อ่านแล้วยังไงก็ .... ขอคำแนะนำด้วยนะครับ ทั้งติ ชม ได้หมดครับ ตอนแรกพยายามจะเขียนให้เป็นเรื่องยาว
แต่ที่สุดแล้ว ก็สั้นเหมือนเดิม
ขอบคุณมากๆ นะครับ ( ขออภัยเรื่องคำภาษาอังกฤษ gu - meung เนื่องจากไม่ผ่านเซ็นเซอร์ของที่นี่อ่ะครับ )
ชื่อเรื่อง : lost
1.
ศูนย์เก้าห้าสามหกเก้าหกสามหก
ผมเอาโทรศัพท์แนบหู แต่ไม่เกิน 2 วินาที ผมก็กดทิ้ง
นั่งพิงระเบียงหน้าบ้าน จ้องโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กที่อยู่ในมือ ความลังเลใจสั่งผมให้ลุกขึ้นยืนแล้วก็ให้ผมนั่งลงอีกครั้ง พิงกระถางต้นไม้ใกล้ๆ กลับมามองโทรศัพท์อีกครั้ง รู้สึกไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่ก็...
ศูนย์เก้าห้าสามหก
แล้วผมก็กดลบมันไปทีละหมายเลข ตอนนี้ 5 ทุ่มครึ่ง เธอคงนอนไปแล้ว โทรไปก็คงไม่ติด แต่จำได้ว่าเธอบอกว่าเธอมักจะนอนเที่ยงคืน
ศูนย์เก้าห้าสามหกเก้าหกสามหก
ผมเอาโทรศัพท์แนบหู เสียงในสายเงียบสนิทราวกับไม่มีการติดต่อใดๆ ใช่.. เพราะผมยังไม่ได้กดปุ่มโทรออก เอาโทรศัพท์มาจ้องมองดูอีกครั้ง แล้วย้ายกลับไปแนบหู ผมค่อยเคลื่อนนิ้วช้าๆ ค่อยๆคลำปุ่มต่างบนแผงจนไปถึงปุ่มโทรออก แล้วทิ้งน้ำหนักลงไปบนปุ่มนั้น
ตื๊ด............. ตื๊ด.............. ตื๊ด.................
สวัสดีค่ะ เสียงของทางนั้นดังขึ้น
แต่ผมไม่ทักตอบเธอ ผมรู้ดีว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
ที่นี่ ศูนย์เก้าห้าสามหกเก้าหกสามหก ตอนนี้ไม่สามารถรับสายได้ กรุณาฝากข้อความหลังจากได้ยินสัญญาณ
ยังไม่ทันที่สัญญาณนั้นจะดัง ผมก็วางสายไป
เธอคงไม่ว่างรับสาย เพราะคงคุยกับ คนคนนั้น อยู่ ไม่ว่าจะคุยเล่น หรือ ทะเลาะกัน มันก็ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ เธอไม่รับ
แสงอาทิตย์ดับไปนานแล้ว เพิ่งจะรู้ตัว ผมรู้สึกโกรธลึกๆในใจ ไม่รู้ว่าโกรธใคร อาจจะเป็นตัวเอง เลยเอื้อมไปคว้าตัวฉีดน้ำที่อยู่ตรงมุมระเบียง แล้วลุกขึ้นมาฉีดต้นไม้ที่อยู่รอบๆ ผมมองไม่ค่อยเห็น เลยฉีดมั่วๆไป แต่ก็หวังว่าจะทั่วถึงทุกต้น
ยืนคนเดียวท่ามกลางความมืด ยุงกัด กลับเข้าบ้านตอนนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ก้าวไปที่ประตู แล้วหมุนลูกบิด แต่ลูกบิดขยับไม่ได้
ม๊า ! เปิดประตูให้หน่อย ผมตะโกนเข้าไปสองสามครั้ง นึกขึ้นได้ว่าแม่ออกไปข้างนอกบ้าน และ จะกลับดึก ผมจึงกลับมานั่งที่จุดเดิม
คืนนี้พระจันทร์ถูกบดบังด้วยเมฆ นอกจากจะทำให้มืดกว่าวันไหนๆ แล้ว ยังทำให้อารมณ์ของผมหม่น และ หมองลงไปกว่าเดิม
ถึงเรื่องในหัวจะเริงระบำอย่างระทม แต่ผมก็ยังนิ่งๆ
สายตามองประตูเก่าๆ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา
คล้ายกับวันนั้น
ผมเห็นเธอค่อยๆ เดินจากไป เธอไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วเธอก็หันกลับมายิ้มให้ผม
ผมยิ้มตอบให้เธอ แต่เป็นรอยยิ้มที่ไร้วิญญาณ ไร้วิญญาณที่สุดเท่าที่เคยยิ้ม
แล้วเธอก็หันกลับไป ผมนั่งมองเธอ รู้สึกชา
เธอเดินไหล่ตกเล็กน้อย ท่าเดินเหมือนเด็กๆ มือของเธอไม่ว่างทั้งสองข้าง
มือของเธอข้างหนึ่งถือถุงกระเป๋าหนังสือ
