บทที่๑๐
ดวงสุริยาราเเสงเเสดลงจับปลายฟ้า เหนือท้องทุ่งนาสาลีเกษตรอันไพศาล ชานราชคฤห์นาคร..
ลิบลับริมเขา.. ขบวนโคขนธัญพืชกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตัว
หมู่บ้าน เสียงใสกังวาลจากกระดึงทองเหลือง ประสานเสียงหวีดเเหลมสูงของวิหคนกน้อยที่ต่างพากัน กลับคืนรังให้ทันก่อนที่เเสงสุดท้ายเเห่งตะวันจะลาลับพ้นฟ้า..
ราชมรรคา..ทางหลวงตัดผ่านตัวเมืองราชคฤห์อันครึกครื้นเเละมั่งคั่งไปจนถึงชานหมู่บ้านชนบท
ทางดินเเดงเรียบถูกถางเตียนเพื่อสะดวกเเก่การสัญจรของบรรดาพ่อค้าวานิชเเละยามยาตราพลทัพในการสงคราม .. ข้างขวาข้างทาง คือทุ่งเลนเวิ้งว้างกว้างใหญ่จนจรดตีนเขาสูง
ซึ่งในอีกไม่ช้าก็จักมียอดข้าวอ่อนเขียวโผล่พ้นขึ้นมาจากโคลนตมเลน ก่อนที่จะผลิเป็นรวงทอง เลี้ยงผู้คนในนครราชคฤห์
ส่วนฝั่งซ้าย..คือทุ่งโล่ง มีเพียงไม้พุ่มเตี้ยขึ้นกระจัดกระจาย ผลิดอกม่วงอ่อนตัดกับสีเขียวของใบหญ้าซึ่งเริ่มเข้มจัดเมื่อได้น้ำฝน
ตะวันกำลังจะลาลับพ้นเวฬุวนา
แนวป่าไผ่ท้ายนครราชคฤห์ องค์ขัตติยะผู้นำทัพจึงชะงักบังเหียรอาชา ก่อนที่จะหยุดตรัสด้วยสุรเสียงอันดัง
พักพล ที่นี่
ไว้ใกล้สางเเล้วค่อยจึ่งเดินทางต่อ..
พลทหารในขบวนต่างเเยกย้ายกันไปหาที่นั่งพักหลังอย่างอ่อนล้าจากการเดินทางมาถึงครึ่งค่อนวันบ้างก็มีหน้าที่สร้างพลับพลาประทับเเรม
ซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่เป็นโครงหลังคา มัดเเน่นด้วยเชือกฟั่นเเละเถาวัลย์เหนียว ก่อนที่จะขึงผืนผ้าดิบมุงด้านบนของโครงไผ่เพื่อกันน้ำค้างหนาวในยามราตรี
วรองค์สูงลงจากอาชา เสด็จไปยังที่ประทับชั่วคราว ก่อนที่จะทรุดองค์ลงบนเเคร่ไม้อันเล็กพลางคลี่เเผ่นม้วนใยปอในกระบอกไม้ไผ่ออกมาทอดพระเนตร..
ประมาณเจ็ดวันคงจักลุถึงคันธาระ
ข้าว่าอาจจักช้าเกินไปมิทันการเร่งเดินทัพได้หรือไม่
วงพักตร์เรียวรูป ปรากฏเค้าครุ่นเครียดตรงเนินนลาภ ดวงเนตรครามค่อยๆกวาดไปยังเเผนที่อย่างรอบคอบ
คงจักเร็วกว่านี้มิได้หรอกพระเจ้าข้า
นายทหารผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้องค์เอ่ยทูลตอบ
ข้าร้อนใจนัก
หลังจากได้ความข่าวมาจากพวกพ่อค้าที่เดินทางมาจากทิศเหนือ..ว่าพวกผมเเดงกำลังรุกคืบเข้ามาอย่างกระชั้นชิด
..ยินมาว่าขณะนี้มันยกทัพมายังชายเเดนเเคว้นปัญจาปเเล้ว อีกไม่ช้า ก็คงจะเลยลึกเข้ามายังคันธาระ
อย่าได้ทรงกังวลเลยพระเจ้าข้า..ปัญจาปเป็นรัฐที่มีกองทัพช้างที่เข้มเเข็งยิ่งกว่าเเดนใดในภารตะวรรษ คงจักต้านทานไว้มิให้รุดล้ำเข้ามาได้
ผู้เอ่ยทูลพยายามปลอบพระทัยองค์กษัตริย์เเห่งคันธาระหวังจักให้มิทรงกังวลไปนัก..
ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดีหรอก
เเต่ถ้าหากว่าเเม้เเต่ปัญจาปยังต้านไว้มิอยู่เล่า..ตักศิลาเเห่งคันธาระจักเหลือรอดหรือ..จงตรองดูเถิด
เมื่อตักศิลาเป็นเมืองเเห่งคุรุเเละสมณะผู้ทรงศีลอันเชี่ยวชาญพระเวทยิ่งกว่าเรื่องศาสตาวุธ..เเละมีบรรดาเทวาลัย สถูปเเละวิหาร มากกว่าหอรบป้อมค่าย..เเล้วเช่นนี้จักมิให้ข้าวิตกไปได้หรือ..
เเต่พวกเจ้าจงวางใจเถิด
ข้าจักต้องรักษาคันธาระเอาไว้ให้จงได้
ทรงตรัสย้ำคำหนักเเน่น..เเน่นอน
สุริยราเชนทราช ทอดสายเนตรออกไปนอกพลับพลา..ราตรีโปรยม่านดำลงเเล้ว มีเพียงเเสงเเดงริบหรี่จากกองไฟที่ถูกจุดขึ้นด้วยกิ่งไผ่เเห้งเพื่อประกอบปรุงอาหารในกองทัพ วิบวับเป็นหย่อมทั่วท้องทุ่งกว้าง
องค์ราชะเเห่งคันธาระประเทศ ผุดองค์ขึ้นจากเเคร่ไผ่สาน
เสด็จย่างพระบาทไปนอกพลับพลา หัตถ์ขวากระชับผืนภูษาทรงสีครามอ่อนอมฟ้าเเนบวรกายกันลมหนาว
ขมวดผืนผ้าทรงจีบริ้วให้กระชับองค์ ..ลมราตรีรำเพยพัดเอาปอยเกษาในมุ่นมวยร่วงรุ่ย..ทอดพระเนตรมองฟากฟ้าเบื้องทิศอุดร ที่ประกายดาวเหนือระยิบยับ..
ชะตาเมืองจักสุกสกาวเช่นเเสงดาวหรือไม่
มิมีผู้ใดรู้นอกจากพระพรหมเทวะเบื้องบน..
เสียงลมลอดไผ่ไหวเอน
เบื้องหน้าเส้นทางที่ตัดผ่านเวฬุวนา ยังคงมืดมิด..
เบื้องหลังผ่านทิวเขาสูงทะมึน..ท้องทุ่งนาอยู่ในม่านหนาเเห่งราตรี..จักทอดพระเนตรเห็นเเต่เพียงเเสงไฟจากหมู่บ้านชนททเพียงไรไรลางเลือน..
พลันหทัยหวนระลึกถึงผู้ที่อยู่หลัง
เสด็จจากมาทั้งยังคลางเเคลง
เเม้เเต่เสียงกระพรวนทองบนคออาชา
.ยังเผลอองค์คิดว่าเป็นเสียงห่วงทองเหลืองบนข้อเท้าเเห่งนาง..
ปากเจ้าว่ามิรัก
เเล้วใจเล่า..จริงดั่งว่าหรือ..
ยามนี้ข้าใคร่รู้นัก
ว่าป่านฉะนี้
โฉมเเม่หยาดฟ้าเเย้ม..อยู่ร้อน..ฤาเห็น
.
