำหรับเทอมสุดท้ายของปีซึ่งไม่มีใครรู้ว่า
เขาจะเรียนต่อที่เดิมหรือเปล่า รวมไปถึงของสำหรับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ด้วย
ฉันเขียนการ์ดใบเล็ก ๆ สีฟ้าใส บอกความในใจไปนิดหน่อย
ประมาณประทับอกประทับใจในตัวพี่เขา ใส่ถุงใบสวย
เมื่อถึงวันที่ 14 ฉันกลับไม่กล้าเอาไปให้เขา
หอบไว้ตั้งแต่บ่ายจนคาบสุดท้ายก็ยังไม่กล้าแวะเอาไปให้
เอ๋ ฉันวานอะไรหน่อยดิ
ฉันพูดเสียงเบากับเพื่อนทั้งที่ตรงที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่สักคน
อะไร
ฝากนี่ไปให้พี่กรหน่อย ฉันยื่นถุงใบสวยที่มีโหลดาวสีสวยพร้อมการ์ดอยู่ข้างในให้
อ้าว! ทำไมไม่เอาไปให้เองล่ะ อุตส่าห์ทำมาแล้ว
ไม่กล้า ฉันตอบเสียงเบา
ไม่เอาหรอก เอาไปให้เองสิ เพื่อนฉันปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ยอมเอื้อมมือมารับถุงในมือฉัน
ฉันมองหน้าเพื่อนอย่างขอร้องแกมวิงวอน น่าช่วยทีนะ
เพื่อนฉันยังยืนเฉย จนฉันต้องงัดไม้ตายขึ้นมาใช้ ถ้าแกไม่ช่วย ฉันก็ไม่ให้ล่ะ
เฮ้ย! เสียงร้องแกมอุทานดังมาจากเพื่อนฉัน พร้อมดึงถุงในมือฉันไปด้วย
เอามานี่ ฉันเอาไปให้เองก็ได้ แล้วไม่ไปด้วยกันเหรอ
ฉันส่ายหน้า จะไปรอที่ห้องนะ ตามไปล่ะ
ว่าแล้วฉันก็เดินหันกลับไปยังห้องเรียนปล่อยให้เอ๋เดินไปยังอีกฝั่งของตัวตึกที่นักกับพี่ตู่เอาไว้
ฉันยืนรอรถด้วยความกระวนกระวาย ไม่ใช่เพราะรถขาดระยะไม่ยอมโผล่มาซักคัน
หรือต้องยืนรอรถคนเดียวเมื่อเพื่อนในกลุ่มต่างแยกย้ายขึ้นรถสายของตัวเองไปหมดแล้ว
แต่เป็นเพราะของชิ้นสำคัญที่ฝากไปให้พี่กรต่างหาก เอ๋กลับมาไม่พูดอะไรสักคำ บอกเพียงว่า
ให้พี่เขาไปแล้วนะ
แล้วเพื่อนฉันก็ไม่พูดอะไรอีกจนหมดคาบสุดท้าย
ทำไมยืนคนเดียวล่ะ
เสียงทักทำเอาฉันสะดุ้ง หันขวับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนยิ้มอยู่คนเดียว
ฉันยิ้มตอบ ก้มหน้าหลบสายตาของพี่กรที่มองฉันอยู่
เอ้านี่! ยื่นมือมาสิ เสียงเขาเหมือนกระซิบข้างหูฉัน แต่ความจริงเขายืนห่างฉันออก
ฉันยื่นมือออกไปอย่างงงงวยปนสงสัย พี่กรวางลูกอมโกปิโก้สามเม็ดไว้ในมือฉัน
ฉันมองมันเงยหน้าสบตารุ่นพี่ ยิ้มอย่างมีความสุข เอ่ยขอบคุณเขาเบา ๆ
มือชื้นเหงี่อของฉันกำลูกอมสามเม็ดไว้ หลังไหล่กว้างเดินจากไปช้าๆ ลับหายไปในความมืด
จากความรู้สึกดี ๆ เพิ่มความประทับใจเข้าไป ทำให้ฉันเนื้อตัวเบาหวิวราวลอยอยู่บนอากาศ
หอมอวลไปด้วยมวลดอกไม้สีต่าง ๆ แดดอ่อน ๆ ยามสายสีสวย