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จูงมือผู้ชายที่เดินอยู่ด้วยกันข้างๆ
คนเรายิ้มด้วยจุดประสงค์หลายประการ ยิ้มเพราะตัวเองมีความสุข ยิ้มเพราะอยากให้อีกคนมีความสุข ยิ้มเล่นๆ ยิ้มกลบเกลื่อน ยิ้มยั่วยวน ยิ้มให้รู้ว่ารัก ยิ้มสู้ ยิ้มให้ตายใจ ยิ้มเยาะเย้ย
เราอาจจะรู้สึกถึงความหมายในรอยยิ้มนั้นในบางครั้ง
แต่มือข้างนั้นทำให้ผมไม่แน่ใจใน รอยยิ้มที่เธอให้มา
ผมไม่แน่ใจจริงๆ
ผมรู้สึกจะเป็นส่วนหนึ่งของม้าหินที่นั่งอยู่เข้าไปทุกที ตำแหน่งสายตายังอยู่ที่เดิมที่เห็นเธอ
ครั้งสุดท้าย ตอนนี้มีหมากำลังนั่งขี้ เข้ามาแทนที่ พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ อากาศหนาวพัดผ่าน
เหล่าใบไม้ที่แห้งกรอบก็พร้อมพลีกายสลัดตัวเองออกมาจากกิ่งพร้อมๆกัน คนบริเวณรอบๆ เหลือน้อยตามปกติของช่วงเวลานี้ คงกลับบ้านกันหมดแล้ว หลอดนีออนหน้าตึกเรียนสว่างขึ้น
มีแมงเม่า 1 ตัวบินเข้าไปเกาะ
บนเตียง มีหนังสือวรรณกรรมอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ถูกคั่นหน้าด้วยโทรศัพท์มือถือ หนังสือประวัติศาสตร์ยุโรปทั้งยุคกลางและยุคใหม่เปิดทิ้งไว้ เอกสารประกอบการเรียนอีกหนึ่งปึก แล้วก็มีผมนอนแผ่ร่างปล่อยให้หัว และแขนขวาห้อยลงมาจากปลายขอบเตียง เนื่องด้วย ขนาดของเตียงไม่ใหญ่พอที่จะรับร่างของผมได้ทั้งหมด มือที่ห้อยอยู่คีบบุหรี่ไว้ บุหรี่ปล่อยควันให้ออกมาเริงระบำโค้งเว้า สวยดี บรรยากาศภายในห้องมืดๆทึมๆ ยิ่งขับให้ลวดลายในอากาศนั้นเห็นเด่นชัด ราวกับเป็นนักแสดงที่โดดเด่น และโดดเดี่ยวบนเวที
ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาสูบบุหรี่ได้ยังไง เมื่อไหร่ ไม่เข้าใจ และ ไม่รู้ เลิกดีกว่า
ผมขว้างบุหรี่ออกหน้าต่างไปอย่างไร้เรี่ยวแรง และ ไร้ทิศทาง ขี้บุหรี่ปลิวว่อน และ ส่วนหนึ่งมาลงจอดที่ลูกตาของผม ( แม่งเข้าตาเลย ) ผมแสบตา แต่กระพริบสักพักก็ดีขึ้น ผมรู้สึกตาผมมันมองอะไรแล้วมัวๆ อาจเป็นเพราะขี้บุหรี่ ผมเริ่มสายตาสั้น ผมอาจกำลังจะตาบอด หรือ อาจกำลังจะตาย
โลกทั้งโลกกำลังกลับหัว ผมเห็นมันกลับหัว แต่จริงๆแล้วโลกก็ยังเหมือนเดิม เข็มวินาทีสีแดงที่หน้าปัดนาฬิกาบนตู้ปลาใกล้ๆ ยังคงเดินไป ปลาทองว่ายน้ำตีลังกาในตู้ปลามืดๆ ตู้ โต๊ะเขียนหนังสือ วิทยุ ยืนนิ่ง ส่วนผมนอนนิ่ง ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ได้แต่คิดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
ความคิดนั้นดูชัดเจน
เอินนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าผม เธอมองผมสักพักด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อยเหมือนกำลังถามผมว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วเธอก็ยิ้มให้ ผมมองเธออย่างล่องลอย ไร้ความรู้สึก เธอส่งโทรศัพท์มือถือของผมมาให้ ผมรับมันมา เหลือบมองเล็กน้อย แล้วเคลื่อนสายตากลับมาหาเธอ แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือความว่างเปล่า