*********
มิมีงานเลี้ยงใดมิเลิกรา
หน้ากระท่อมไผ่..มีเพียงควันเทาคลุ้งเหนือเตาหินก่อก้อนเส้ากลางลาน..
เครื่องคาวหวานในถาดดินเผาใบใหญ่เหลือเเต่คราบมันกับเศษอาหารเล็กน้อย ซ้อนตั้งเป็นชั้นเคียงข้างไหสุราก้นกลมพวยโป่งป่องที่วางเกลื่อนกลาด
เมื่อเเขกเหรื่อทยอยกันเเยกย้ายกลับเรือน ความสงัดเงียบจึงกลับคืนมาอีกคราถึงเวลาที่เจ้าบ้านร่างน้อยในอาภารณ์สีเหลืองเหลือบค่อยๆเก็บกวาดพื้นลานดินหน้าเรือนให้สะอาดเช่นเดิม
ก่อนที่จะยกตั้งถาดไปไว้ท้ายเรือนที่ตักน้ำเตรียมล้างเอาไว้เเล้ว..
ดวงตาคู่งามลอบทอดไปยังกองสัมภาระหีบห่อที่วางสุมอยู่ชานระเบียงเรือน
รอยยิ้มเศร้าสร้อยค่อยคลี่บนริมฝีปากบางระเรื่อ..
.โอ สุริยราเชนทร์..ต่อเเต่นี้ข้าจักมิได้พบพักตร์พระองค์เเล้ว..
หทัยของนางได้เเต่อาวรณ์
ศูทรเช่นข้าย่อมต้องรู้จักเจียมตน
ด้วยตระหนักรู้ การจักฉุดรั้งองค์ผู้อยู่เบื้องสูงลงมาสู่ดิน..นั่นย่อมมิควรอย่างยิ่ง
สตรีร่างบางวางเถาถาดลงบนพื้น
ก่อนที่จะนำมาล้างทีละใบ มือน้อยค่อยๆสาวถังโลหะจากปากบ่อหินเก่าเกรอะ..
ผิวน้ำในบ่อกระทบผนังหินเป็นละลอกคลื่น ทำให้เงารูปหน้าของสตรีผู้อยู่ด้านบนบิดเบี้ยวเหยเก..คล้ายกับผู้ที่กำลังทนทุกข์ทรมาน
ทว่าเจ้าของดวงหน้าบนผิวน้ำมิได้ใส่ใจ ดวงเนตรกลมสวยใส เเหงนมองขึ้นไปยังเบื้องบน..เมื่อตะวันลาลับ หมู่ดาราจึ่งได้อวดเเสง..ต้อนรับจันทราที่กำลังจะปรากฏขึ้นจากด้านหนึ่งของฟากฟ้าทางทิศตะวันตก..
ลมราตรียะเยียบ
นำพาเอากลิ่นหอมเย็นของดอกไม้จากเเนวป่าด้านเหนือ
.โชยพัดต้องนวลพักตร์ประหนึ่งไล้ลูบด้วยหัตถ์เรียวนุ่มอย่างอ่อนโยน..
อาทิตยะร่อนเร่ลงพลบเเล้ว ป่านนี้ ดวงสุริยะเเห่งคันธาระจักทรงเป็นอย่างไรบ้าง..
๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓๓
กว่าเเสงไฟจากหมู่เรือนไผ่จักดับสนิท..ก็เลยเวลามาถึงเกือบค่อนคืน..ม่านเเห่งรัตติกาลโปรยปกคลุมเหนือยอดไม้เเละถ้วนทั่วทุกหลังคาเรือน..
เสี้ยวโสมรัศมีนวลซีดเพื่อเจือจางความมืดดำในราตรีอันยาวนาน..นอกเหนือจากเเสงเดือนดาวประดับฟ้า..เบื้องล่างยังปรากฏเปลวไฟจากคบไต้ที่หลบเร้นอยู่ ณ หลืบหนึ่งของของมุมมืดท้ายหมู่บ้าน
..จักเริ่มเลยหรือไม่
ชายฉกรรจ์หนึ่งในห้าคนล้วนเเต่สวมอาภรณ์มิดชิดสีเข้มทึบ เอ่ยถามผู้นำใต้เเสงคบรางไรเเฝงซึ่งเร้นอยู่หลังเงาไม้ใหญ่..
