ตามสัญญาครับ ท่อนจบของตอนนี้ ลงให้ในวันศุกร์ ขออภัยที่อาจสั้นไปสักหน่อย แต่จำเป็นที่ต้องขึ้นเป็นกระทู้ใหม่ครับ
เสี่ยวซาอาศัยอยู่กับหลวงจีนกระต่ายน้อยเป็นเวลาครึ่งเดือนจนอาการบาดเจ็บทุเลาลงเจ็ดแปดส่วน
การสนทนาธรรมกับหลวงจีนทุกวันทำให้เขามีจิตใจอ่อนโยน แจ่มใส ได้สัมผัสถึงความสุขแห่งความสงบ ความใกล้ชิดธรรมชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ในอารมณ์อันไม่ดีไม่ร้าย ไม่ต่ำไม่สูงนี้ เสี่ยวซาบังเกิดความเมตตาต่อสรรพสัตว์ร่วมโลกและได้ตัดสินใจแล้วว่าหากมีโอกาสหวนคืนสู่ยุทธภพอีกคราก็จะอโหสิต่อจื่ออิงและคนทั้งปวงที่เคยทำกรรมกับเขา และตั้งหน้าตั้งตาช่วยเหลือผู้คนอย่างหลวงจีนกระต่ายน้อย ซึ่งการกระทำนี้ทำให้หลวงจีนชมว่าเสี่ยวซาอาจบรรลุถึงระดับจิตใจที่สูงกว่าตนเองเสียอีก
แต่แล้ววันหนึ่งหัวหลินก็ได้รับสารจากนกพิราบ หลังจากเปิดออกดูจึงแจ้งให้เสี่ยวซาทราบว่าตนต้องรีบไปยังบู๊ตึ๊ง เพื่อทำธุระเรื่องคดีของเตียหงีและเสี่ยวเง็ก หากเสี่ยวซาอยากศึกษาธรรมต่อก็สามารถเดินทางไปพำนักยังเส้าหลินเทียนซานชั่วคราว จากนั้นมอบแผนที่ พร้อมค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้
ข้ากับเจ้าแม้อยู่ร่วมกันในเวลาอันสั้นทว่ากลับถูกชะตาไม่น้อย ข้าจะสอนวิชาโคจรลมปราณ เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ให้ ทั้งนี้เป็นด้วยเห็นว่าเจ้ามีแววปัญญาสามารถบรรลุหลักวิชาขั้นสูงได้อีกประการหนึ่ง หัวหลินไต้ซือ กล่าว
เสี่ยวซารู้สึกว่าเคล็ด เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง นี้เป็นวิชาสูงสุดของวัดเส้าหลิน ซึ่งถือเป็นต้นตำรับวิชายุทธทั้งหมดในแผ่นดิน จึงอาจเรียกเป็นวรยุทธสูงสุดก็ว่าได้ ตนเองมีฐานะต่ำต้อยไม่คู่ควรร่ำเรียนจึงเกิดความเกรงอกเกรงใจกล่าวปฏิเสธอ้อมๆว่า ไต้ซือกับข้ายังรู้จักกันไม่นาน หากข้ามีธาตุแท้เป็นคนเลวทรามนำวิชาของท่านไปใช้ในทางชั่วร้ายไม่เท่ากับเป็นการยื่นมีดให้โจรนำไปฆ่าฟันผู้อื่นหรือ?
หลวงจีนหัวหลินฟังดังนั้นกลับหัวร่อจากนั้นกล่าวว่า "เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง เป็นวิชาฝีมือของสถาบันสงฆ์ ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกับคำสอนของพุทธองค์ คือขอเพียงเป็นบุคคลที่โลภโมโทสัน และมีจิตใจชั่วร้ายแล้ว ได้ไปกลับหามีประโยชน์อันใดไม่ และมิเพียงไม่มีประโยชน์ยังกลับจะเป็นโทษจนถึงแก่ชีวิตอีกด้วย!"
