*~* สุรางค์เเห่งศิลา*~*



    บทนำ

    เรื่องสั้น...

    รัศมีแข..กระจ่างกลางราตรีประดับดาริการะยิบยับ..
    แสงโสมนวลเย็นสาดส่องลงสู่เบื้องล่าง..ฉายฉาบยอดปราสาทศิลาทั้งสามองค์ ซึ่งทอดเงาซ้อนบนพื้นหินตัดแข็งกระด้างด้าน ...พริ้วพายรำเพยพัดหมู่แมกไม้พลันโอนเอนวูบไหว

    หากเงาทะมึนแห่งองค์ภวาลัยยังตระหง่านมั่นคง...

    เสานางจรัญเรียงรายริมทางแขวนประทีบสำริดช่วงโชติ..ปลายเปลวเพลิงเต้นระริกตามแรงลมที่นำพากลิ่นกำยาน มาจากเทวาลัยศิลาองศ์ประธาน..ล่องลอยไปจนถึงโคปุระมุข..ซุ้มประตูเด่นสง่าริมกำแพงซึ่งก่อด้วยหินทรายสีชมพู เฉกเช่นเดียวกับปราสาทองค์น้อยทั้งสาม

    เสียงฝีเท้าก้าวย่างบนทางหินที่เต็มไปด้วยกลีบลั่นทมนวลโปรยปราย คล้ายกับปูลาดด้วยพรมสีขาวทอดยาวสู่ภวาลัยองค์กลาง.

    .ร่างของพราหมณ์ชราในอาภรณ์แห่งทวิชาติ..อันบริสุทธ์สูงส่ง ขมวดรัดเกษาเผือดโพลนด้วยห่วงทองคำ พาดผืนไหมบางเหนือบ่า..พันภูษาสีขาวยาวเพียงเข่าทิ้งชายยาวพับริ้วพริ้วไหวยามขยับกาย..

    ในวงพักตร์รูปเรียวที่ปรากฏริ้วรอยแห่งกาลเวลา..นิ่งสงบคล้ายผิววารีอันเยียบเย็น..หากดวงเนตรยังมิได้เสื่อมฝ้าฟางไปตามวัยอันล่วงเลย..ทอดไปยังทวารน้อยหน้าปราสาทองค์ประธาน..ประหนึ่งกำลังเสาะหาสิ่งใดที่ซ่อนอยู่ในเนื้อศิลาทรายเนียนนั้น



    แสงจันทร์สว่าง..เผยให้เห็นความงดงามแห่งองค์ปราสาทอันวิจิตรทั้งสาม สลักเสลาด้วยศิลาทรายสีชมพูเข้ม.ละเอียดลออปราณีต กระทั่งลวดลาย เครือเถาบุปผาร้อยรัดเป็นมาลัยสายยาวบนเสาประดับกรอบทวารารองรับทับหลัง.

    .แผ่นศิลาบรรจงสลักเรื่องราวแห่ง องค์ศิวะเทพและอุมาเทวีชายา บนสรวงสวรรค์ ถัดไปคือชั้นหลังคาซ้อนเหลื่อมลดหลั่นประดับด้วยปราสาทองค์เล็กๆ บนยอดสลักศิลาเป็นกลีบกลศะช่อบัวตูมโดดเด่น..

    …ภวาลัยศิลา..สร้างถวายแด่องค์โลกนาถ..พระผู้สถิต ณ ไกลลาศบรรพต เหนืออาสน์แห่งโคนนทิ...พระศิวะเทพ..

    โดย ผู้อุทิศ คือ กมฺรเตงอัญวระคุรุ..ยัชญะวราหะ...

    และเจ้าของนามนั้น ราชคุรุแห่งองค์วรมัน กำลังก้มเกศค้อมบูชาเบื้องหน้าเทวาลัย..ยกหัตถ์ประณตน้อม..นมัสการ

    หมอบกรานลงแทบพื้นศิลา...ด้วยจิตภักติศรัทธาประหนึ่งโคนนทิ..ข้าเบื้องบาทเเห่งองค์เทวะ

    “โอม......”

    ก่อนที่จะสาวเท้าย่างไปบนขั้นบันไดบนฐานสูง..ค่อยๆก้าวไปยังปราสาทองค์กลาง..



    ศิลาทรายหยาบถูกตัดจากเทือกเขา...มาขัดกลึงเกลาจนคลายความกร้านกระด้างด้านเฉกเนื้อหิน..ก่อนที่จักมาสลักลงลายอย่างปราณีต..เป็นรูปอันงดงามประดับองค์ศิวาลัย



    อัปสราสุรางค์ริมบานทวารเบื้องขวาแห่งปราสาทองค์ประธานนางนี้ก็เช่นกัน....