รอก่อนสักประเดี๋ยวเถิด..ให้พวกมันหลับสนิทกว่านี้ก่อน
คนถือไต้ตอบเบา..ปานเสียงลมกระซิบเเผ่วไล้ยอดหญ้า..การมาของพวกมันจักต้องเงียบเชียบไร้ร่องรอยดุจฝีเท้าของปีศาจ..ซึ่งรับอาสาที่จักคร่าดวงวิญญาณของผู้ที่ได้รับมอบหมายมา..
จงสังหารให้สิ้นทั้งเรือน
อย่าให้รอดไปแม้เเต่คนเดียว..โดยเฉพาะ นฤตยา ลูกสาวของมัน..
สายลมยะเยียบ..พัดใบไม้ร่วงหลุดจากขั้ว ร่วงเคว้งคว้างลงสู่ดิน เปลวไฟยิ่งเต้นระริกประหนึ่งอัคนิเทพ ทรงปราถนาจักได้ชีวิตของมนุษย์เป็นเครื่องสังเวยบูชา..
หริ่งหรีดเรไร สงบเสียงราวกับเงี่ยหูรอฟังคำกระซิบซาบสั่งของเเขกผู้มาเยือนยามวิกาล..
ลงมือได้
ผู้ถือคบไต้ออกคำสั่ง..ก่อนที่จักเเสดงตัวออกมาจากหลืบมืดใต้เงาไม้..ค่อยย่างเหยียบบนใบไม้เเห้งเบาฝีเท้าอย่างระมัดระวังด้วยเกรงผู้ที่กำลังหลับใหลอยู่ในเรือนจักตื่นขึ้นมา
เติมไฟในไต้ให้ครบ
จงเทน้ำมันราดลงที่ชานหน้าเรือนก่อนจึงค่อยโยนไฟใส่เรือน..คอยดูอย่าให้ผู้ใดรอดออกมา..
ร่างของบุรุษในอาภรณ์สีดำเข้มทั้งห้า..
ลอบลอดรั้วไผ่เข้ามายังด้านในลานหน้าเรือน น้ำมันในไหใบใหญ่คอเเคบถูกราดลดลงบนชานหน้าเรือนอย่างรวดเร็ว เงียบเชียบ กว่าครึ่งหนึ่งสาดรอบตัวบ้านเเละเลยขึ้นไปบนหลังคามุงใบจากเเห้งที่ซ้อนเกยกันหลายหลังคาเรือน
ชายผู้ถือไต้ทั้งห้าต่างกระจายตัวไปรอบเรือน.
.ก่อนที่จะค่อยๆจ่อเปลวใต้ให้สัมผัสผิวไผ่ เเละโยนมันขึ้นไปบนหลังคา ก่อให้เกิดประกายไฟลุกเเดง.
.ลุลามไปทั่วทั้งตัวเรือน ผิวไผ่เเห้งเป็นเชื้อไฟได้อย่างดีจึงลามไหม้ไปได้อย่างรวดเร็ว
จนมิช้า..เรือนน้อยก็จมอยู่ในทะเลเพลิง..ทว่าอัคคีฤาอิ่ม..ยังกระจายเปลวลุกลามจากหลังเรือนหนึ่งสู่เรือนหนึ่ง..รวดเร็ว รุนเเรงราวพายุลูกไฟอันร้อนเร่า
ในเเสงสว่างโชติช่วง
รอยยิ้มเยียบเย็นของปีศาจทั้งห้าปรากฏขึ้น..ก่อนที่จะเร้นกายหายไปในมุมมืดเเห่งราตรี..
๕๕๕๕๕๕
จากคุณ :
อชันฏา
- [
10 ต.ค. 46 13:01:10
A:203.149.47.48 X:
]