The legend of turpentine -the dragon tale- Chapter 1 part 2 ~The beginning of nightmare,ALLADORN~

             ทางด้านชายลึกลับที่ติดตามมังกรมานั้น ก็ได้ตามมาจนถึงส่วนในของรังมังกร ภายในดูสะอาดกว่าที่เขาคิด มีที่ระบายอากาศทางธรรมชาติช่วยให้ไม่เหม็นอับ และตามทางเดินก็ถูกประดับไว้ด้วยคบไฟขนาดยักษ์ ซึ่งไฟนั้นมาจากมังกรหรือเปล่า
    ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่ๆตัวคบเพลิงคงจะไม่ใช่ฝีมือของมังกร เพราะที่ตัวด้ามสีทองมีรอยแกะสลักรูปมังกรร่ายรำไปมาอย่างสวยงาม

             เขาเดินมาเรื่อยๆ อย่างเงียบงัน นอกจากเสียงของเปลวไฟและเสียงเดินที่แผ่วเบาของเขาแล้วไม่มีเสียงอื่นอีก ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร หนทางก็ยิ่งขรุขระและซับซ้อนขึ้นจนแทบจะคล้ายเขาวงกตเข้าไปทุกที แต่ดีที่เขาสังเกตร่อยรอยของมังกรได้อย่างชํ่าชอง รู้ว่าทางไหนเป็นควรจะเป็นกับดัก ควรจะหลีกหนีอย่างไรได้ราวกับมันเป็นบ้าของเขาเอง ซึ่งตัวเขาเองก็แปลกใจไม่น้อยแต่ละก้าวที่เดินไปก็ยิ่งทำให้เขาอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกับทีนี่อย่างไรแน่...

             ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น เขาก็ต้องผงะชะงักเท้าเท้าหนีอย่างรวดเร็ว เพราะข้างหน้าเป็นบ่อนํ้าพิษที่กำลังเดือดปุดๆ พร้อมที่จะละลายเหยื่อให้เหลือแต่กระดูกได้ในพริบตา เขาทดลองหยิบก้อนหินปาลงไปในบ่อ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด
    เกิดฟองฟู่อย่างรวดเร็วและชั่วครู่เดียว ก้อนหินก้สลายหายไป เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงก้าวถอยหลังไปประมาณสิบก้าว แล้วค่อยวิ่งขึ้นมาแล้วกระโดดข้ามบ่อพิษที่กว้างประมาณ 20 ฟุตได้อย่างง่ายดาย

             จากนั้นเขาก็เดินทางต่อ ทั้งๆที่ความจริงน่าจะกลับออกไปแล้วเพราะมันน่าจะเป็นกับดักที่หลอกผู้หลงทาง แต่เขาก็ยังเดินต่อไปโดยไม่ติดขัด เขาเดินมาเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่หน้าแท่นศิลาอันหนึ่งซึ่งประดับไว้ด้วยอักขระโบราณที่เขาไม่อาจจะทำ
    ความเข้าใจได้ ถึงกระนั้นปากของเขาก็พึมพัมออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อเขาพูดจบแล้วทางที่ตันอยู่ก็ค่อยเลื่อนๆขึ้นและเลื่อนปิดลงเมื่อเขาเดินเข้าไปข้างในแล้วก็ต้องตกตะลึงกับความโอ่โถงภายในนี้...

             มันเป็นเหมือนห้องโถงใหญ่ ห้องประชุมสำหรับมังกร ว่าแต่ว่ามังกรมีประชุมกันเหมือนมนุษย์ด้วยหรือ เขาคิด มันเป็นห้องที่ใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะใช้ได้ ตามช่องของเสาหินที่ถูกสร้างขึ้นมีเก้าอี้หินวางเรียงรายไว้อยู่ หากแต่ไร้ซึ่งผู้นั่ง ตรงในสุดมีเก้าอี้ของประธานวางไว้อยู่ ซึ่งก็ว่างเปล่าเช่นกัน เขาเดินสำรวจไปมาตามเก้าอี้แต่ละตัว แต่ละตัวมีสัญลักษณ์ต่างๆกันไป  ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของดิน นํ้า ลม ไฟ แสง  สายฟ้า  ดาบ ขวาน หอก ธนู คทา ตาชั่ง และที่โต๊ะของประธานเป็นรูปของมังกรคำรามอยู่ที่ใต้รูปมีตัวอักษรภาษารูนกำกับไว้ นอกจากนั้นยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

             เขาเดินสำรวจอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ที่ใต้เก้าอี้แต่ละตัวมีช่องกลมๆไว้ใส่ของบางอย่าง แต่เขาเดินหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบของบางอย่างที่ว่า จนเดินมาลอดใต้โต๊ะประธานแล้วก้มลงไปดูที่พื้น เขาพบห่วงกลมเล็กๆวางอยู่ เขาทดลองหยิบขึ้นมา
    แต่หยิบยังไงก็ไม่ขึ้น เขาพยายามใช้สองมือดึง มันเริ่มส่งเสียงครืดคราดจากภายใน และแล้วก็มีรอยรูปสี่เหลี่ยมปรากฏค่อยๆแยกออกมาจากพื้นทีละน้อยจนเริ่มแยกออกจากพื้น ปรากฏบันไดให้เดินลงไปต่อ ขณะที่เดินลงไปนั้น แว่วเสียงหนึ่งอันขุ่นมัว
    กล่าวออกมาเป็นภาษารูนว่า

    "วาซเซลายฮา อิดเดล์น(เจ้าต้องการอะไร ผู้บุกรุก)"

    เขาหันมองตามที่มาของเสียง จนได้พบกับเจ้าของเสียงที่มีร่างมหึมานั้นที่นั่งรอคอยเขาอยู่อย่างเงียบๆ แต่ทันใดนั้นมันก็สะบัดปีกและพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ...

             ณ ชานเมืองลาฮาล  ชายแดนของเทอร์เพนไทน์ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายพล้อยแล้ว ลมบนเชิงเทินของป้อมสังเกตการณ์กำลังลมเย็นสบายได้ที่ หมู่นกโบยบินผ่านไปมา ราวกับจะบอกอะไรบางอย่างกับทหารยามที่กำลังหาวหวอดๆและกำลังเข้าประจำหน้าที่ของตน ซึ่งเขาก็ไม่ได้สะกิดใจอะไรนัก จากนั้นสักพักเขาจึงกล่าวกับเพื่อนร่วมงานของเขาอย่างเบื่อหน่ายว่า

    "นี่ อาเบล ทั้งข้าและเจ้าก็ทำหน้าที่นี้อย่างดีมาตลอดในข่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา แล้วได้อะไรทำอะไรบ้างล่ะ ตรวจตรานักเดินทางที่รอนแรมมาจากแดนไกลกับรับพวกที่อพยพภัยแล้งเข้ามา ตอนที่เจ้ามาเป็นทหารเจ้าไม่คิดหรือไงว่าจะต้องมาเป็นนักรบ
    เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำอะไรที่มันน่าตื่นเต้น ใฝ่หาลาภและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ

             แต่นี่มันอะไรกัน งานแบบนี้ความก้าวหน้าก็ไม่มี ไม่แม้แต่จะได้ทำอะไรในหน้าที่ของชายชาตินักรบเลย ข้าเพิ่งจะรู้ว่ายามที่บ้านเมืองสุขสงบ ถ้าได้ทำงานแบบนี้มันช่างน่าเบื่อราวกับไม่มีอะไรจะทำแล้วเลย เห็นทีคงจะถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องหางานใหม่ทำ เจ้าคิดเห็นยังไงบ้างล่ะ บางทีถ้าได้ฟังความเห็นจากเจ้าที่อาวุโสกว่าข้าอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้"

    "ดูเหมือนเจ้าจะเข้าอะไรผิดไปบางอย่างแล้วนะ จริงอยู่ที่ว่างานนี้มันน่าเบื่อสำหรับเวลานี้ แต่เจ้าไม่คิดหรือไงว่ามันก็เป็นหน้าที่ๆสำคัญที่สุดเหมือนกัน ที่จะต้องคอยบอกเหตุร้ายที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้แต่เป็นตอนนี้ก็ตาม หากยามปกติก็จะดูเหมือน
    ไม่มีอะไรสำคัญ แต่ถ้าเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีพวกเราแจ้งข่าว เจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดการสูญเสียมากเพียงใด

             เจ้ารู้ไหมว่าใครจะหน่วยแนวหน้าที่สุดที่ยอมเสียสละเพื่อประเทศหากสงครามเริ่ม ก็พวกเราไง นี่ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ในฐานะชายชาตินักรบแลัวนะ ส่วนการตรวจตราคนและการรับคนอพยพก็เหมือนกัน เป็นการตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมและเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างอาณาจักรต่างๆเลยนะ เจ้าไม่คิดเลยหรือว่านี่เป็นหน้าที่ที่มีเกียรติเพียงใด ลองคิดดูใหม่นะ"