เป็นเช่นนั้นเชียว!? เสี่ยวซาตกตะลึง
อืม... แต่นั่นเป็นกรณีที่บุคคลเหล่านั้นดันทุรังจะฝึกวิชาโดยยังมีกิเลสในใจเท่านั้น หลวงจีนกระต่ายน้อยลูบเครา วิชาของพระพุทธองค์เป็นวิชาที่ใช้ลดละกิเลส ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ดังนั้นหากผู้ฝึกวิชานี้ฝึกโดยมีความหวังต้องการเป็นใหญ่ หรือเก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน เท่ากับเป็นการต่อต้านวิชา นานไปจะเกิดเลือดลมตีกลับ ลมปราณแตกซ่านได้
ดังนั้นแม้ เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง จะเป็นวิชาอันดับหนึ่ง แต่เส้าหลินยังคงต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ฝึกกันเฉพาะคนที่ได้รับการขัดเกลาจิตใจแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราหวงวิชา แต่ห่วงว่าหากคนโลภนำไปฝึกจะเป็นภัยต่อตนเองต่างหาก
ในทางตรงกันข้าม หากคนที่ฝึกมีจิตใจเมตตาการุณย์ หรือมีกิเลสไม่รุนแรงเกินไป เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง จะช่วยกล่อมเกลาให้คนผู้นั้นมีระดับจิตใจสูงขึ้น ถือเป็นการฝึกธรรมะอย่างหนึ่ง ข้าเห็นว่าเจ้ายังมีความบริสุทธิ์สะอาด สามารถฝึกวิชานี้ได้จึงได้นำมาสอนสั่ง
หลวงจีนกระต่ายน้อย เริ่มสอนเคล็ดวิชา โดยอธิบายว่า
เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง เป็นวิชาที่ต้องหลอมรวม กาย และ จิต เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กาย และ จิต ต้องบริสุทธิ์ จึงจะมีอานุภาพสามารถใช้ออกได้ดั่งใจนึก หลักในการฝึกวิทยายุทธ แนวทางพุทธ มีข้อหลักๆ อยู่ 3 ข้อ
ข้อแรก ผ่อนคลาย
ข้อสอง ความสงบ เป็นสมาธิ
และ ข้อสาม ความเป็นธรรมชาติ
เมื่อผ่อนคลาย จิตใจไม่ร้อนรน สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆได้ ก็จะเกิดความสงบ เป็นสมาธิ เมื่อมี สมาธิก็จะเกิดพลัง และ สามารถนำพลังมาใช้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และ เมื่อถึงจุดนั้น ก็จะเกิด ปัญญา ผ่องใส สามารถ เข้าถึง ธรรมชาติ ล่วงรู้ และ เข้าใจสรรพสิ่งทั้งมวล และ เมื่อนั้นก็จะ บรรลุถึงขั้นสุดยอด ไร้ผู้ต้านทาน
เสี่ยวซาฟังดูเห็นว่าหลักการนี้ไม่คล้ายวิชายุทธทั่วไปที่เน้นการ ฝึกพลังกาย ความรวดเร็ว พื้นฐานแต่ละกระบวนท่าก็ล้วนแต่เป็นการทำร้ายทำลายศัตรูจากภายนอก หากวิชาที่หลวงจีนสอนกลับเป็นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง เอาชนะศัตรูภายในตนเองคืออารมณ์ทั้งปวง ทั้งด้านลบ และด้านบวก
เขารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาผู้คิดค้นวิชานี้ที่สามารถเอาธรรมะมาประยุกต์เป็นพลังยุทธ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้วิชาที่ไม่เน้นการต่อสู้กับคนอื่นนี้ จะเอาชนะใครได้อย่างไร?