เมื่อวานเราเห็นพี่กรเดินไปส่งใครไม่รู้ตรงสะพานลอย
เพื่อนกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเมื่อพวกเรานั่งรอเวลาเข้าเรียนของรอบบ่าย
ถุงลูกชิ้นปิ้ง ผลไม้ น้ำแดง น้ำอัดลมวางเกลื่อนเต็มโต๊ะหินอ่อนหลังอาคารเรียน
ฉันชะงักมือที่กำลังจะหยิบมะม่วงรสอมเปรี้ยว เพื่อนในกลุ่มหันมามองฉันเป็นตาเดียว
แต่ฉันทำเฉย หยิบมะม่วงชิ้นที่ต้องการขึ้นมาจิ้มกะปิหวานกินทำเหมือนอร่อย ทั้งที่ไม่รู้รสอะไรแล้ว
เขาชื่อ ก้อย อยู่ห้อง 18 พี่กรชอบเขามั้งเห็นไปส่งกันหลายครั้งแล้วนี่
ฉันให้คำตอบแก่เพื่อน
ก้อยที่บิวมันชอบนะเหรอ
เออ นั่นล่ะ
อ่านหนังสือกันถึงไหนแล้ว วันเสาร์นี้ไปบ้านอุ๊กันมั้ยติวหนังสือกัน
อาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว ยังอ่านไม่ทันเลย
ฉันเปลี่ยนเรื่องพูด ทุกคนเลยหันมาสนใจเรื่องสอบปลายภาคที่จะถึงแทน
อุ๊มองหน้าฉัน ยิ้มนิด ๆ อย่างให้กำลังใจ น้ำตาฉันที่แห้งเหือดตั้งแต่วันที่ฉันและอุ๊
เห็นคนที่ฉันรู้สึกดี ๆ รู้สึกประทับใจเดินไปส่งหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่คนล่ะห้องกับฉัน
เดินไปด้วยกัน กับคลอขึ้นมาใหม่แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉันกระพริบตา ตะกอนที่ถูกกวนขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจยังลอยคว้าง
ประตูลิฟต์เปิดออกผู้คนต่างทยอยกันออกไป ฉันมองผู้ชายข้างตัว ไม่แน่ใจว่า เขา
จะเป็นคนเดียวกับคนที่ฉันรู้สึกดี ๆ ในครั้งก่อนหรือไม่ เพราะหลังจากสอบเสร็จ
เปิดเทอมใหม่ฉันก็ไม่เจอเขาแล้ว พี่ตู่ที่สอบต่อ ปวส.ได้บอกฉันว่า เขาสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ถ้าใช่ เขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นต่างไปจากสมัยเมื่อห้าหกปีที่แล้ว
แน่ละไม่เพียงแต่เขาคนเดียวที่เปลี่ยนไป ฉันเองยังเปลี่ยนไปด้วย
จากเด็กสิบหกสิบเจ็ดผมสั้นทรงนักเรียนกลายมาเป็นหญิงอายุยี่สิบสามปีแต่ดูแก่กว่าวัยอย่างนี้
เขาหันมามอง ให้ฉันเดินออกมาก่อน ฉันมองยิ้มให้นิดนึงตามมารยาท
ไม่มีแววตาที่จำฉันได้
ฉันเดินออกมายิ้มกับตัวเอง เมื่อกี้เขามาจากชั้น 9
ฉันเหลือบมองชื่อบริษัทด้านข้างลิฟต์ จำและจดเอาไว้ใจความทรงจำ
หลังจากทานข้าวเสร็จฉันจะโทรไป 1133
++++++++++++
เอาเรื่องใหม่มาให้อ่านกันค่ะ
แว๊บมาได้แป๊บเดียว
จากคุณ :
พิจิกา...ปลายฝนต้นหนาว
- [
9 ต.ค. 46 16:55:56
A:203.170.147.61 X:
]