    "อืม...ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล แต่ว่าเมื่อไหร่กันเล่า จึงจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่เจ้าว่า มันไม่ดูเพ้อฝันไปหน่อยหรือ ช่วงที่บ้านเมืองสงบสุขกำลังสงบสุขมานานมากแล้ว อย่างนี้เหตุร้ายที่เจ้าว่ามาอาจจะเกิดขึ้นก็จริงแต่อาจจะนานมาก ข้าว่ารุ่นของเราคงไม่
    ทันจะได้เห็นกระมัง"

    "อย่าคิดเช่นนั้นสิ มูร่า ความแน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ข้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าลอง ดูที่หมู่นกนั่นสิ อย่างกับแตกตื่นหนีอะไรมาบางอย่าง ข้าว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน" คิ้วของเขาขมวดเข้มขึ้นอย่างครุ่นคิด

             ไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็แว่วเสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งมาจากทางนอกเมือง พร้อมกับฝุ่นผงที่พื้นลอยตัวขึ้นเป็นควันคลุ้งลอยขึ้นมาแต่ไกล เสียงนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่สามารถจะเดาได้ว่าเป็นอะไร อาเบลขอกล้องส่องการณ์ทางไกล
    จากมูร่ามาถือไว้ในมือ แล้วส่องดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...

            สิ่งที่เขาเห็น ทำให้เขาหน้าซีดลงในทันที เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาโดยรอบ แล้วรีบคว้าเขาสัตว์มาเป่าเกิดเสียงก้อง เป็นรหัสว่า                        

    "ศัตรูบุกขั้นร้ายแรง รีบระดมพลและอพยพผู้คนโดยด่วน"

             มูร่าเห็นดังนั้นจึงรีบฉวยกล้องส่องทางไกลมาดู ก็พบกับฝูงม้าจำนวนมหาศาลที่ถูกขี่มาโดยคนเถื่อนชนเผ่ามาซันที่ครอบครองดินดินแดนซีกขวาของทวีปอารีเซียแห่งนี้มาช้านาน ทั้งสองดินแดนนี้มิได้ยุ่งเกี่ยวกันมากว่าร้อยปีแล้ว คราวนี้พวกมันได้
    ระดมพลมาเท่าที่ดูก็ไม่น่าจะตํ่ากว่าสองหมื่นนาย และดูจะเป็นเพียงแค่กองหน้าเท่านั้น แต่ทหารที่ประจำทั้งหมดในเมืองลาฮาลมีแค่สามพันนายเท่านั้น ดูท่าว่าเมืองลาฮาลจะเข้าตาจนแล้ว...

    "อ...อาเบล นี่เราจะทำยังไงดีล่ะนี่ กองทัพมโหฬารขนาดนี้เราต้านไม่อยู่หรอกนะ" มูร่าถามอย่างกังวลใจ

    "เราต้องรีบไปแจ้งข่าวร้ายแก่กษัตริย์โดยทันทีเลย เมืองนี้ยังไงๆก็คงต้านทัพได้ไม่เกินสามวันแน่ๆ เราต้องรีบขอกำลังเสริมจากทัพหลวงให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่าจะช้าเพียงใดก็ตาม มูร่า เจ้ามีม้าเร็วใช่ไหม งั้นเจ้ารีบไปเมืองหลวงเลยนะ ส่วนข้าจะร่วมรบอยู่ที่นี่ คอยปกป้องชาวเมือง และถ้าเกิดว่าข้ารอดไปได้ เรามาดื่มฉลองกันนะ ไปเร็ว มูร่า"

    "แต่ข้าอยากอยู่ร่วมรบที่นี่กับท่าน ให้คนอื่นไปได้ไหม"

    "ไม่ได้ เจ้าน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว ตัวเจ้าเองยังหนุ่ม สามารถทำอะไรได้อีกมากมาย ไม่ควรมาเสียอนาคตตรงนี้ เจ้าอย่าลืมสิทหารที่ประจำการที่นี่ล้วนชำนาญการรบ อย่างน้อยก็ต้องไม่เสียท่าโดยง่าย เชื่อข้าเถอะมูร่า รีบไป เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์"
    ว่าแล้วพลางตบหลังเร่งมูร่าให้รีบลงไป แล้วก็ส่องกล้องดูต่อ พลางเอ่ยรำพึงกับตนเองว่า

    "ข้าขอมอบชีวิตให้แก่ผืนดินนี้ ใช้พลังขับไล่พวกมาซันสักครา..."

    จากคุณ : sivalegend - [ 15 ต.ค. 46 23:47:02 A:203.144.136.9 X:203.144.136.48 ]