    สมณะชราใช้เพียงปลายนิ้วเรียวสัมผัสไล้บนเรือนกายแห่งสุรางคนา..ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆบนวงพักตร์เรียบนิ่ง



    ดรุณีเทวตา..ทรงพัสตราภรณ์วิจิตร สลักละเอียด คล้ายเนื้อภูษาบางเบา ทับทบทั้งชายไหว ร่างแบบบางประดับด้วยรัตนมณี..และสายมุกดา ดวงหน้างามละมุนหลับเนตรพริ้มอิ่มสุขแห่งสรวงสวรรค์ รัดเกล้าด้วยลูกปัดซ้อนมาลัยบุปผา..ในหัตถาเรียวเกี่ยวก้านปทุมมาเบ่งบาน..คลี่แย้มคล้ายรอยสรวลบนพักตร์อนงค์นาง..

    …รอยรูปสุรางค์สลักบนเนื้อศิลา..พิลาสเลอลักษณ์..คลับคล้ายได้เค้าพักตร์มาจากขัตติยะนรีนางหนึ่ง..

    ….พิศโฉมเพียงเพ็ญพักตร์…นวลนงค์ลักษณ์เเก้วกัญญา..

    ราชคุรุ..ทอดถอนหทัยยาว..ตรงริมดวงเนตรมีหยาดน้ำใสเอ่อซึม..

    “ชาณวีร์…” นามเเห่งนางผู้เลิศลักษณาเพียงเพ็ญ

    มหาพราหมณ์รำพึงเเผ่ว..คล้ายเอ่ยกระซิบ..ต่ออัปสรานางนั้น ท่ามกลางความสงัดเงียบเเห่งรัตติกาล

    ..ข้าสลักจำลองเเต่ร่างเจ้าไว้ ในเนื้อศิลา…เเลจักจารรอยสิเน่หา ลง กลางหทัย ..

    …..

    “ท่านราชคุรุ…” เสียงทุ้มห้าวของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น..ประหนึ่งดึงสมณะชราออกมาจากภวังค์

    “ดึกดื่นนักเเล้ว…คืนเรือนเถิด”

    ราชอาจาริยะมิได้หันกายไปทางต้นเสียง ร่างชรายังสงบนิ่ง ..เพียงปรายสายตาไปยังบุรุษผู้ถือคบไต้คอยอยู่ด้านหลัง

    “ติสสะ..ข้ายังมิอยากกลับ”

    “ข้าเกรงว่ายิ่งดึก..น้ำค้างหนาวจักทำให้ท่านล้มเจ็บอีก”

    ผู้เป็นศิตย์กล่าวด้วยความห่วงใย..เนื่องจากราชคุรุพึ่งสร่างไข้มามินานหากโดนลม..ครานี้อาจเจ็บหนักกว่าเดิม

    “เเล้วเช้า วันพรุ่งท่านจักต้องเข้าวัง..เพื่อถวายอักษรพระราชกุมาร”

    “หึ...อย่าห่วง..ดู สิ ข้าก็ยังเเข็งเเรงดังเดิม”

    ราชพราหมณ์สูงวัยในอาภรณ์บริสุทธิ์เเสร้งฝืนหัวเราะเเหบพร่า..ก่อนที่จะค่อยๆเดินลงมาตามบันไดหินเตี้ยยังที่ที่ ศิตย์ติสสะคอยอยู่..ร่างสูงเกล้าขมวดมวยสูง เปลือยอกกว้าง ผิวสีเข้มจัดตัดกับผืนผ้านุ่งสีครามอ่อนเพียงเข่า ในมือถือคบไต้ เปลวไฟเต้นวูบวาบสะท้อนสว่างพอที่จักฉายให้เห็นดวงหน้าคมคายเฉกชาวทมิฬเทศ..ทางใต้เเห่งภารตะวรรษ

    “คุรุ…” ติสสะเอ่ยถามเบาๆ ทำให้ผู้ที่เดินนำไปตามทางปูหิน..ชะลอฝีเท้า

    “กว่าสี่สิบปีเเล้ว…ท่านยังมิลืมพระธิดาชาณวีร์อีกหรือ”

    ร่างที่ยังคงเค้าความสูงสง่าน่าเคารพ…มีเพียงรอยยิ้มบางผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ก่อนที่จะเอ่ยตอบเบาเเหบพร่า คล้ายกับเสียงลมเเผ่วโผย

    “มิมีวันใดที่ข้าจักลืมนางได้..”

