รองเท้าสยอง..(สงวนสิทธิ์คนขวัญอ่อนห้ามเปิดนาจะว่าไม่เตือน)

    คุณเคยเห็นร้านแผงลอยตามข้างถนนย่านที่ผู้คนขวักไขว่ไหมคะ? ร้านที่นำเอารองเท้าหนังมือสองสามหรือมากกว่านั้นมาขายในราคาย่อมเยาว์และสามารถเจรจาต่อรองได้ พอที่ผู้มีรายได้ปานกลางถึงค่อนข้างน้อยที่อยากมีรองเท้าหนังแท้ใส่สักคู่จะจับจ่ายได้

    เพื่อนสนิทร่วมห้องพักของฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันยังจำวันแรกที่เธอหยิบเอารองเท้าบู๊ทหนังสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ประทับตรายี่ห้อหรูจากค่ายยุโรป คุยโอ่ว่าเธอสามารถซื้อมันมาได้ในราคาไม่กี่ร้อยและมันช่างพอเหมาะพอเจาะกันเท้าของเธอเหลือเกิน ซ้ำความกลางเก่ากลางใหม่ของมันยังทำให้ดูว่ามันเป็นรองเท้าคู่ชีพของเธอมานาน และไม่ได้เอี่ยมอ่องเตะตาจนคนอื่นๆหมันไส้

    หลังจากเธอทะนุถนอมทำความสะอาดและวางมันไว้บนชั้นวางรองเท้า แม้เพียงคืนแรกฉันก็สัมผัสได้ถึงสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในห้องพัก

    ประมาณตีสองคืนนั้นฉันที่นอนบนเตียงด้านนอกส่วนเพื่อนนอนด้านในติดผนัง ท่ามกลางความวิเวกยามดึกสงัดฉันได้ยินเสียงเหมือนมีใครใส่รองเท้าหนักๆเดินย่ำไปมาทั่วห้องพัก

                                          ตึบ

                                          ตึบ

                                          ตึบ

    ในความมืดสลัวทำให้มองไม่เห็นว่าใครมาเดิน แต่เสียงย่ำเท้ายังคงดังก้องกังวาลในความมืด มองไปยังเพื่อนสาวก็เห็นเธอนอนหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกหรือได้ยินอะไรเหมือนฉัน จะว่าโจรผู้ร้ายบุกเข้าห้องในยามวิกาลก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะห้องพักของฉันอยู่ชั้น 4 และตรงบันไดขึ้นก็มียามเฝ้าอย่างดี หน้าต่างระเบียงก็ออกสูงซ้ำยังมีเหล็กดัดป้องกันอีกชั้น

    แต่เพื่อความแน่ใจฉันค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดสวิสไฟที่หัวเตียง เมื่อไฟสีเหลืองนวลสว่างขึ้นเสียงนั้นหายไป และไม่ปรากฏว่ามีบุคคลที่สามภายในห้อง คราวนี้ฉันเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วห้อง แสงไฟคงไปแยงตาเพื่อนสาวเธอสลึมสลือถามว่าอะไร แต่ในเมื่อมันไม่มีอะไรฉันจึงไม่ได้เล่าให้เธอฟังปิดไฟนอนต่อ

    และในคืนต่อมาก็เกิดเหตุการณ์คล้ายเมื่อคืนวาน เสียงคนย่ำเท้าในยามวิกาลดังกวนโสตประสาทฉันจนไม่สามารถหลับลงได้ ฉันเปิดไฟและปลุกเพื่อนขึ้นมาสอบถามว่าได้ยินเสียงอะไรบ้างไหม เธอว่าไม่ได้ยินอะไรเลย บางทีฉันอาจทำงานเหนื่อยเกินไปจนประสาทหูฟั่นเฟือน

    เช้ารุ่งขึ้นที่เป็นวันหยุดแต่ฉันต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโวยวายของเพื่อน เธอหาว่าฉันเอารองเท้าคู่ใหม่ของเธอมาใส่เล่นแล้วไม่ยอมเก็บไว้บนชั้น เพราะพอตื่นมาเธอก็เห็นมันอยู่กลางห้อง ฉันปฏิเสธลั่นแต่ดูเธอจะไม่เชื่อเอาซะเลย

    “เราไม่ได้หวงหรอกนะ แต่ถ้าอยากใส่ก็บอกยืมกันดีๆก็ได้ แล้วช่วยเอาไปไว้ให้เป็นที่เป็นทางหน่อย ไม่ใช่มาวางเกะกะอย่างนี้”

    เหตุการณ์การเคลื่อนที่เองได้ของรองเท้าทำให้ฉันนึกหวาดๆ เช้านั้นฉันถึงกับออกปากเตือนเพื่อน
    “เราว่า รองเท้าคู่นี้มันยังไงๆ นะ เราไม่ได้เอามันมาวางที่นี่จริงๆ ถ้ายังไงเอาไปคืนร้านเขาได้ไหม”

    “บ้าเหรอ ใครเขาจะรับคืน แล้วเราก็ไม่เห็นว่ามันประหลาดตรงไหน” ว่าแล้วเพื่อนสาวของฉันก็ประเดิมเจ้ารองเท้าหนังคู่ใหม่ของเธอออกไปเดินช็อปปิ้งกับฉันในวันหยุดนั้นเอง

