ความฝันของคนวัด

             เวลาสักสี่ทุ่มเศษ  ภิกษุหนุ่มนั่งพับเพียบ ผ้าสังฆาฏิ์พาดบ่าซ้าย  สายตาทอดต่ำ  มือประสานกันบนตัก  แสงสว่างจากเทียนไขสองเล่มทำให้เห็นพระพุทธรูปบนแท่นขลังน่าเกรงขามยิ่งนัก  ปากพึมพำภาษาบาลีอันเป็นบทสวดมนต์นานเกือบชั่วโมง  สิ้นสุดการสวดมนต์ประจำวันจึงกราบพระสามครั้งแล้วดับธูปเทียน   พาดจีวรกับสังฆาฏิ์บนราวฉัตรทันต์สูงเหนือหัวศอกกว่า ๆ  แล้วเอนกายลงนอน    ภายในห้องเล็กแคบเหมาะกับสมณะสารูปไม่มีอะไรนอกจากอัฐบริขาร  รอบกายมีเพียงกลิ่นธูปจาง ๆ  ความเงียบ  ความมืด  และความคิด

             ในความมืด   สรรพสิ่งนิ่ง  ความคิดเคลื่อนไหว  จิตอันไร้พลังควบคุมแล่นไปตามอิฐารมณ์  ตามแรงปรารถนาข้างใน   การดำรงสมณเพศอย่างเคร่งครัดเหมือนจะเป็นความปรารถนาสูงสุดของชีวิตแต่ไม่ใช่  ในส่วนลึกของความรู้สึกกับบางเวลาที่อยู่กับตัวเองมันบอกเช่นนั้น   ภิกษุหนุ่มนอนนิ่งอยู่ในความมืด  ทำใจให้ปราศจากการปรุงแต่ง  วางใจอุเบกขา  สักครู่เดียว  ความมืดรอบตัวจะม้วนเกลียวเข้าหากันอย่างน่ากลัว  เกลียวมืดจะค่อย ๆ กลายเป็นช่องกลมบนปลายอีกด้านหนึ่งคล้ายท่อน้ำ  บนปลายทางนั้นมีแสงสว่างส่องเข้ามา  ภิกษุหนุ่มได้ยินเสียงเรียกชื่อของท่านดังมาจากมุมปลายด้านที่มีแสงสว่างนั้น   เสียงนั้นเรียกให้ท่านเข้าไปหา  มีเสียงหัวเราะปนมากับน้ำเสียง  ใช่ หล่ะเป็นเสียงของคนที่มีความสุข  ท่านลองก้าวไปก้าวหนึ่งบนทางนั้นเพราะต้องการสัมผัส  แต่เท้าของท่านกลับลื่นเสียหลักเกือบล้ม  ท่านชักเท้ากลับมายืนที่เดิมด้วยความกลัว  เสียงเรียกชื่อท่านให้ไปหาก็ยังคงเร่งเร้าอยู่ไม่ขาดสาย   ภิกษุหนุ่มสลัดศีรษะดึงสติกลับมาสู่ปัจจุบันขณะ  กระพริบตาถี่ ๆ แล้วมองเพดานกุฏิขับไล่ความงุนงง  ก่อนจะก้าวลงสู่นิทรา

             เสียงนาฬิกาปลุกดังจึงเอื้อมมือไปปิดพร้อมกับยันกายขึ้นนั่งอย่างเคยชิน   พอมองไปรอบตัวกลับไม่ใช่กุฏิที่จำวัด
    “ที่นี่ที่ไหนกัน” อุทานด้วยความตกใจ   ห้องนอนอย่างดี  มีเตียงใหญ่หนานุ่ม  ฝาผนังมีลายวอลเปเปอร์สวยงาม  มีภาพในกรอบสีทองติดกับผนังอย่างมีระดับ  เริ่มประหลาดใจหนักกว่าเก่าเมื่อสังเกตชุดนอนอย่างดีบนกายแทนที่จะเป็นจีวรสีคร่ำ   เขาวิ่งไปหน้ากระจกบานใหญ่มองตัวเองด้วยความประหลาดใจ  ผมดกดำเต็มศีรษะมาได้ยังไง  เขาผลักหน้าต่างออก  แสงสว่างกระทบตาจนต้องยกมือป้อง  พอตาเริ่มชินกับแสง  เขาจึงได้เห็นโลกภายนอกหน้าต่าง  ผู้คนพลุกพล่านเต็มถนนใหญ่  พวกเขากำลังค้าขายกันอย่างคึกคัก  เขาเดินกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้ง  มือกุมศีรษะสับสน  เขามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง อย่างละเอียด  เขาก็รู้สึกคุ้นกับห้องนี้เสียจริง   ยิ่งมองให้ดีก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

    “ก๊อก ๆ” เสียงเคาะประตูดังเบา ๆ บ่งบอกความยำเกรงเจ้าของห้องอย่างยิ่ง  เขาลังเลอยู่พักหนึ่งจึงเดินไปเปิดประตู  หญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาในห้อง   ตรงรี่เข้าเก็บที่นอนให้เขา   เขาจำเธอได้  ใช่แล้วหละ  เธอคือป้าอุ๊  แม่บ้านใจดีของที่นี่  เขาเองก็เป็นลูกคนที่ห้าคนสุดท้องของตระกูลร่ำรวยนี้  ใช่  เขาจำได้  หลังจากพ่อกับแม่ตายในอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนเขาเองก็ต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้กับบริวารคนอื่น ๆ ตามลำพัง  พี่ ๆ ต่างก็แยกย้ายกันอยู่ตามบ้านที่ตัวเองสร้างไว้  ทุกคนมีครอบครัวหมดแล้วยกเว้นเขาคนเดียว  แต่ทว่าพินัยกรรมยังไม่ได้เปิดเพราะพ่อบอกว่าต้องครบสามปีหลังการตายของท่านจึงเปิดได้  แต่ทุกคนรวมทั้งตัวเขาก็คาดว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้พร้อมทั้งสมบัติอีกหลายสิบล้านเหมือนกับพี่ๆ

    “คิดอะไรอยู่หรือคะคุณหนู  ฝันร้ายอีกหรือเปล่า”
    “ใช่  ฉันฝันว่าได้เป็นพระอีกแล้ว  ทำไมฝันแต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้”
    “คงต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์บ้างก็ดีนะคะ  พระท่านจะได้ปัดรังควานให้”
    “...”
    “เอาหละค่ะ  ก่อนป้าอุ๊ขึ้นมา  แจ่มเขาเตรียมอาหารไว้แล้วค่ะ  เรียบร้อยแล้วเชิญลงไปได้เลยนะคะ”  เธอว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป  โดยไม่ลืมที่จะปิดประตูเบา ๆ อย่างยำเกรง  สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการอาบน้ำและธุระส่วนตัวอื่น ๆ ให้เรียบร้อยแล้วลงไปรับประทานอาหารเช้า  ที่วางอย่างบรรจงบนโต๊ะอาหารราคาแพง

    จากคุณ : น้ำบ่อทราย (babybabe) - [ 17 ต.ค. 46 13:18:27 ]