ความลับท้ายป่าช้า.......

    ครั้งหนึ่งฉันกับเพื่อนเคยไปออกค่าย ณ โรงเรียนวัดในหมู่บ้านห่างไกล หลังจากวุ่นๆกับกิจกรรมในตอนกลางวันพวกเราตกลงว่าจะนอนค้างที่นั่นหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทางไปโรงเรียนอื่นในตอนเช้า

    มันเริ่มขึ้นจากตอนกลางวันเด็กๆในโรงเรียนเตือนเรื่องผีที่บึงน้ำท้ายป่าช้าให้ฟัง ตรงนั้นเคยมีผู้หญิงจมน้ำตาย วันดีคืนดีก็จะมีเสียงร่ำไห้โหยหวนไปทั่ววัด และสำหรับผู้มาใหม่ที่ไม่คุ้นเคย หากได้ไปที่นั่นหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป ก็อาจได้ประสบพบกับเรื่องราวสยองขวัญ ที่เคยมีคนจับไข้หัวโกร๋นมาแล้ว

    ตามคำบอกเล่าคือ ผู้โชคร้ายคนนั้นนึกสนุกอยากปลีกวิเวกไปกลางเต็นท์ตกปลาริมบึง และในกลางดึกคืนนั้นเองเขาเห็นผู้หญิงผมยาวสยาย นอนหงายเหยียดยาวอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นร่างเธอก็ค่อยๆ

                                                                       ลอยขึ้น

                                                                       ลอยขึ้น

                                                                       ลอยขึ้น  

    ร่างเปลือยบอบบางและขาวซีด เริ่มลุกยืนกลางอากาศ เธอหันหน้ามาหาเขาที่ยืนนิ่ง ร่างกายทุกส่วนราวถูกตรึงด้วยเหล็กหนัก จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เธอไม่มีหน้า แต่สามารถเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนได้ด้วยอวัยวะส่วนไหนไม่ทราบ มือกับเล็บยาวเฟื้อยสีม่วงคล้ำกำลังยืดยาวมาทางเขา

                                                                        ยาวขึ้น

                                                                        ยาวขึ้น

                                                                        ยาวขึ้น

    ก่อนที่มันจะมาถึงคอของเขา ในภวังค์นั้นเขานึกถึงคุณพระคุณเจ้าสารพัด พยายามบังคับเท้าให้ก้าวเดิน เหงื่อกาฬไหลชุ่มโชก ใจเต้นระรัว มือทั้งสองข้างค่อยๆบีบเข้าหากันอย่างยากเย็น ในวินาทีฉิวเฉียดนั้นเองที่เขาสามารถสาวเท้า  วิ่ง      วิ่ง         วิ่ง   และก็วิ่ง   อย่างไม่คิดชีวิตตรงมายังกุฏิพระที่ใกล้ที่สุดและสิ้นสติลง

    ไอ้มาตร เพื่อนซี้ที่ไม่เคยเชื่อว่าผีมีจริงนึกสนุก อยู่ๆมันก็มาชวนฉันผู้ซึ่งทำทีประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้งว่า ‘ไม่กลัวผี’ ให้ออกทัวร์ป่าช้ากับมัน หลังจากที่มันพยายามโน้นน้าวคนอื่นแต่ไม่สำเร็จ ด้วย เกียรติของลูกผู้หญิงที่ไม่เต็มเต็ง ฉันรับปากทันทีที่มันเริ่มแสดงสีหน้าดูถูก

    ฝน เพื่อนสาวสุดซี้อีกคนตามมาด้วย เพราะเธอเป็นห่วงว่า ฉันจะทำอะไรบ้าระห่ำ แล้วยิ่งไปกับคนที่บ้าสุดขั่วอย่างไอ้มาตรด้วยแล้ว เดี๋ยวจะพากันอยู่ไม่รอด ฉันนึกดีใจอย่างน้อยก็มีสมาชิกเพิ่มอีกคน

    ไอ้วัตร สมาชิกร่วมทัวร์รายสุดท้ายมันก็คงถูกไอ้มาตรยั่วยุจนสำเร็จเหมือนฉัน  พอได้เวลา 23.45 เป๊ะ พวกเราเริ่มออกเดินทางโดยมีอุปกรณ์ติดตัวมาคือ ไฟฉาย 2 กระบอก ของฉันกับไอ้มาตรไม้ตะพดที่ไอ้วัตรไม่รู้ไปคว้ามาจากไหน 1 ท่อน ส่วนฝนเธอว่าอากาศหนาวและเธอเป็นคนแพ้น้ำค้าง จึงขอพกอาวุธคลุมศรีษะจนถึงบ่าด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

    เจดีย์บรรจุอัฐิเรียงรายเป็นปราการด่านแรกให้เราต้องฝ่าฝันเพื่อจะได้เข้าไปถึงป่าช้าจริงๆ ตอนแรกพวกเราเดินแถวตอนลึกเรียงหนึ่ง ไอ้มาตรนำทัพตามด้วยฉัน ฝน และไอ้วัตร แต่เพราะเป้าหมายแรกที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ขบวนเปลี่ยนไปเป็นหน้ากระดานเรียงสี่ ไอ้มาตร ฉัน ฝน แล้วไอ้วัตร