การรอคอยคือเครื่องประหารจิตวิญญาณมนุษย์ที่โหดร้ายที่สุด แต่ผมก็ยังประดิษฐ์ขึ้นมาทำร้ายตัวเอง ผมชูโทรศัพท์มือถือขึ้นสุดแขน พลิกหน้าจอมันลงมา มองราวกับจะมีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาที
แต่มันก็ไม่มีอะไร
ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องของผม แล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาด้านนอก หวังลึกๆว่าจะเกิดความสงบทางจิตใจขึ้นบ้าง ถ้าไม่ได้เห็นมัน ได้แต่พยายามคิดว่า ยังไงปกติก็ไม่มีข้อความมาหาอยู่แล้ว ผมนั่งลงกราบพระแบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ที แล้วเดินกลับเข้าห้อง
แสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมไฟสาดส่องลงมา ทำให้เห็นตัวหนังสือบนเอกสารชัดเจน สายตาผมกลอกกลิ้งไปตามตัวหนังสืออย่างลื่นไหลจนมาหยุดที่ขอบขวาล่างของหน้า
แล้วมันก็หยุดไปเลย
ในห้องของเอิน ผมนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอมองเธออ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือแบบเดียวกับที่บ้านผม สักพักเธอหยุดอ่าน แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างๆ มากดพิมพ์ข้อความอะไรบางอย่าง เธอยิ้มเล็กน้อย แสงไฟสีส้มทอแสงจางๆ มาที่ใบหน้าของเธอทำให้ เธอดูน่ารักกว่าทุกๆ ครั้งที่ผมเห็น เมื่อเธอพิมพ์เสร็จเธอก็วางลง ข้อความคงถูกส่งไปให้ใครสักคน
ผมหันหน้าออกไปทางประตูห้อง ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังเบาๆ แล้วดับไป
เสียงฝีเท้าของข้อความใหม่ !
ผมนั่งยองๆ มองโทรศัพท์มือถือที่วางใกล้ๆ กับธูป เงยหน้ามองพระพุทธรูป แล้วก็เดินกลับเข้าห้องอย่างเดิม
ข้อความคงถูกส่งไปให้ใครสักคน
ม้าหมุนสีแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน หมุนอย่างรวดเร็ว ผมนั่งอยู่บนสีเหลือง สิ่งต่างๆรอบๆ ดูพร่าเลือนไปหมด ม้าพวกนี้เหมือนกำลังจะพยายามเหวี่ยงผมออกไปให้พ้นหลังของพวกมัน พวกมันวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วมาก ผมยังคงเกาะแน่นอยู่บนหลังของพวกมัน รู้สึกเหมือนอยู่ในพายุลูกไหนสักลูก
ผมนั่งนิ่งอยู่บนม้าหมุนสีเหลืองที่ไม่เคลื่อนไหว รอบๆ คือ สนามเด็กในเล่น ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ผมหันหลังไปมองเสานาฬิกาแล้วก็หันกลับมา ทอดสายตาไปรอบๆ ต้นไม้เคลื่อนไหวเล็กน้อย
ผมยืนอยู่บนสไลเดอร์ มันสูงราวกับเป็นหอสังเกตการณ์ของสนามเด็กเล่นแห่งนี้ รู้สึกหิว เลยลองมองๆ ดูในเป้สะพายข้าง ผมเจอแยมโรลเล็กๆ 4 ก้อนในกล่องพลาสติก หยิบออกมา ผมมองมันสักพักแล้วก็เก็บกลับเข้าไป เมื่อวานเอินเดินเข้ามาหาผมแล้วให้แยมโรล จากนั้นเธอก็บอกว่า ขอบคุณนะคะ ที่อยู่เป็นเพื่อนเมื่อวันก่อน แล้ว...ที่ฟังเรื่องเอินด้วย วันนั้นจึงเป็นวันที่ดอกไม้สีแดงแถวคณะ ( ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคือดอกอะไร ) บานสวยกว่าทุกๆ วัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามีคนปาก้อนกรวดใส่หัวผม ถึงมันจะไม่แรงนัก และ ก็แค่เฉี่ยวๆ แต่ก็ทำให้ผมต้องหันไปหาผู้กระทำการคนนั้น
ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นคะ เธอยิ้มปนหัวเราะ