เมื่อเขาถามตามที่สงสัย ไต้ซือหัวหลินจึงอธิบายต่อว่า หลักธรรมของพระพุทธองค์ไม่ใช่วิชาที่ใช้เอาชนะผู้อื่น แต่เป็นวิชาที่ใช้เอาชนะตนเองซึ่งยังยากกว่าหลายเท่า ข้าอาจกล่าวได้เพียงว่า เมื่อจิตว่าง กายว่าง มองสรรพสิ่งเป็นเช่นกันหมดแล้ว ไม่ว่าผู้อื่นจะมีวรยุทธพิสดารเพียงไรล้วนไม่มีความหมาย
ในขั้นต้น ข้า จะสอนเฉพาะ การเดินลมปราณ ให้เจ้า ส่วนกระบวนท่านั้น หากเรามี วาสนา คงได้ศึกษาร่วมกัน เพราะข้าเองก็ยังไม่สำเร็จวิชานี้
แต่ทว่าเพียงการเดินลมปราณ สามารถนำไปใช้ เพิ่มพูนพลัง รักษาสุขภาพ และ ยังสามารถใช้ป้องกันตัวได้ หากคู่ต่อสู้ของเจ้าหาใช่ผู้เยี่ยมยุทธ
การเดินลมปราณ ขั้นแรก ต้องกำหนด ลมหายใจเข้าออก ตัดความคิดอย่างอื่นออกให้หมดสิ้น และ มีสติรับรู้ทุก ลมหายใจเข้าออก ต่อจากนั้น ให้รวบรวมความรับรู้ทั้งหมด เคลื่อนย้าย ไปตามจุดต่างๆ ทั้งหมด 7 จุด คือ อิ้นถาง หนีอ้วน อี้เส่น เจียเป้ย เหว่ยลี๋ ตันเถียน ซานจง และ ย้อนกลับมา อี้ถาง อีกครั้ง สร้างลมปราณหมุนวนทั่วร่าง ต้องอย่าลืมว่า ต้องกำหนดจิตรับรู้ทุกจุดที่พลังหมุนเวียน จากนั้น ก็รวมรวมสมาธิตามเน้นจุดต่างๆที่กล่าวมาอีกครั้ง ในขณะที่ จิตต้องรับรู้ลมปราณที่โคจรหมุนวนอยู่รอบๆ ร่างพร้อมกันไปด้วย
ข้า ขอให้เจ้า โคจรพลัง ตามที่ว่า มานี้อย่างเป็นประจำ เมื่อเจ้าฝึกถึงขั้นหนึ่ง ไม่ว่า นั่ง นอน เดิน พูดคุย หรือ กินอาหาร ก็สามารถเดินลมปราณพร้อมกันไปได้ด้วย
หลวงจีนกระต่ายน้อยนำเสี่ยวซาฝึกซ้อมโคจรพลัง พร้อมทั้งชี้แนะจนจำพื้นฐานได้ขึ้นใจแล้วจึงลาจากไปบู๊ตึ้ง
เสี่ยวซาซาบซึ้งในบุญคุณของหลวงจีนยิ่งนัก เขาตั้งใจเรียนวิชาเป็นผู้ด้วยจิตว่างต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งร่างกายหายดีแล้วจึงออกเดินทางไปศึกษาธรรมต่อที่วัดเส้าหลินเทียนซานตามคำแนะนำ
ก่อนจากไปเสี่ยวซาได้เหลียวหลังกลับมามองเขาบู๊ตึ้งอีกครั้งหนึ่ง
คดีจื่ออิงคงทำให้เขากลับขึ้นไปบนนั้นไม่ได้อีกแล้ว... ความทรงจำดีๆในอดีตทำให้เขารู้สึกเศร้าเสียใจบ้าง
ปรมาจารย์เตียหงี ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไร หรือข้าจะไปอยู่ไหน ข้ายังคงนับถือท่านเป็นอาจารย์เสมอ... เสี่ยวซากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วคารวะยอดเขาบู๊ตึ้งทีหนึ่งจึงเช็ดน้ำตาแล้วเดินทางจากไป
* หลักการเดินลมปราณขั้นต้น ดัดแปลงมาจากหนังสือของ ดร. สุวินัย
** หลักธรรมที่ใช้นำมาจากของท่านพุทธทาส โดยทำการดัดแปลงออกมาเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่ตรงกับของเดิม
ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 46 11:47:10
แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 46 11:43:39
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
17 ต.ค. 46 10:33:37
]