    ความสั้น..ราวกับจะกลั่นออกมาจากเบื้องลึกในหทัย..บาทเปลือยเเห่งสมณะย่างย่ำลงไปบนกลีบมาลาที่ปรายโปรยเหนือพื้นศิลาเรียบเยียบเย็น..

    ..จักมีมนุษย์คนใดลืมความผิดบาป ที่ตนได้กระทำไว้เเก่ผู้เป็นที่รักได้หรือ..



    ซุ้มทวารโคปุระเล็กเเคบ..ร่างชราที่ยังคงเค้าสูงสง่าเเต่ครั้งยังเป็นมาณวกะ.พราหมณ์หนุ่ม จึงต้อง

    ก้มเกล้าค่อยลอดผ่านไปช้าๆ…ตามด้วยติสสะผู้ศิตย์ซึ่งกำลังชูไต้ส่องเเลทางเบื้องหน้า

    “คุรุ ..การที่พระธิดาสิ้นพระชนม์..นั่นหาใช่ความผิดของท่านไม่..”

    “ติสสะ…เพลานั้นเจ้ายังเยาว์นักจักไปรู้เรื่องได้อย่างใด..”

    ราชอาจาริยะ..เเบมืออันเหี่ยวย่นทั้งสองข้าง ให้กระทบเเสงจันทร์ พร้อมกับเอ่ยรำพึงเบาๆ

    “ที่ชาณวีร์..ต้องมีอันเป็นไปเช่นนั้น..ก็เพราะข้าต่างหากเล่า”

    ผู้ศิตย์ได้เเต่ทอดถอนใจยาว …ตั้งเเต่เหตุการณ์ครานั้น..ราชคุรุคล้ายกับจมอยู่ในห้วงเเห่งความเศร้าโศก ปล่อยให้ ความอาดูรเทวษ เข้าเกาะกินหทัยจนฝังลึก..ยากเกินถ่ายถอน



    …มารู้รักเมื่อสายไป..ดวงหทัยจึงร้าวราน…

    บารายน้อยด้านนอกปราสาท ก่อขอบด้วยศิลาทราย สลักเสลายอดบันไดเป็นเศียรนาคาเเผ่รัศมีพังพานทอดขนดยาวเป็นขอบสระเหลี่ยม บนผิววารีฉาบเเสงนวลละมุนจากจันทราสะท้อนพรายระยับคล้ายทาทอง เงาเเห่งสมณะราชคุรุ ปรากฏสลัวรางอยู่บนเเผ่นน้ำ ผู้ชราหยุดยืนนิ่งทอดสายตามองร่างของตนในสระน้อย

    “ข้าอยากหยุดพักสักครู่..” ราชอาจาริยะเเห่งองค์วรมันเอ่ยเบาๆก่อนที่จะทิ้งกายนั่งลงบนขอบสระ ศิตย์ผู้ตามจึงเสียบไต้ไว้ข้างเสาศิลาสูง เเล้วทรุดกายลงเเทบเบื้องบาทคุรุของตน

    “หลายสิบปีมานี้ข้าคงจักชราลงไปมากนัก..ดูเถิด เพียงเเค่นี้ข้าก็ยังรู้สึกเหนื่อยยิ่ง”

    “เป็นเพราะคุรุเพิ่งสร่างไข้มากกว่ากระมัง…”

    สมณะชราลูบเเขนอันเหี่ยวย่น..ทอดตาเเลลงในน้ำ..เงาจันทร์สะท้อนนวลสวย..เห็นเส้นผมบนขมวดมวยเกล้าเเละคิ้วโค้งล้วนเเต่หงอกโพลน ..กายร่างสูงคลายความสง่าผ่าเผยไปตามกาละเวลาล่วงเลย

    .. ในห้วงความผันเเปรเเห่งกาล..ย่อมมิมีสิ่งใดเป็นนิรันดร์..

    ราชพราหมณะ..ละสายตาจากผิวบาราย ไปยังยอดปราสาทศิลาทั้งสาม…กระเบื้องทองโดดเด่นในเเสงจันทรากระจ่าง บนใบหน้าคล้ายมีรอยยิ้มน้อยๆคลี่บาง..ก่อนที่จะหลับเนตรลงอย่างอ่อนล้า

    “คุรุ….” ผู้ศิตย์เอ่ยกระซิบ..ทว่าราชอาจาริยะมิได้เอ่ยตอบ มีเพียงเสียงทอดลมหายใจยาว

    ..เนิบช้าคล้ายลมพริ้วเเผ่วโผย..ท่ามกลางความสงัดเงียบเเห่งรัตติกาล



    *****************************

    แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 46 21:29:39

     
     

    จากคุณ : อชันฏา - [ 16 ต.ค. 46 00:51:31 ]