ผมกระโดดลงมาลงบนพื้นทราย เปิดกระเป๋าเป้สะพายข้างอีกครั้ง หยิบนาฬิกาข้อมือออกมา มันเป็นนาฬิกาข้อมือธรรมดาๆ เรือนหนึ่ง ไม่ได้ดูมีราคามากมาย ผมส่งให้เธอ
อะ .... ซื้อมาให้
อูย ... อะไรคะเนี่ย เธอรับไปดูอย่างอายๆ
ใกล้สอบแล้ว เห็นไม่เคยใส่นาฬิกา เลยซื้อมาให้ไง ก็เผื่อจะช่วยได้บ้าง
เธอยิ้มให้นาฬิกา แล้วมองผม ขอบคุณค่ะ
เราสองคนยืนอยู่หน้าภาพสีน้ำมัน ในห้องโล่งสีขาว แสงสปอตไลท์ยิงลงมากระทบภาพนั้นทำให้ภาพดูโดดเด่นมากขึ้น ผมมองภาพ แล้วหันมามองเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอกำลังยิ้ม เอานิ้วเรียวเล็กของเธอแตะตัวภาพด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็มองไปรอบๆ ห้อง ผมเคยเห็นภาพและบรรยากาศแบบนี้มาแล้ว มันอยู่ในภาพฝันของผม ผมมีความสุขจนรู้สึกมันเกือบจะทะลักออกมาเหมือนลูกโป่งที่หากเป่าอีกครั้งเดียวมันก็จะแตก ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้สึกไม่ต่างจากนี้ หากความฝันได้ประสานเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ผมกลับไปมองเธออีกครั้ง ผมเริ่มสังเกตได้ว่านัยน์ตาเธอวันนี้ดูเศร้า เธอเก็บความรู้สึกนั้นไม่ได้ เธอหันมามองผม ยิ้มให้แล้วเธอก็เดินต่อ เสียงรองเท้าผ้าใบสีขาวของเธอ ไม่ดังแต่ก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง
เดี๋ยวคุณพ่อมาแล้วล่ะค่ะ เธอพูดเบาๆกับผม
ที่เธอมากับผม อาจเป็นเพราะ เพื่อนเธอกลับบ้านไปหมดแล้ว คุณพ่อเธอกว่าจะมารับก็อีกหลายชั่วโมง หรือ เหตุผลอื่น หลายๆอย่างในอดีตสอนให้ผมเลิกคิดเข้าตัวเอง เพราะมันเป็นยาพิษชั้นดีที่ฆ่าใครมานักต่อนัก แต่แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมก็รู้สึกมีความสุขดี เราสองคนกำลังเดินกลับเข้าคณะ สวนทางกับคนมากมายที่เดินออก เราเดินไปคุยไป ถึงเรื่องทั่วไป การเรียน เพื่อน งาน แต่ ในที่สุดเหมือนความหมองเศร้าลึกๆของเธอมาถึงจุดอับ เธอพูดขึ้นมาว่า ...
แกว่า เขาจะเอายังไงกับเราวะ ผมนั่ง ในท่าหมอบนอนลงไปกับโต๊ะ ในโรงอาหารยามเย็นนั้น ไฟถูกปิดลงไปหลายดวง เราคุยกันในที่แสงสลัว ผมมองหน้า ฟา เพื่อนผู้หญิงของผม ผมอยู่ในคณะที่จำนวนผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว จึงทำให้ผมมีเพื่อนผู้หญิงมากมาย แต่ผมไม่แน่ใจเลยว่า ผมเข้าใจผู้หญิงได้ดีขึ้นหรือไม่
อยู่ๆ เขาก็บอกแกว่า จะโทรไปง้อแฟน เพราะกลัวแฟนโกรธ น่ะเหรอ ผมพยักหน้าเล็กให้พอรู้ แกพอจะรู้มั๊ยว่า น้องเขาคิดอะไร ยังไง กันแน่ แล้วทำไมต้องมาโทรตอนเราอยู่วะ แล้วเท่าที่เราฟังจากที่น้องเขาเล่า น้องเขาก็ไม่ได้ผิดน่ะ
น้องเขายังชอบแฟนเขาอยู่ว่ะ
ถึงจะแฟนเขาจะงี่เง่าอย่างนี้เนี่ยนะ
ก็นั่นแหละที่เขาเรียกว่า รัก
ผมกับฟา เงียบไปทั้งคู่ ความมืดเข้าครอบคลุมโรงอาหารหมดแล้ว เหลือเพียงแสงไฟจากสนามกีฬาข้างที่ช่วยให้เราพอมองเห็นหน้ากันบ้าง
แกชอบเขาตรงไหนวะ ฟาถามผม
ยิ้ม ผมมองออกไปหน้านอก ไม่แน่ใจว่าเห็นอะไรบ้าง
ไม่นาน แสงไฟจากสนามกีฬาดับลง
จากคุณ :
คนจร
- [
12 ต.ค. 46 21:22:09
A:161.200.255.161 X:
]