    ฝนจับมือฉันไว้แน่น มือของเพื่อนซี้เย็นเจี๊ยบและเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่ต่างจากมือของฉันเท่าไหร่ ความจริงคืนนั้นเป็นคืนเพ็ญ แต่กลับมืดมิดเพราะถูกบดบังด้วยเมฆฝนก้อนมหึมา ยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวง ต้นไม้ใหญ่เป็นเงาตะคุ่มส่งเสียงคราง ห วี ด ห วิ ว  เวลาลมพัดผ่าน มองคล้ายอสูรกายกำลังยืนกวักมือท้าทาย ฉันพยายามระงับจินตนาการไว้เร่งฝีเท้าจนสามารถเดินผ่านเจดีย์นั้นมาได้โดยไม่มีใครกล้าเพ่งสายตาเข้าไป

    แล้วเราก็เข้าสู่ใจกลางป่าช้า สองข้างทางเต็มไปด้วยดินนูนๆ ซึ่งพอเดาได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้ จั๊กจั่นส่งเสียงระงม ทั้งเสียงกบ เสียงอึ่ง เสียงเขียด พากันเซ็งแซ่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป แต่ก็ยังชวนขนลุกหลายครั้ง เพราะแว่วว่าจะมีเสียงหมาหอนมาจากท้ายป่าช้า บรู๊ว  ว  ว    ว     ว      ว       ว        ว

    สายฝนที่กระหน่ำมาในตอนเที่ยงยังคงทิ้งร่องรอยเฉอะแฉะตามหลุมเล็กๆบนทางเดินที่เป็นดินลื่นๆ รองเท้าผ้าใบของฉันชื้นด้วยหยาดน้ำที่เกาะตัวตามยอดหญ้า ค่ำคืนนั้นอากาศหนาวจริงๆ เย็นเยียบจนยะเยือก หลายครั้งที่ลมพัดมาสัมผัสตามเนื้อตัวทำให้ฉันสะดุ้ง มันเย็นซ่านราวกับมีใครแอบเอาน้ำแข็งมาลูบ ขนตามหลังลุกเกรียว แต่ก็พยายามข่มใจไว้ไม่แสดงสีหน้าหวาดหวั่น

    “ เฮ้ย…ขะ….. ขะ ……ข้า….เหยียบอะไรไม่รู้ว่ะ เหนียวๆแหยะๆด้วย” จู่ๆไอ้วัตรก็ร้องเสียงสั่นพร่า

    “เอาไฟส่องดูซิ” ไอ้มาตรแนะนำ ตอนนี้ขบวนเป็นอันหยุดชะงักแต่ก่อนที่พวกเราจะรู้ว่าไอ้วัตรมันเหยียบอะไร




    “หวี๊ด   ด    ด     ด      ด       ด        ด         ด          ด           ด            ด             ด”


    เสียงแหลมโหยหวนดังขึ้นพร้อม เงาวูบวาบ ลอยผ่านหน้าพวกเราในระยะประชิด





    “กรี๊ด  ด   ด    ด     ด      ด       ด        ด         ด          ด           ด”



    ขณะที่ทุกคนจ้องตะลึง ฝนที่ยืนข้างฉันหวีดร้องแล้ววิ่งนำหน้าลึกเข้าไป พวกเราออกวิ่งตามจนทัน ฉันโอบไหล่เพื่อนไว้ก่อนที่เธอจะตกใจมากกว่านี้พร้อมพร่ำปลอบ  “นกแสกน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

    “ฝน อยากกลับ เรากลับกันเถอะ” ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนจับใจความจริงฝนเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานที่สมัครใจตามมาเพราะเป็นห่วงฉันแท้ๆเชียว มองหน้าไอ้มาตรเผื่อมันจะเปลี่ยนใจแต่ปรากฏว่า

    “อีกนิดเดียวจะถึงท้ายป่าช้าแล้ว ฝนมันพาพวกเราวิ่งมาซะเร็วเลย ประหยัดเวลาดีเหมือนกัน”

    “เฮ้ย ดูนั่น” ไอ้วัตรเลิกสนใจกับเท้าแต่กลับชี้สิ่งแปลกประหลาดให้พวกเราดู มันเป็นเหมือนลูกไฟวูบวาบจากท้ายป่าช้า ท่ามกลางความมืดทำให้เห็นมันชัดแจ้งแม้จะในระยะไกล ไฟสีส้มๆ พร้อมทั้งเสียงเหมือนคนกำลังหัวเราะต่อกระซิบคิกคักแว่วมา ทั้งความวิเวก ยานเย็น สอดประสานกับเสียงหมาหอน

    บรู๊ว  ว   ว    ว     ว      ว       ว        ว         ว

    พวกเราตะลึกงังราวถูกสะกดเท้าทั้งสองข้างหนักอึ้งเหมือนมีลูกตุ้มเหล็กท่วงไว้ ภาพจินตนาการจากเรื่องเล่าของเด็กแถวนี้เริ่มชัดเจนขึ้นในสมองของทุกคนยกเว้น

    “ไป  ไปดูกันให้ชัดๆ” ไอ้มาตรขาเฮี้ยว พูดจบก็ออกเดินโดยไม่ถามไถ่เพื่อนร่วมทางที่เริ่มจะไม่ร่วมอุดมการณ์ มันเดินถือไฟฉายส่ายไปในความมืดห่างไป     เรื่อยๆ            เรื่อยๆ                  เรื่อยๆ

    พวกเราสามคนที่เหลือมองหน้ากัน ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน ฉันกับไอ้วัตรเข้าเดินขนาบข้างฝน หน้าของเธอซีดเผือก เธอเอามือข้างหนึ่งจับมือฉันแน่นส่วนอีกข้างหนึ่งจับผ้าเช็ดตัวที่คลุมศรีษะจนถึงไหล่มาปิดหน้าจนเห็นเพียงดวงตาเท่านั้น เริ่มพึมพำสวดมนต์

    จากคุณ : พินทุอิ - [ 11 ต.ค. 46 12:41:19 ]