    แล้วฉันก็ได้เห็นสิ่งผิดปกติในเวลาต่อมาระหว่างที่เดินดูของตามร้านที่เรียงรายข้างถนนอยู่ๆเพื่อนสาวของฉันก็เดินออกห่างฉันไปเรื่อยๆ เธอมุ่งหน้าออกถนนใหญ่ที่ดารดาษไปด้วยรถรากำลังเร่งเครื่องหนีไฟแดงด้วยความเร็วสูง ตอนแรกฉันนึกว่าเพื่อนจะเดินไปดูอะไร แต่เมื่อเห็นเธอก้าวเท้าสู่พื้นถนนเหมือนคนล่องลอย ฉันทิ้งเสื้อที่กำลังดูอยู่วิ่งไปฉุดมือเพื่อน ร้องเรียกลั่น

    “น้อย ทำไมเดินออกมาแบบนี้ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” เพื่อนสาวสะดุ้งเฮือกเหมือนเพิ่งได้สติ

    “ว่าอะไรนะปลา เราไม่ได้เดินออกมานะ” ดูหน้าตาเพื่อนเหมือนไม่รู้อะไรจริงๆ เราซักถามกันได้สักครู่เธอก็บอกเพียงว่าจำได้ว่ากำลังเลือกเสื้อกับฉันอยู่แล้วก็มาสะดุ้งเอาตอนที่ฉันเรียกนี่แหละถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเดินออกถนน

    “เราว่ามันแปลกๆนะน้อย” ฉันตั้งข้อสังเกตแต่ดูเหมือนเพื่อนซี้จะไม่สนใจอะไรเลย และเมื่อกลับมาจากเที่ยวในคืนนั้นเองที่ฉันยังได้ยินเสียงคนเดินย่ำเท้าไปทั่วห้อง

    ในบรรยากาศลางเลือนคล้ายฝัน ฉันรู้สึกราวกับว่าห้องทั้งห้องอัดแน่นไปด้วยหมอกควัน เย็นยะเยือกชวนขนหัวลุก มือเท้าและร่างกายทุกส่วนหนักอึ้ง ลำคอแข็งและแห้งผาดไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้ ในภวังค์นั้นฉันเห็นเหมือนผู้หญิงเดินย่ำเท้าวนเวียนไปมา

                                      ตึบ

                                      ตึบ

                                      ตึบ

    แรกที่มองนึกว่าเป็นเพื่อนสาวลุกขึ้นมาใส่รองเท้าโปรดคู่ใหม่เดินเล่นกลางดึก แต่เมื่อลองพิจารณาจึงเริ่มประจักษ์ว่าเธอที่กำลังเดินอยู่นั้นไม่ใช่เพื่อน

    น้อยเพื่อนฉันตัดผมซอยสั้นอย่างแฟชั่นนิยมญี่ปุ่น ส่วนผู้หญิงที่เดินไปมาอยู่นี้ผมยาวสยาย ในสภาวะที่เหมือนร่างกายเป็นอัมพาตสมองพยายามสั่งการปากให้เปล่งเสียงถามไปว่าใคร แต่ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากอันแห้งเหือดของฉันเลย

    หากแต่หญิงสาวผู้มาเยือนในยามวิกาลนั้นดูเหมือนจะรับรู้ ฉันเห็นเธอหยุดเดิน ในความสลัวลาของหมอกสีเทา เธอหันข้างให้ฉัน เสี้ยวหน้าที่เห็นนั้นซูบผอมโหนกแก้มนูนอย่างชัดเจน ดวงตาเป็นสีม่วงคล้ำลึกโหลดูดุดัน ใบหน้าเรียวยาวเป็นสีขาวซีดเหมือนมือที่แช่น้ำนานๆในหน้าหนาว ริมฝีปากสีแดงคล้ำ

    เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเธอผู้นั้นไม่ใช่แม่น้อยเพื่อนฉันอย่างแน่นอน แม้ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหวแต่สมองฉันทำงานเร็วปรื๋อ คิดไปต่างๆนานา

    ต้องเป็นเธอคนนี้แน่ๆที่ทำเสียงดัง ตึบๆ ทุกคืน

    ต้องเป็นเธอคนนี้แน่ๆที่เอารองเท้ามาวางไว้กลางห้อง

    ต้องเป็นเธออีกเช่นกันที่ทำให้เพื่อนฉันเดินออกไปกลางถนนจนเกือบถูกรถชน เธอเป็นใครและต้องการอะไร? เธอไม่ใช่คนใช่ไหม? อย่ามารังควานฉันกับเพื่อนอีกเลย แล้วฉันจะทำบุญไปให้ ไปนะไปฉันกลัวแล้ว

    ถามกลางคำพูดมากมายในสมอง ร่างนั้นค่อยๆเปล่งเสียงยานเย็นตอบกลับมาในความมืด เธอไม่ได้ขยับปากสักนิด แต่เสียงที่ออกมานั้นโหยหวน วังเวง เหมือนดังมาจากที่ไกลๆสักแห่ง

    “ช้าาาาาาาน อยากมีเพื่อน ช้าาาาาาาน จะเอาตัวน้อยไป  เขาจะไปอยู่กับช้าาาาน เธออย่ายุ่ง ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”

    ท้ายประโยคที่เป็นการข่มขู่เธอหันมาหาฉันเต็มหน้า ดวงตาคู่ดุจ้องเขม็งมาที่ฉัน และเหมือนกับว่าเธอจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้มากขนาดเห็นหน้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้หน้าซูบผอมของเธอเริ่มอืดขึ้น พองขึ้น เหมือนลูกโป่งถูกอัดลม ฉันพยายามหวีดร้องแต่ดูเหมือนร่างกายจะทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากต้องจ้องไปที่ร่างนั้นราวถูกบังคับ

    เส้นเลือดสีม่วงบนหน้านั้นโป่งพอง ใบหน้าเธอบิดเบี้ยว ดวงตากลอกกลิ้งไปมาพร้อมเสียงดุดัน

    จากคุณ : พินทุอิ - [ 17 ต.ค. 46 00:43:47 ]